นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

เครียดลงกระเพาะ โรค (ยอดนิยม) ของคนวัยทำงาน



🤦เครียดลงกระเพาะ แท้จริงแล้วก็คือโรคกระเพาะที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการกินอาหารไม่ตรงเวลา (ไม่มีแผลที่กระเพาะอาหาร) แต่เป็นการสั่งการของสมอง ยิ่งเครียดก็ยิ่งกระตุ้นให้กระเพาะเกิดการบิดตัว และหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ ทำให้เมือกในกระเพาะอาหารเสียสมดุลและเกิดการระคายเคืองในช่องท้องได้

เวลาเครียดลงกระเพาะเมื่อไหร่ บางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น หายใจเร็ว ขนลุก อยากอาหารมากกว่าปกติ คลื่นไส้ รู้สึกหงุดหงิด หรือนอนไม่หลับ ถ้าใครมีอาการดังกล่าวนอกจากปวดท้องเวลาเครียดล่ะก็ สันนิษฐานได้เลย ว่าคุณเข้าสู่ลัทธิเครียดลงกระเพาะไปครึ่งก้าวแล้ว

แต่ข่าวดีของโรคนี้ก็คือ โรคเครียดลงกระเพาะสามารถรักษาให้หายขาดได้ วิธีการก็พื้นๆ เลย ตามที่เราเคยได้ยินกันมาตลอด ทั้งการกินอาหารให้เป็นเวลาครบ 3 มื้อ เลี่ยงอาหารรสจัด ย่อยยาก อาหารหมักดอง ของมัน ของทอด ไม่สูบบุหรี่ งดดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ ต่างๆ

🥪🍜 เรื่องการกินข้างบนฟังดูควบคุมง่ายอยู่ใช่ไหมล่ะ แต่ความจริงส่วนที่ทำยากที่สุดในการรักษาโรคนี้ คือการรับมือกับความเครียดนี่แหละ ซึ่งการผ่อนคลายความเครียดในแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันไป บางคนก็เล่นเกม บางคนออกกำลังกาย บางคนก็ท่องเที่ยว บางคนเล่นกับสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงการช้อปปิ้งก็สามารถช่วยลดความเครียดได้ด้วย แต่การช้อปปิ้งต้องระวังนิด บางทีช้อปเสร็จเห็นยอดบัตรเครดิตสิ้นเดือนอาจเครียดกว่าเก่าได้ด้วย

ซึ่งหากควบคุมปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคได้ ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหาร และการควบคุมความเครียดที่บอกไปข้างบนทั้งหมด ก็จะสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นหรือหายขาดจากโรคเครียดลงกระเพาะได้เลยโดยไม่ต้องมาหาหมอเลยด้วยซ้ำ แต่หากลองปฎิบัติตัวตามที่แนะนำแล้วยังไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ดีกว่านะครับ...

ลองฝึกทำกันดูนะครับ




 

Create Date : 11 พฤศจิกายน 2563   
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2563 10:00:41 น.   
Counter : 706 Pageviews.  


กินของมันบ่อยๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้



👩‍⚕️หลายคนอาจยังเข้าใจว่ามะเร็งตับ, ตับอักเสบ หรือไขมันพอกตับ มักเกิดขึ้นเฉพาะคนที่ทานแอลกอฮอล์เป็นประจำเท่านั้น แต่จะบอกว่าคนที่ทานอาหารที่มีไขมันสูง ก็เสี่ยงเป็นโรคดังกล่าวได้ด้วยเช่นกัน ส่วนคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อันนี้เสี่ยงเป็นทั้ง 3 โรคได้เหมือนกัน

และถ้ากินทั้งแอล กินทั้งของมัน ของหวาน และยิ่งในผู้ที่เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความเสี่ยงการเกิดภาวะไขมันพอกตับ ตับอักเสบเรื้อรัง นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ ยิ่งเพิ่มพูนทวีคูณไปใหญ่โตเลยทีเดียว

📌ไขมันพอกตับ คือภาวะที่ร่างกายนำไขมันมาสะสมในรูปแบบของไตรกลีเซอไรด์ในตับ แรกเริ่มจะเป็นไขมันพอกตับก่อน หากปล่อยไว้เรื้อรังก็เสี่ยงเป็นตับอักเสบได้ และอาจกลายเป็นมะเร็งตับจนเสียชีวิตได้ในที่สุด

ซึ่งผู้ป่วยที่มีไขมันพอกตับ ร้อยละ 50 มักไม่แสดงอาการใดๆ หรือบางครั้งอาการที่เป็นก็ไม่เฉพาะเจาะจงมากพอที่จะบ่งบอกว่าเป็นโรคนี้ได้ อาจมีอาการแค่ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย คลื่นไส้เล็กน้อย รู้สึกตึงบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือน้ำหนักลดลงผิดปกติ หากไม่มาตรวจสุขภาพก็ไม่สามารบ่งชี้อาการของโรคล่วงหน้าได้เลย

อ่านผ่านๆ ดูเหมือนจะน่ากลัวมาก แต่ต้องบอกว่าหากตรวจพบโรคและอาการแต่เนิ่นๆ ตับของเรานั้นสามารถรักษาและฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สภาพปกติได้ด้วยนะ แต่หากปล่อยไว้จนเป็นตับแข็งล่ะก็ เรียนตามตรงว่าปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาทางยาที่ช่วยให้ตับคืนสภาพเหมือนเดิมได้ หรือหากเป็นรุนแรงจนตับทำงานไม่ได้ ก็ต้องรอผ่าตัดเปลี่ยนตับอย่างเดียว

และด้วยความที่ตับเป็นหนึ่งใน 7 อวัยวะของร่างกายที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ หากลดภาระการใช้งานหนักๆ ดังนั้นหลายๆ หน่วยงาน จึงรณรงค์ให้ประชาชนได้งดเหล้าเข้าพรรษา เพื่อพักให้ตับของเราฟื้นฟูตัวเองทุกปีนั่นเอง นึกสภาพเหมือนชายหาดที่ปิดห้ามนักท่องเที่ยวใช้งาน แค่ 3 เดือนก็กลับมาฟื้นฟูสภาพดีมากๆ แล้วครับ นั่นแหละ ตับของเราก็สามารถฟื้นฟูได้เช่นกัน (แต่ข้อแม้คือต้องเป็นตับที่อยู่ในสภาพที่ยังฟื้นฟูได้นะ ถ้าพังไปเกิน 70-80% แล้ว อันนี้พักอีกกี่ปีก็ไม่ช่วยอะไร ต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับอย่างเดียว)

👉นอกจากงดแอลกอฮอล์แล้ว การพักตับยังรวมไปถึงการงดของมัน ของทอดทั้งหลาย เพราะหากมีไขมันสะสมไปอยู่ที่ตับเป็นจำนวนมาก ก็เสี่ยงให้ตับอักเสบ และกลายเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ด้วย พี่หมอรามเข้าใจว่ามันอร่อย แต่ของอร่อยหลายอย่างมักมาคู่กับโรคภัยเสมอ ดังนั้นจึงควรทานแต่พอดี

รวมถึงหมั่นตรวจเช็คสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเจาะเลือด หรือทำอัลตร้าซาวด์ช่องท้องก็ตาม เพราะโรคนี้อย่างที่บอก หากตรวจเจอแต่เนิ่นๆ โอกาสที่รักษาให้หายขาดยิ่งสูงมาก อย่ารอจนถึงวันที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ค่อยมาดูแลตัวเองเลย




 

Create Date : 09 พฤศจิกายน 2563   
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2563 13:46:46 น.   
Counter : 1090 Pageviews.  


9 ยาสามัญประจำเด็ก ที่ควรมีไว้ติดบ้าน



แน่นอนว่าลูกน้อยวัยกระเตาะ คือวัยที่ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆยังไม่แข็งแรงพอที่จะสู้กับโรคภัยต่างๆได้ ฉะนั้นจึงสามารถป่วยได้ทุกเวลา หรืออาจเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อโดยที่เราอาจไม่ทันคาดคิด
 
ยาสามัญประจำบ้านจึงเป็นอีกของใช้เด็กที่คุณแม่ที่มีลูกน้อยควรมีติดบ้านไว้ เพื่อเตรียมพร้อมเวลาที่ลูกเกิดเจ็บป่วยไม่สบาย หรือได้รับอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมา จะได้มียารักษาอาการในเบื้องต้น ก่อนที่จะพาไปพบคุณหมอ แล้วยาประเภทไหนบ้าง? ที่เราควรหาซื้อมาติดบ้านไว้ ลองมาดูกันครับ...
  • ยาทาแก้คัน อันนี้ยาพื้นฐานเลย เพราะยุงและแมลงสามารถกัดต่อยลูกน้อยของเราได้ทุกเมื่อ และทำให้เกิดตุ่มคันได้ถ้าเป็นแบบไม่มีสเตียรอยด์อาจจะเป็นส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น คาลาไมน์ หรือหากเป็นแบบมีสเตียรอยด์ก็ควรใช้แบบอ่อนๆ และอ่านฉลากยาอย่างละเอียด และหลีกเลี่ยงการทาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน ใกล้ปาก จมูก ตา ด้วยนะครับ
     
  • เจลประคบร้อน-ประคบเย็น กรณีเด็กที่เริ่มเดินได้ การหกล้มหรือเดินชนอะไรคงเป็นสิ่งที่ยากจะควบคุมได้ ดังนั้นของพวกนี้จึงมีประโยชน์มากเลยนะครับในการช่วยลดความเจ็บปวด อาการบวมช้ำ รวมถึงสามารถใช้ลดไข้ได้ด้วยแต่ควรตรวจสอบอุณหภูมิ ไม่ให้เย็นหรือร้อนเกินไป หรือหาผ้ามาห่อก่อนจะประคบ หรือหากเกิดอุบัติเหตุหัวปูด หัวโน เจ็บแขน เจ็บขา แต่ไม่มีแผล เบื้องต้นให้ประคบเย็นก่อนภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อลดอาการอักเสบ บวม แดง หลังจากนั้นประคบอุ่นเพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ตามปกติ
     
  • ยาทาแก้คัดจมูก เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าร่างกายของเด็กเล็กจะปรับตัวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนกะทันหันช้ากว่าผู้ใหญ่ เด็กอาจมีอาการคัดจมูก หายใจไม่ออก ก็ให้ใช้ยาทาแก้คัดจมูก เช่นวิกส์ หรือน้ำมันหอมระเหย อาจจะช่วยให้เด็กที่คัดจมูกรู้สึกสบายขึ้นได้สามารถทาได้ทั้งหน้าอกและฝ่าเท้า หรือใช้ทาบางๆ ไว้บริเวณเสื้อ เพื่อช่วยให้หายใจได้ดีขึ้น แต่อาจต้องระวังเรื่องการระคายเคืองผิวและเยื่อบุต่างๆด้วย
     
  • ชุดอุปกรณ์ล้างจมูก เมื่อเด็กป่วยเป็นหวัด คัดจมูก อาจตามมาด้วยน้ำมูกไหล และน้ำมูกเกาะกังในรูจมูก แน่นอนว่าเด็กๆอาจยังไม่สามารถสั่งน้ำมูกด้วยตัวเองได้ ตัวช่วยที่ดีมากๆ คือการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือแต่น้ำเกลือแบบล้างจมูกได้ก็มีอยู่หลายแบบด้วยกัน ทั้งแบบผง กับแบบน้ำ แต่ก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน ต่างกันที่รูปแบบเฉยๆ แต่มีข้อระวังนิด เวลาซื้อให้ดูที่เป็นแบบ Sterile และ Non-Sterile นะ สามารถใช้ล้างจมูกได้ทั้งคู่ครับ เทคนิคการล้างก็ง่าย เพียงใช้ไซริ้งค์ฉีดเข้าไปในรูจมูกทีละครั้ง เพื่อขับไล่น้ำมูกออกมา ก็จะช่วยให้หายใจคล่องตัวมากขึ้น
     
  • ยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อันนี้อยู่ในหมวดยาที่ขาดไม่ได้ เพราะลูกท้องอืดแน่นพุงเป็นอะไรที่เจอได้อยู่บ่อยๆ ยานี้จะช่วยขับลม และลดการปวดท้องในเด็กได้เป็นอย่างดี แต่บางชนิดอาจผสมแอลกอฮอล์ ควรอ่านฉลากให้ละเอียดว่าใช้กับเด็กได้หรือไม่แนะนำให้ปรึกษาเภสัชก่อนซื้อทุกครั้งด้วยนะครับ
  • ยาทาแผลสด อันนี้ยาพื้นฐานของจริง เมื่อเด็กเล็กเกิดอุบัติเหตุแล้วเกิดแผลขนาดเล็ก สามารถใช้น้ำเกลือทำความสะอาดแผล แล้วใช้ยาทาแผลสดทาซ้ำได้เลยแนะนำว่าควรเลือกกลุ่มที่ทาแล้วไม่แสบ เช่นเบตาดีน หรือครีมผสมสารป้องกันการติดเชื้อแบบนี้ก็ใช้ได้ครับ
     
  • ยาทาผื่นผ้าอ้อม ปัญหาเรื่องผื่นที่เกิดจากการใส่ผ้าอ้อม ก็มักเป็นอาการป่วยกวนใจอันดับต้นๆของลูกน้อย ข้อดีของยากลุ่มนี้ก็ช่วยให้ผื่นยุบลงได้ แถมยังช่วยปกป้องผิวเด็กในบริเวณที่อับชื้นหรือเสียดสี และยังใช้ทาจุดหยาบกร้าน หรือผิวที่แตกจากอากาศแห้งหรือภูมิแพ้ได้ด้วย ซื้อมาทีเดียวใช้คุ้มเลยครับ
     
  • ยาแก้ปวด อันนี้เป็นยาพื้นฐานที่สุดเพราะเด็กเล็กเป็นไข้ตัวร้อนคือของคู่กัน ทำยังไงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงจำเป็นมากที่ควรมีติดบ้านไว้ แนะนำให้ใช้กลุ่มพาราเซตามอล เพราะมีผลข้างเคียงน้อย แต่ก็ควรอ่านวิธีใช้อย่างละเอียด เพราะยาลดไข้ชนิดน้ำสำหรับเด็กมีหลายความเข้มข้น หากใช้ผิดอาจเกิดภาวะได้รับยาเกินขนาดได้ที่สำคัญไม่ควรใช้ยาในกลุ่มแอสไพริน เนื่องจากอาการไข้ที่เกิดจากโรคติดเชื้อบางชนิด เมื่อได้รับแอสไพรินอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ด้วย
     
  • ยาแก้ไอ นอกจากไข้หวัดแล้ว การไอของลูกก็เป็นอีกอาการป่วยที่พบบ่อย ทั้งไอแห้ง และไอแบบมีเสมหะร่วมด้วย ดังนั้นยาแก้ไอสำหรับเด็กก็ควรมีติดบ้านเอาไว้ด้วยแต่ให้ระมัดระวังในเรื่องของปริมาณ และใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ห้ามกินพร่ำเพรื่อ
     
ที่สำคัญก่อนซื้อและใช้ยาคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็ก ควรศึกษาวิธีการใช้และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้งด้วยนะครับ...




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2563   
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2563 10:37:29 น.   
Counter : 605 Pageviews.  


หมอแนะ "ท้องผูกเรื้อรัง" ปล่อยไว้เสี่ยงหลายโรคต้องแก้ให้ถูกวิธี


➡️ ก่อนอื่น เราควรรู้เป็นอันดับแรก ว่าการถ่ายหนักน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ ยังการแพทย์ยังไม่ติดสินได้ว่าเราเป็นท้องผูกนะเพราะจริงๆแล้วท้องผูกไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งหรือความสม่ำเสมอในการขับถ่ายเสมอไปหากเราสามารถถ่ายได้อย่างสบายๆ ไม่ต้องเบ่งอุจจาระนิ่มจับตัวเป็นก้อนดีการเว้นระยะ 2-3 วันถ่ายสักครั้งก็ไม่ถือว่าผิดปกติ

แต่เมื่อใดที่รู้สึกว่าการขับถ่ายเป็นเรื่องยากต้องนั่งนานเป็นครึ่งชั่วโมงเพื่อเบ่งถ่ายใช้น้ำฉีดช่วยถ่ายไม่สุดเหมือนมีอะไรมาอุดกั้นอยู่ถ่ายออกน้อยอุจจาระแข็งเป็นเม็ดหรือรู้สึกอึดอัดแน่นท้อง หรือต้องทานยาระบายเพื่อช่วยขับถ่ายทุกครั้งนั้นคือสัญญานอาการที่บ่งบอกว่าคุณกำลังท้องผูกอยู่อย่างแน่นอน

📣 อาการท้องผูกไม่ใช่โรคร้ายแรงแต่ถ้าไม่แก้ไขหรือแก้ไขไม่ถูกวิธีอาการท้องผูกที่เรื้อรังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอย่างอื่นได้ เช่น ภาวะลำไส้อุดตัน ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดท้องมาก อึดอัดแน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ผายลมและไม่ถ่ายอุจจาระ เป็นอาการที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้การออกแรงเบ่งถ่ายเป็นประจำเกิดแผลขึ้นบริเวณทวารหนักตอนขับถ่าย ก็ทำให้เป็นริดสีดวงทวารได้ด้วย หากปล่อยไว้เรื้อรังก็เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีก

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการปล่อยท้องผูกนานๆ ไม่เป็นผลดีกับร่างกายเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นทางแก้ง่ายๆ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหมั่นการทานอาหารที่มีกากใยมากๆดื่มน้ำเยอะๆให้ได้วันละ 8 แก้วขึ้นไปยิ่งดีรวมถึงงดดื่มชากาแฟ ที่เป็นตัวทำให้ถ่ายออกก่อนในช่วงแรกจนกว่าจะกลับมาถ่ายสบายตามปกติออกกำลังกายเป็นประจำและพยายามขับถ่ายให้ตรงเวลา ก็ลดอาการท้องผูกลงได้เยอะแล้วล่ะ

แต่ทว่า หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาซักระยะแล้วยังมีอาการท้องผูกอยู่หรือมีอาการท้องผูกร่วมกับอาการผิดปกติอย่างอื่นเช่นปวดท้องมากน้ำหนักลดถ่ายเป็นมูกเลือดคลำเจอก้อนในช่องท้องมีภาวะซีดและมีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือมีประวัติคนในครอบครัวป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่อันนี้พี่หมอรามแนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด่วนเลย

👩‍⚕️แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่าอาการท้องผูกนั้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคอื่นๆเช่นลำไส้อักเสบติ่งเนื้องอกหรือโรคมะเร็งลำไส้ เพราะถ้าเป็นโรคอื่นๆที่ว่า การปรับพฤติกรรมทำได้แค่ประคองอาการเท่านั้น ถ้าอยากให้หายขาดต้องเข้ารับการรักษาร่วมด้วยนะ




 

Create Date : 05 พฤศจิกายน 2563   
Last Update : 5 พฤศจิกายน 2563 10:01:47 น.   
Counter : 829 Pageviews.  


กินข้าวไม่เป็นเวลา ไม่ได้ทำให้เป็นโรคกระเพาะ



🍱🍕🍛หลายคนอาจยังเข้าใจผิดอยู่ ว่าการทานข้าวไม่เป็นเวลา หรืออดอาหารบ่อยๆ อาจทำให้เป็นโรคกระเพาะ แต่ความจริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เราเป็นโรคกระเพาะอาหารเกิดจากแบคทีเรียตัวหนึ่งที่ชื่อว่า H.pylori (Helicobacter pylori) หรือ เอชไพโลไรต่างหาก

ปกติแล้วเชื้อเอชไพโลไรสามารถติดต่อกันได้ง่ายๆ ผ่านการทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ฉะนั้นคนทั่วไปร้อยละ 50 จึงมักตรวจเจอเชื้อแบคทีเรียนี้ในร่างกายได้ และนอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังจัดให้เชื้อ H.pylori เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของมะเร็งเช่นเดียวกับบุหรี่และไวรัสตับอักเสบบี

ดังนั้นการแก้ปัญหาปวดท้องจากโรคกระเพาะ แพทย์จึงต้องกำจัดเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ให้หมดไปจากร่างกายก่อนเป็นอันดับแรกนั่นเอง

โดยเมื่อเชื้อเอชไพโลไรเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดมากกว่าปกติ และกรดที่รุนแรงเกินไปนี้จะทำลายผนังเยื่อบุกระเพาะอาหารและสำไส้ จนเกิดแผลขึ้นที่บนเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้น เมื่อเป็นแผลภายในร่างกายเรื้อรังและบ่อยๆ เข้า เนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นแผลก็อาจกลายพันธุ์เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้ในที่สุด

ผู้ที่ติดเชื้อเอชไพโลไรส่วนใหญ่จะมาพบแพทย์ด้วยอาการของโรคกระเพาะอักเสบเรื้อรังหรือโรคกระเพาะอาหาร เช่น ปวดท้อง แสบท้อง แน่นเฟ้อ ทานอาหารแล้วจุกแน่น และ 80% ของผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเป็นๆ หายๆ

ดังนั้นหากผู้ป่วยกินยาลดกรดแล้วกลับมาเป็นซ้ำใหม่ประมาณ 70-80 % ในระยะ 2 ปี ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรเป็นระยะด้วย

👩‍⚕️ ปัจจุบันมีวิธีการตรวจวินิจฉัยหาเชื้อเอชไพโลไรที่เรียกว่า Urea breat test C-14 หรือการตรวจโดยผ่านลมหายใจ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว มีความแม่นยำปลอดภัยสูง คนไข้ไม่ต้องเจ็บตัว ซึ่งขั้นตอนการตรวจด้วยวิธีนี้ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ให้คนไข้ทานเม็ดสารยูเรียซึ่งจะแตกตัวเมื่อมีเชื้อในกระเพาะอาหาร แล้วตรวจค่าความผิดปกติผ่านทางลมหายใจออก โดยใช้เวลาตรวจวิเคราะห์ผลเพียง 20 นาที ก็ทราบผลแล้ว

ใครที่เคยมีปัญหาปวดท้อง หรือเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง ก็ควรจะมาตรวจหาเชื้อ เอชไพโลไร เพื่อรักษาได้อย่างตรงอาการกันนะครับ กินข้าวตรงเวลาก็ช่วยได้แค่ลดการหลั่งกรดในกระเพาะเท่านั้น แต่เชื้อโรคไม่ได้หายไปอย่างใดนะ

📌อ่านข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/105

 




 

Create Date : 04 พฤศจิกายน 2563   
Last Update : 4 พฤศจิกายน 2563 10:14:57 น.   
Counter : 979 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com