นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

นอนกรนสัญญาณอันตราย!.. อาจหยุดหายใจขณะหลับ


นอนกรนสัญญาณอันตราย!.. อาจหยุดหายใจขณะหลับ

ส่วนใหญ่เรามักจะเข้าใจว่าการนอนกรนเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะคุณผู้ชายที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรมดาไปซะแล้วแต่รู้ไหมครับว่า? การนอนกรนบางครั้งก็อันตรายกว่าที่เราคิดอีกนะครับ

นอนกรน เกิดจากระบบทางเดินหายใจส่วนบนที่ตีบแคบลงขณะที่เรานอนหลับสนิท ซึ่งในขณะนอนหลับนอกจากอาการกรนแล้วยังพบว่าอาจมีภาวะหยุดหายใจเกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่งเป็นภาวะผิดปกติของการหายใจ คือมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ จึงทำให้คุณภาพการนอนไม่ดี การนอนหลับไม่ต่อเนื่อง กลายเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพ เช่น ร่างกายอ่อนเพลีย สมาธิและความจำไม่ดี การเผาผลาญด้อยประสิทธิภาพลง อาจทำให้เกิดโรคอ้วนและเบาหวานได้ รวมไปถึงการเกิดโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับสมองและหลอดเลือดหัวใจ เช่น โรคความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหลอดเลือดสมอง และยังอาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้อีกด้วย

ซึ่งปัจจัยเสี่ยงของการนอนกรนและภาวะหยุดหายใจขณะหลับนั้นมีหลายประการด้วยกัน เช่น ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเยอะ มีอาการของโรคภูมิแพ้บริเวณจมูก สันจมูกเบี้ยวหรือคด รูปหน้าหรือคางผิดปกติ ต่อมทอนซิลโต การรับประทานยาที่ทำให้ง่วง และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่เป็นประจำ

การรักษาโรคนอนกรนมีหลายวิธีด้วยกันครับ ขึ้นอยู่กับสาเหตุผิดปกติที่ตรวจพบและความรุนแรง แบ่งเป็นการรักษาทางยา เช่น การรักษาภาวะภูมิแพ้ การปรับพฤติกรรม เช่น การปรับท่านอน ลดน้ำหนักตัว, ไปจนถึงการรักษาด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น การใช้พลังจากคลื่นวิทยุกระชับเนื้อเยื่ออ่อนภายในช่องปากและคอที่หย่อนตัว หรือการผ่าตัดรักษา 

นอกจากนี้ปัจจุบันยังมี Application ( SnoreLab ) ที่ช่วยตรวจจับและบันทึกการกรนของเราในเบื้องต้น ก่อนจะมาพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยและทำการตรวจเพิ่มเติมที่ละเอียดขึ้น เช่น การทำ sleep test นั่นเองครับ 




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 24 กรกฎาคม 2564 11:32:25 น.   
Counter : 898 Pageviews.  


"ปวดคอ" อาการปวดทั่วไป ที่อาจเป็นอันตราย

 

"ปวดคอ" อาการปวดทั่วไป ที่อาจเป็นอันตราย

ในยุคที่คนต้องทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์นั่งท่าเดิมๆ หรือเล่นมือถือ ก้มหน้า เงยหน้าอยู่ตลอด รวมถึงความเครียดที่เกิดขึ้นจึงทำให้เราเกิดอาการปวดคอเอาได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือปวดเรื้อรัง ซึ่งถ้าอาการปวดมาจากกล้ามเนื้อก็ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ถ้าอาการปวดนั้นเกิดจากหมอนรองกระดูกคอเสื่อมไปกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ

ให้สังเกตว่าถ้าเป็นการปวดกล้ามเนื้อคอธรรมดาจะมีอาการเมื่อใช้งาน หรือเวลาก้มคอลงอาการปวดจะยิ่งชัดเจนขึ้นพอได้พักการใช้กล้ามเนื้อคออาการจะดีขึ้น แต่ถ้ามาจากสาเหตุอื่นๆ เช่น หมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท เวลาก้มคอลงจะรู้สึกสบาย แต่ถ้าแหงนคอขึ้นจะรู้สึกปวดร้าวไปตามแนวเส้นประสาทแม้จะพักการใช้งานแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้นและยังคงปวดต่อเนื่อง

หากอาการปวดคอเป็นแค่อาการเคลื่อนของหมอนรองกระดูก ก็อาจรักษาด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการนั่งทำงาน ไม่นั่งท่าเดียวนานๆ จัดท่านั่งให้เหมาะสม ลุกเดินเปลี่ยนอิริยาบท หรือทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อคอผ่อนคลายความเมื่อยล้า การทำกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณโดยรอบคอเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อคอและลดอาการปวดคอได้ “ ท่ากายบริหารลดอาการปวดคอ ” https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/114

แต่หากอาการปวดคอเรื้อรังนั้นเกิดจากหมอนรองกระดูกคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท การรักษาที่ดี คือการผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกคอเทียม โดยเมื่อผ่าตัดแล้วอาการปวดที่เคยมีก็จะหายไปได้




 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 23 กรกฎาคม 2564 9:43:22 น.   
Counter : 985 Pageviews.  


ปวดไหล่เอ็นหัวไหล่ฉีกขาด รีบรักษาก่อนเกิดปัญหาข้อไหล่เสื่อม



ปวดไหล่เอ็นหัวไหล่ฉีกขาด รีบรักษาก่อนเกิดปัญหาข้อไหล่เสื่อม

การฉีกขาดของเส้นเอ็นหัวไหล่เกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่จะเกิดจากความเสื่อมของเส้นเอ็นตามอายุที่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเกิดจากอุบัติเหตุที่หัวไหล่หรือบาดเจ็บจากการใช้งานหัวไหล่ซ้ำๆ เป็นเวลานาน หรือจากการเล่นกีฬา

เอ็นหัวไหล่ที่ขาดส่วนใหญ่จะเริ่มจากขาดบางส่วนหรือขาดเป็นรูเล็กๆ ก่อนแล้วจึงค่อยๆ ขาดเพิ่มขึ้นๆ เหมือนกระดาษหรือผ้าที่เมื่อเริ่มมีรอยฉีกรอยปรุ ก็จะขาดตามรอยที่มีอยู่ไปเรื่อยๆ ดังนั้นหากไม่รีบรักษาจากที่ขาดแค่เล็กน้อยก็จะกลายเป็นขาดเพิ่มแล้วก็ลามไปเรื่อยๆ จนข้อไหล่เสื่อมหรือพังตามมา

ดังนั้นใครที่มีอาการปวดไหล่เรื้อรังหรือไม่สามารถใช้งานไหล่ได้อย่างปกติควรไปพบแพทย์ตรวจวินิจฉัยเพราะหากพบว่าเส้นเอ็นฉีกขาดแค่เล็กน้อย อาจแค่ทานยา พักการใช้งานหัวไหล่หนัก ออกกำลังกายบริหารเส้นเอ็นหัวไหล่ให้แข็งแรง

แต่หากพบว่าเส้นเอ็นฉีกขาดมากก็อาจจำเป็นต้องทำการผ่าตัดเย็บซ่อม การผ่าตัดในปัจจุบันนี้ไม่น่ากลัว เพราะใช้วิธีการผ่าตัดส่องกล้องเข้าไปเย็บซ่อมเอ็นหัวไหล่ ช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ลดโอกาสติดเชื้อและลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อข้างเคียง ฟื้นตัวได้เร็ว และถือเป็นมาตรฐานการรักษาที่ยอมรับกันทั่วโลก ข้อมูลเพิ่มเติมคลิก >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/256




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 22 กรกฎาคม 2564 11:24:07 น.   
Counter : 772 Pageviews.  


ปวดหลังร้าวลงขา เรื่องไม่เล็กอย่ามองข้าม

 

ปวดหลังร้าวลงขา เรื่องไม่เล็กอย่ามองข้าม

ใครที่มีอาการปวดหลังบ่อยๆ และปวดร้าวลงไปที่ขาหรือร้าวลงไปถึงปลายเท้ามีอาการชาอ่อนแรงร่วมด้วยแล้วละก็ นี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทอยู่ก็ได้นะ

เมื่ออายุมากขึ้นหมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมและอาจทำให้เนื้อเยื่ออ่อนส่วนที่อยู่ภายในหมอนรองกระดูกปลิ้นโผล่ออกมาแล้วไปกดทับเส้นประสาท จึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง ชา อ่อนแรงหรือเจ็บบริเวณแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

แต่อย่าเพิ่งคิดว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จะเกิดขึ้นได้แค่กับคนสูงอายุเท่านั้นนะ...เดี๋ยวนี้อายุแค่ 30 ต้นๆ ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้แล้ว!! ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตแทบ

อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะค่อยๆ ดีขึ้นหากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง อาการ และตำแหน่งที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับ ซึ่งผู้ป่วยประมาณร้อยละ 90 สามารถหายได้ด้วยการทานยา ทำกายภาพบำบัด การฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบของเส้นประสาท แต่หากอาการรุนแรงและรักษาด้วยวิธีดังกล่าวแล้วไม่ได้ผลหรือนานเกิน 6 สัปดาห์ ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด

การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ปัจจุบันจะเป็นการผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก“กล้องเอ็นโดสโคป” (Endoscope) ที่ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ ลดอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด ลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น

“การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง” https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/112




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 21 กรกฎาคม 2564 13:56:54 น.   
Counter : 999 Pageviews.  


เลี้ยงลูกอย่างไรดีในยุคที่ “ไวรัสโควิด-19” กำลังระบาด?

 

เลี้ยงลูกอย่างไรดีในยุคที่ “ไวรัสโควิด-19” กำลังระบาด?

ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ทำให้ไม่ว่าที่ประเทศไหนในโลกรวมทั้งในเมืองไทยของเราต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความลำบากอย่างทั่วถึงกัน นอกจากผู้ใหญ่ที่ต้องระมัดระวังการติดเชื้อ หากแต่ยังมีลูกหลานที่ต้องดูแลห่วงใย คุณพ่อคุณแม่ คงอยากทราบแนวทางที่เหมาะสมในการเลี้ยงดูลูกอย่างไรจึงจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกๆ ได้ก้าวข้ามสถานการณ์นี้ได้อย่างอยู่รอดและปลอดภัย

พบว่าช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาดทำให้เด็กต้องอยู่บ้านเยอะกว่าปกติเช่นเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่ต้องใช้เวลาอยู่กับลูกๆ เยอะขึ้น ซึ่งถ้ามองในแง่ดีคือการมีเวลาอยู่กับลูกสร้างสัมพันธ์ที่ดี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเด็กไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วกิจกรรมที่เคยทำก็จะลดลง จึงอยากให้ข้อแนะนำให้มี Quality Time หรือ Special Time ที่คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกอย่างน้อยวันละ 10-15 นาทีต่อวันโดยควรต้องอยู่กับลูกจริงๆ โดยไม่ดูมือถือ ไม่ดูทีวี หรือไม่สนใจอย่างอื่นเพื่อให้ลูกได้รู้สึกว่าเราให้ความสนใจกับเขาจริงๆ 

นอกจากนี้ยังขอแนะนำให้เพิ่มบางอย่างและลดบางอย่างในการเลี้ยงดูลูก การเพิ่มก็คือ Positive Reinforcement คือเราให้การชื่นชมทางบวก การกระตุ้นทางบวกให้กับเด็ก อย่างเช่นถ้าเขาทำดีก็ชื่นชมเลยแล้วก็พูดให้ชัดเจนว่าเราชื่นชมเรื่องอะไร หมออยากให้พยายามมองข้อดีเขาเยอะ ๆ สิ่งสำคัญคืออยากให้คุณพ่อคุณแม่เพิ่มการควบคุมอารมณ์ตัวเอง เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรในบ้านลูกก็จะดูเราเป็นตัวอย่าง ลูกจะซึมซับและนำมาเป็นแบบอย่าง บางครั้งที่เราดุด่าว่ากล่าวอาจจะไม่ได้ประโยชน์เท่ากับเราทำให้ดู เราอาจจะบอกลูกว่าตอนนี้พ่อแม่โกรธอยู่ เดี๋ยวพ่อแม่หายโกรธเรามาคุยกันนะ...

ส่วนที่อยากให้ลด ก็คืออยากให้ลดความสนใจเวลาที่ลูกมีพฤติกรรมไม่ดี หรืออาจจะเพิกเฉย ยกตัวอย่างเช่นลูกร้องกรี๊ดหรือว่าลูกแสดงความโวยวายไม่พอใจให้เราเพิกเฉยหรือลดความสนใจ เมื่อเขาพบว่าทำแล้วไม่มีใครสนใจเขาก็จะค่อย ๆ หายไป แล้วก็ลดการวิพากษ์วิจารณ์เด็ก แต่ใช่ว่าจะดุด่าว่ากล่าวไม่ได้นะ อาจจะรอให้สถานการณ์สงบก่อนแล้วรับฟังเหตุผลของลูก ถ้าเด็กโตพอที่จะอธิบาย และพูดสั้นๆว่าที่จริงแล้วพ่อแม่อยากให้ลูกทำอะไร” สรุปก็คือช่วงที่เราใช้เวลาอยู่กับลูก เขาจะต้องการความรัก ความไว้ใจ ความความปลอดภัย และความอบอุ่นในบ้าน 

พ่อ-แม่ควรมีบทบาทอย่างไรเมื่อลูกเรียน “ออน-ไลน์”

การเรียนออนไลน์คงเป็นปัญหามากบ้างน้อยบ้างสำหรับเด็กๆ แต่ละคน เด็กมีหลายประเภทไม่ว่าจะจัดอยู่ใน

* ประเภทที่ 1 คือเป็นเด็กเลี้ยงง่าย

* ประเภท 2 คือเด็กเลี้ยงยาก

* ประเภท 3 คือเป็นเด็กที่ต้องใช้เวลาปรับตัว-เป็นเด็กอ่อนไหว

* ประเภทสุดท้ายคือ เป็นเด็กที่มีทุกบุคลิกเลย

แต่ละคนถูกจับมานั่งเรียนออนไลน์เหมือนกันแล้วเราจะคาดหวังให้เด็กทุกประเภทมีความสามารถในการนั่งนิ่งๆ หน้าจอออนไลน์ อาจจะทำไม่ได้กันทุกคน คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องทำความเข้าใจว่าลูกเราเป็นเด็กประเภทไหน ถ้าเป็นเด็กเลี้ยงง่ายให้นั่งเรียนออนไลน์ นั่งตลอดชั่วโมงตั้งใจเรียนเขาก็ทำได้ ส่วนเด็กที่เป็นเด็กเลี้ยงยากหมายความว่าเขาไม่ใช่เด็กไม่ดี เขาอาจจะเป็นเด็กที่มีความคล่องตัวเยอะเขาไม่ชอบนั่งนิ่งๆ พอจับเขานั่งเรียนออนไลน์เขาก็ไม่มีความสุข คุณพ่อคุณแม่เห็นเด็กกลุ่มนี้ก็รู้สึกเครียด ว่าทำไมลูกเราไม่ตั้งใจเรียนเหมือนเด็กคนอื่น ก็อยากให้พ่อแม่เข้าใจก่อนว่าธรรมชาติลูกเป็นแบบนี้...  

ทีนี้ถ้าเราเข้าใจลูกแล้วเราก็จะไม่ต้องไปกังวลเพราะว่าเรียนออนไลน์มันคงเป็นชั่วคราวในช่วงนี้ที่มีโรคระบาดเท่านั้น เวลาที่เด็กต้องเรียนออนไลน์เนี่ยเราเน้นหลักๆ 2 เรื่อง คือ 

1. เรื่องการนอนหลับให้พอ เหตุผลคือถ้าเด็กนอนพอในช่วงเรียนออนไลน์จันทร์ถึงศุกร์เขาก็จะได้ตั้งสมาธิได้ดี แล้วก็แนะนำว่าช่วงก่อนที่จะเรียนออนไลน์ หรือระหว่างที่มีการเบรกในช่วงที่เรียน ไม่ควรเล่นมือถือหรือไม่ควรเล่นเกม เหตุผลคือมันจะดึงกลับมาเรียนยากและ คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนให้เขาออกกำลังกายด้วย

2. เรื่องการพักสายตา สำหรับเด็กควรจะมองออกไปจากหน้าจอ ทุกๆ 20 นาที คือมองไกลประมาณ 20 ฟุตก็ประมาณ 6-7 เมตรมองไปไกลๆ นะคะ ประมาณ 20 วินาทีเพื่อให้เด็กได้พักสายตาออกไปจากหน้าจอบ้าง ให้เด็กกระพริบตาบ่อยๆ  ส่วนแสงที่กระทบหน้าจอไม่ควรให้มีแสงสว่างมาก เนื่องจากว่ามันจะทำให้ความสว่างของหน้าจอลดลง ทำให้เด็กต้องไปเพ่งมากขึ้น แล้วก็การใช้แว่นปรับแสงอาจจะช่วยลดแสงสีฟ้าลงได้ 

 

พญ.ยอดพร หิรัญรัศ
กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อและเบาหวาน
โรงพยาบาลรามคำแหง

 




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2564   
Last Update : 20 กรกฎาคม 2564 10:29:49 น.   
Counter : 633 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com