นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

Q & A ข้อสงสัยเรื่อง (โรค) หัวใจ... #โรคหัวใจให้เราดูแล



Q & A ข้อสงสัยเรื่อง (โรค) หัวใจ... #โรคหัวใจให้เราดูแล
 

Q : วิธีสังเกตอาการโรคหัวใจได้ด้วยตัวเองอย่างไร?

A : อาการเด่นๆ ที่สังเกตได้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองคือ เปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของตัวเองว่าเหนื่อยง่ายผิดปกติกว่าที่เคยเป็นหรือไม่? เช่น หากเคยเดินจากบ้านไปปากซอยไม่เหนื่อย แต่ตอนนี้ทำไม? เหนื่อยเร็ว หากมีอาการเช่นนี้ควรพบแพทย์โรคหัวใจดีที่สุด หรือ เดินขึ้นบันไดแล้วรู้สึกเหนื่อยกว่าเมื่อก่อน
 

Q : ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นอย่างไร?

A : จะมีอาการเจ็บแน่นเหมือนเชือกมารัด ถูกกด ถูกบีบ หรือรู้สึกแน่นกลางหน้าอก ซึ่งอาการเหล่านี้อาจร้าวไปยังหัวไหล่ แขน คอ ขากรรไกรและหลัง เกิดขึ้นขณะออกกำลัง หากรุนแรงอาจเกิดขึ้นในขณะพักหรือหลังทานอาหาร
 

Q : ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันมีอาการอย่างไร?

A : มีอาการเจ็บหน้าอกเช่นเดียวกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่อาการเจ็บจะรุนแรงและนานกว่า โดยทั่วไปแล้วอาการเจ็บหน้าอกชนิดนี้จะเป็นอยู่นานกว่า 30 นาทีขึ้นไป และมักจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยไม่ว่าจะเป็น เหงื่อออกมาก หน้ามืด เป็นลม หรือคลื่นไส้อาเจียน แนะนำให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว
 

Q : มีวิธีการตรวจหาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอย่างไร?

A : ปัจจุบันมีวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่ให้ผลค่อนข้างแม่นยำ ตั้งแต่การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลัง, การตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูงหรือ CT Scan การตรวจความผิดปกติของหัวใจด้วย Cardiac MRI และการตรวจสวนหัวใจ (Coronary Artery Angiography) เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน
 

Q : ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเป็นอันตรายถึงชีวิต มีวิธีการรักษาอย่างไร?

A : ทำได้โดยการแก้ไขการอุดตันของหลอดเลือด สามารถทำได้ 2 วิธีคือ การให้ยาละลายลิ่มเลือด และการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจทันที ควรรีบนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุดหรือภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงจากโรคหัวใจ
 

Q : การรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบสนิท สามารถรักษาได้โดยอาจไม่ต้องผ่าตัด จริงหรือ?

A : ในกรณีที่หลอดเลือดอุดตันหรือตีบสนิท ซึ่งจำเป็นต้องใช้แพทย์หัวใจผู้เชี่ยวชาญทำการรักษา ร่วมกับการใช้ “หัวกรอกากเพชร” แพทย์จะประเมินสภาพและความรุนแรงของการอุดตัน เพื่อวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ หัวกรอกากเพชรจะหมุนด้วยความเร็วสูง กรอตะกรันที่อุดตันในหลอดเลือดจนเป็นผงละเอียด จากนั้นจึงใส่โครงค้ำยันหลอดเลือด เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ดีดังเดิม




 

Create Date : 07 เมษายน 2565   
Last Update : 7 เมษายน 2565 10:48:53 น.   
Counter : 471 Pageviews.  


True or False... เรื่องสุขภาพ จริงหรือไม่?




True or False... เรื่องสุขภาพ จริงหรือไม่?
 


วิ่งมากไป ข้อเข่ายิ่งเสื่อมไวขึ้น

ไม่จริง เรามักจะได้ยินหลายคนพูดว่าการวิ่งมากๆ ทำให้เข่าเสื่อมไวขึ้นน้ำหนักตัวเยอะขนาดนี้ไม่ควรวิ่งนะหรือ อายุเยอะแล้ว ไปวิ่งข้อเข่าพังพอดีคำพูดเหล่านี้มีความจริงอยู่เพียงแค่ส่วนเดียว เพราะจริงๆ แล้ว อาการเจ็บปวดจากการวิ่งส่วนใหญ่มาจากการไม่เตรียมความพร้อมของร่างกายให้ดี การมีสรีระที่ไม่เหมาะสมกับการวิ่ง เช่น น้ำหนักตัวเยอะ ทำให้ยิ่งวิ่งยิ่งทำให้น้ำหนักตัวไปลงที่ส่วนล่างเยอะ ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการวิ่งได้มากกว่าคนปกติทั่วไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอ้วนไม่สามารถจะวิ่งออกกำลังกายได้ เพียงแต่ต้องทำความเข้าใจและเริ่มจากการเดินสลับกับการวิ่งช้าๆ ก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับความสมดุลและคุ้นชิน ส่วนผู้ที่มีภาวะข้อเข่าเสื่อมอยู่แล้วควรเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและมีแรงกระแทกเยอะ แต่ถ้าอยากออกกำลังกายโดยการวิ่งจริงๆ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนทุกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมาได้

 

หัวเราะบ่อย ๆ ทำให้ผอมได้

จริง การหัวเราะทำให้ร่างกายหลั่งสารโดปามีนที่ช่วยในการลดความเครียด ทำให้ฮอร์โมนคอร์ติซอลกลับมาอยู่ในระดับที่สมดุลซึ่งจะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและร่างกายของเราแข็งแรงขึ้น ผลจากการที่เราไม่เครียดจะทำให้ร่างกายเราได้พักผ่อนเพียงพอ นอนหลับสนิท จิตใจสงบ รู้สึกสดชื่น และยังทำให้มีสมาธิมากขึ้นด้วย ส่วนที่บอกว่าการหัวเราะทำให้เราผอมได้นั้น ก็เพราะว่าการหัวเราะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น ยิ่งหัวเราะมากยิ่งเผาผลาญมาก จากผลการวิจัยของประเทศอังกฤษพบว่า ผู้ที่หัวเราะนาน 1 ชั่วโมง จะสามารถเผาผลาญพลังงานลงได้มาก 100-120 แคลอรี่ และหากเราหัวเราะเป็นประจำตลอดระยะเวลาหนึ่งปี จะสามารถกำจัดไขมันออกได้ถึง 2.25 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังพบว่า เวลาหัวเราะร่างกายจะใช้พลังงานมากกว่านั่งพักผ่อนถึงร้อยละ10-20 เลยทีเดียว

 

อดนอน อาจทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้น

จริง การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับทุกวัย ดังนั้นการนอนหลับที่ไม่เพียงพอจึงเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้น จากรายงานผลการวิจัยระบุว่า คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวันมักจะเสียชีวิตเร็วกว่าคนที่นอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน โดยสาเหตุของการเสียชีวิตมาจากปัญหาสุขภาพที่ตามมาเมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอ เช่น การเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง รวมทั้งความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล

นอกจากความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากสุขภาพที่ถดถอยลงไปแล้วยังเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุในขณะที่ปฏิบัติงานหรือระหว่างการขับรถได้ โดยคนที่อดนอนจะเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เพิ่มขึ้น 4 เท่า ดังนั้น การนอนหลับที่สมบูรณ์ที่สุดคือควรนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงในวัยผู้ใหญ่ และ 11-13 ชั่วโมงในวัยเด็ก จึงจะทำให้การนอนหลับมีคุณภาพ ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนและมีเวลาฟื้นฟูซ่อมแซมส่วนที่ผิดปกติได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญคือช่วยให้เราไม่ต้องเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเร็วขึ้นด้วย...




 

Create Date : 04 เมษายน 2565   
Last Update : 11 เมษายน 2565 11:22:35 น.   
Counter : 551 Pageviews.  


อะเฟเซีย (Aphasia) "พูดไม่ออก บอกไม่ถูก คุยไม่รู้เรื่อง" เสี่ยงภาวะเสียการสื่อภาษา



อะเฟเซีย (Aphasia) "พูดไม่ออก บอกไม่ถูก คุยไม่รู้เรื่อง" เสี่ยงภาวะเสียการสื่อภาษา

ภาวะเสียการสื่อภาษา หรือ Aphasia เป็นความผิดปกติทางการสื่อสาร ซึ่งมักเป็นผลมาจากสมองได้รับความเสียหายจากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกหรือการได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยมีความผิดปกติในด้านทักษะของการสื่อสารและการใช้ภาษา ไม่สามารถโต้ตอบหรือทำความเข้าใจได้ และอาจมีปัญหาทางด้านการอ่านและการเขียนร่วมด้วย

ภาวะอะเฟเซีย (Aphasia) เกิดจากอะไร? ... เป็นผลมาจากสมองส่วนที่ทำหน้าที่ควบคุมการใช้ภาษาได้รับความเสียหาย

• โรคทางสมองเส้นเลือดในสมองแตก เนื้องอก ติดเชื้อในสมอง สมองเสื่อม

• สมองได้รับการกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ

• เคยเข้ารับการผ่าตัดสมอง

อาการของภาวะอะเฟเซีย (Aphasia)

ภาวะ Aphasia ในแต่ละบุคคลจะมีอาการที่แตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับบริเวณที่สมองได้รับความเสียหาย และระดับความรุนแรงของความเสียหายนั้น ภาวะนี้ส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาต่อการพูด การทำความเข้าใจ การอ่าน การเขียน การสื่อสารและการรับสาร

การลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะอะเฟเซีย (Aphasia) สามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่สร้างความเสียหายต่อสมองและดูแลสุขภาพของสมองด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น

• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

• รับประทานอาหารที่มีโซเดียมและไขมันต่ำ

• งดการสูบบุหรี่

• ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสมและเท่าที่จำเป็น

• ควบคุมระดับความดันโลหิตและไขมันในเลือด

• ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับระบบการไหลเวียนโลหิต ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

• หากสงสัยว่ามีอาการของภาวะเส้นเลือดในสมองแตก ควรเข้าพบแพทย์โดยเร็วที่สุด รวมถึงหากมีภาวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาอาการเช่นกัน




 

Create Date : 01 เมษายน 2565   
Last Update : 1 เมษายน 2565 10:40:27 น.   
Counter : 566 Pageviews.  


แค่นอนให้เร็วขึ้นช่วยให้หน้าเด็กลงได้จริงมั๊ย ?




แค่นอนให้เร็วขึ้นช่วยให้หน้าเด็กลงได้จริงมั๊ย ?

หลายคนอาจสงสัยว่าแค่นอนเร็วขึ้น ก็ช่วยให้หน้าเด็กลงได้แล้วจริงๆ เหรอ.. คำตอบคือ “จริง” ครับเพราะขณะที่เรานอนหลับร่างกายจะมีการหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมานั่นก็คือโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone)
 


เจ้าโกรทฮอร์โมนที่ว่านี้จะเข้าไปซ่อมแซมผิวที่สึกหรอชะลอความแก่ของผิว ช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวหน้าได้ดีอย่างคาดไม่ถึง
 


นอนเวลาไหนผิวถึงจะสวยที่สุด?.. จริงๆก็ไม่ถึงกับนอนเร็วมาก เชื่อว่าเป็นเวลาการนอนที่ไม่ว่าใครก็ทำได้ นั่นก็คือเวลา 4 ทุ่มทำไมต้องเป็น 4 ทุ่มนั่นก็เพราะว่าเจ้าโกรทฮอร์โมนจะหลั่งอออกมาอย่างเต็มที่และทำงานได้ดีในเวลาเที่ยงคืน และต้องเป็นช่วงที่เราหลับลึกแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายมนุษย์จะเข้าช่วงหลับลึกหลังจากนอนหลับไปแล้ว 2 ชั่วโมง ดังนั้น เพื่อให้เรานอนหลับลึกในช่วงเที่ยงคืนพอดี เราก็ควรนอนให้เร็วกว่าเที่ยงคืน 2 ชั่วโมง นั่นก็คือเวลา 4 ทุ่มนั่นเอง
 


ใครที่อยากหน้าเด็ก หน้าอ่อนกว่าวัยการเข้านอนให้เร็วขึ้นก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เห็นผลนอกจากการทาครีม และที่สำคัญโกรทฮอร์โมน นอกจากจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวทำให้ผิวอ่อนเยาว์แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย ช่วยให้เราไม่ป่วยง่ายอีกด้วยแค่เรามีวินัยในการเข้านอนที่ดี ก็ส่งผลดีต่อสุขภาพและผิวพรรณมากขึ้นแล้ว

ดังนั้นถ้าอยากหน้าเด็ก สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรงมาปรับเปลี่ยนการนอน ด้วยการเข้านอนให้เร็วขึ้นและนอนให้เพียงพอกันดีกว่าครับ..
 




 

Create Date : 31 มีนาคม 2565   
Last Update : 31 มีนาคม 2565 11:32:57 น.   
Counter : 542 Pageviews.  


ชา อ่อนแรง ปวดหลังร้าวลงขา เรื่องไม่เล็ก อย่ามองข้าม



ชา อ่อนแรง ปวดหลังร้าวลงขา เรื่องไม่เล็ก อย่ามองข้าม

ใครที่มีอาการปวดหลังบ่อยๆ และปวดร้าวลงไปที่ขาหรือร้าวลงไปถึงปลายเท้า มีอาการชาอ่อนแรงร่วมด้วยแล้วละก็ นี้อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเป็น "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" อยู่ก็ได้นะครับ...

หมอนรองกระดูก เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างข้อของกระดูกสันหลัง ทำหน้าที่รับแรงกระแทกและยืดหยุ่นเวลาร่างกายเคลื่อนไหว เมื่ออายุมากขึ้นหมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมและอาจทำให้เนื้อเยื่ออ่อนส่วนที่อยู่ภายในหมอนรองกระดูกปลิ้นโผล่ออกมาแล้วไปกดทับเส้นประสาท จึงทำให้เราปวดหลัง ชา อ่อนแรงหรือเจ็บบริเวณแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

  • อายุน้อยก็เป็นได้

อย่าเพิ่งคิดว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จะเกิดขึ้นได้แค่กับคนสูงอายุเท่านั้นนะครับ เดี๋ยวนี้อายุแค่ 30 ต้นๆ ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้แล้ว!! ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถ การเคลื่อนไหวร่างกาย การใช้งานหลังที่ไม่ถูกต้อง การยกของหนัก รวมถึงน้ำหนักตัวที่มากเกินไป สูบบุหรี่ หรืออาจมาจากพันธุกรรม

  • รักษาหายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด?

ส่วนใหญ่อาการหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทจะค่อยๆ ดีขึ้น หากผู้ป่วยได้รับการพักผ่อน ออกกำลังกายและทานยาบรรเทาอาการของโรค อาจจะใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 1-3 เดือน ส่วนการรักษาก็จะขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง อาการ และตำแหน่งที่หมอนรองกระดูกเคลื่อนไปกดทับ ซึ่งผู้ป่วยประมาณร้อยละ 90 สามารถหายได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการทานยา ทำกายภาพบำบัด การฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการปวดและการอักเสบของเส้นประสาท ตามคำแนะนำของแพทย์

แต่หากอาการรุนแรงและรักษาด้วยวิธีดังกล่าวแล้วไม่ได้ผลหรือนานเกิน 6 สัปดาห์ ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ในปัจจุบันมักจะเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็กด้วย “กล้องเอ็นโดสโคป” (Endoscope) ที่ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อ ลดอาการเจ็บปวดจากแผลผ่าตัด ลดระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลและช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น (“เทคโนโลยีการผ่าตัดแผลเล็กผ่านกล้องเอ็นโดสโคป” >> https://www.youtube.com/watch?v=dsGkVEi_7Qw)

  • ป้องกันอย่างไร?

การป้องกันสามารถทำได้โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ปวดหลัง และเสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยชะลอความเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลังและช่วยให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรงและยืดหยุ่น การจัดระเบียบท่าทางร่างกายให้เหมาะสม เช่น การนั่ง การยกของ การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจะช่วยลดแรงกดทับกระดูกสันหลังได้ และที่สำคัญควรงดสูบบุหรี่ เพราะทำให้กระดูกสันหลังสูญเสียความยืดหยุ่นและเสื่อมเร็วกว่าปกตินั่นเอง

ดังนั้นใครที่มีอาการปวดหลังมากผิดปกติ ชาลงขาอ่อนแรง แม้ว่าจะมีอาการเป็นๆ หายๆ ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ ดีกว่า เพราะถ้าปล่อยไว้อาการอาจจะรุนแรงมากขึ้นและยากต่อการรักษาได้นะครับ...

“การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง” >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/112




 

Create Date : 29 มีนาคม 2565   
Last Update : 29 มีนาคม 2565 14:15:56 น.   
Counter : 667 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com