นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

"ไข้หวัดใหญ่" กับ "คนไข้เบาหวาน" อันตรายถึงชีวิต

 

"ไข้หวัดใหญ่" กับ "คนไข้เบาหวาน" อันตรายถึงชีวิต

เหตุผลที่ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเมื่อเป็นไข้หวัดใหญ่ มีโอกาสเสียชีวิตสูง นั้นก็เพราะว่า...

ผู้ป่วยเบาหวานจะมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเมื่อน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นจะเริ่มเข้าไปรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดขาว ทำให้ความสามารถในการกำจัดเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

เมื่อเชื้อเริ่มลุกลาม ความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน อย่างเช่น ปอดบวม หูอักเสบ ก็มากขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยเบาหวานเสี่ยงที่จะเสียชีวิตได้ง่ายกว่าคนอื่น ยิ่งในช่วงฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ผู้ป่วยเบาหวานมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นถึง 5-15 % และมีโอกาสนอนโรงพยาบาลจากภาวะแทรกซ้อนของไข้หวัดใหญ่สูงกว่าคนทั่วไปถึง 6 เท่า อีกด้วย

ดังนั้น เพื่อลดความอันตราย ลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อน ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ลดการนอนโรงพยาบาลและลดอัตราการเสียชีวิต แนะนำให้ผู้ป่วยเบาหวานฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี  “ไข้หวัดใหญ่กับเบาหวาน คลิกอ่านข้อมูลเพิ่มเติม >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/162




 

Create Date : 09 สิงหาคม 2566   
Last Update : 9 สิงหาคม 2566 10:07:25 น.   
Counter : 289 Pageviews.  


อาการของ "โรคไข้เลือดออก" ที่ควรระวัง!


อาการของ "โรคไข้เลือดออก" ที่ควรระวัง!

โรคไข้เลือดออก เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชื่อ Dengue Virus โดยมี ยุงลาย เป็นพาหะนำโรค ส่วนใหญ่พบได้บ่อยในเด็กที่มีอายุ 5-14 ปี มักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม ถึงกันยายน

เมื่อยุงลายไปกัดคนที่ป่วยโรคไข้เลือดออก เชื้อโรคจะไปอยู่ที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง และเมื่อยุงไปกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน ซึ่งเชื้อจะอยู่ในร่างกายประมาณ 2-7 วัน ก็จะแสดงอาการของโรคออกมา

มีอาการแบบนี้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นไข้เลือดออก

  • ไข้สูงเฉียบพลันประมาณ 2-7 วัน
  • เบื่ออาหาร
  • หน้าแดงปวดศีรษะร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน อาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย
  • บางรายอาจมีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา
  • เลือดกำเดาออก หรือเลือดออกตามไรฟัน
  • ถ่ายอุจจาระดำเนื่องจากเลือดออก และอาจทำให้เกิดอาการช็อกได้

โรคไข้เลือดออกส่วนใหญ่มักเกิดกับเด็ก แต่อาการของโรคไม่จำเพาะในเด็กเท่านั้น แต่ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้ใหญ่ได้ด้วย ในรายที่ช็อกจะสังเกตได้จากการที่ไข้ลดแต่ผู้ป่วยซึมลง ตัวเย็น หมดสติ หากมีอาการดังกล่าวควรรีบมาพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้

การป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือ การระวังอย่าให้ยุงกัด และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทั้งในบ้านและรอบบริเวณบ้าน รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นไข้เลือดออก ลดอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ลดความรุนแรงของโรค ที่สำคัญคือลดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้.. โรคไข้เลือดออก ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/276




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2566   
Last Update : 7 สิงหาคม 2566 10:20:20 น.   
Counter : 343 Pageviews.  


รับมือสุขภาพอย่างไรเมื่อ "โลกเดือด" ?

 

รับมือสุขภาพอย่างไรเมื่อ "โลกเดือด" ?


หลายคนอาจกำลังกังวลและตกใจกับข่าวที่เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยถึงสภาวะโลกร้อนขณะนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว และย่างเข้าสู่ “ภาวะโลกเดือด” ซึ่งจริงๆ ภาวะโลกเดือดนั้นค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาเราสักระยะหนึ่งแล้วเพียงแค่เราไม่ทันสังเกตเท่านั้นเอง


แน่นอนว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัดแบบนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อเราในหลายๆ ด้านรวมถึงสุขภาพของเราด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่ต้องทำงานหนักกลางแจ้ง คนที่มีปัญหาสุขภาพ เช่นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และผู้สูงอายุ ฯลฯ ที่อาจเกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคจากความร้อน และอาจส่งผลทำให้เสียชีวิตได้

** จากสถิติทั่วโลกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการเสียชีวิตจากความร้อนของผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นราว 2 ใน 3 และอุณหภูมิที่ร้อนจัดทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 60,000 รายเฉพาะในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว

ในเมื่อภาวะ “โลกเดือด” เกิดขึ้นแล้ว และเราก็ไม่อาจควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก แต่เราสามารถจัดการตัวเราเองได้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเราเองให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีอยู่เสมอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

** ในวันที่สภาพอากาศร้อนจัดแนะนำว่า ให้อยู่ในที่ร่ม, สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ, หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, ลดการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก และดื่มน้ำเยอะๆ รักษาร่างกายให้มีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
 


 

ไม่ว่าสภาพแวดล้อมหรืออากาศ จะเปลี่ยนแปลงบ่อยแค่ไหน เราก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีอากาศร้อนจัด




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2566   
Last Update : 4 สิงหาคม 2566 10:06:47 น.   
Counter : 430 Pageviews.  


“ตับ” แข็งแรงได้ภายใน 3 เดือนแค่หยุดดื่มแอลกอฮอล์




“ตับ” แข็งแรงได้ภายใน 3 เดือนแค่หยุดดื่มแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่ส่งผลเสียต่อร่างกายหลายอย่างโดยเฉพาะอวัยวะภายในอย่างเช่น “ตับ” ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ ทุกชนิด เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคตับ ไม่ว่าจะเป็นโรคตับแข็ง ตับวาย หรือมะเร็งตับ

เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายก็จะไปทำร้ายเซลล์ของตับ โดยกระตุ้นให้มีไขมันสะสมในตับ จากนั้นตับจะเกิดการอักเสบ ในคนที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะเกิดการสะสมของพังผืดในตับ เหมือนแผลเป็นและมีลักษณะแข็ง ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ตับแข็ง ส่งผลให้การทำงานของตับลดลง ตับวาย และนำไปสู่มะเร็งตับได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาโรคตับอยู่แล้ว เช่น ผู้ที่มีพาหะไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ที่มีความเสี่ยงต่อการแข็งของตับจากไวรัสอยู่แล้ว หากดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก 

ปกติแล้วตับเป็นอวัยวะที่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากมีการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะทำให้เกิดผลเสียต่อตับในระยะยาว เกิดการสะสมของพังผืดและทำให้ตับแข็ง แต่ถ้าหากมีการเว้นระยะหรืองดการดื่มแอลกอฮอล์ ตับก็จะฟื้นฟูตัวเองได้ในระดับหนึ่ง

ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มฟื้นฟูตับตอนนี้ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มตอนไหนในช่วง 3 เดือน เข้าพรรษานี้ให้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการ ลด ละ เลิกดื่มแอลกอฮอล์กันเถอะครับ และหากคุณทำได้

  •  ใน1 เดือนแรก ตับของคุณจะได้พักอย่างเต็มที่ ไม่ถูกทำร้ายซ้ำๆ จากการดื่มแอลกอฮอล์
     
  •  เดือนที่ 2 เมื่อตับได้พักได้ทำงานอย่างปกติเต็มที่ ตับก็จะเริ่มฟื้นฟูตัวเอง โดยการเริ่มสร้างเซลล์ใหม่ๆ และขับไขมันที่สะสมในตับออกไปได้ด้วยตัวเอง
     
  • เดือนที่ 3 ตับจะดีขึ้น แข็งแรงขึ้น เพราะเซลล์ใหม่ที่ตับสร้างขึ้นมาช่วยให้ตับทำงานได้อย่างดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น

และเมื่อตับมีสุขภาพดีขึ้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะส่งผลดีต่อร่างกายความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆ ก็จะลดน้อยลง และเมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรง หน้าตาก็จะสดชื่นแจ่มใสตามมาด้วย

ตับฟื้นฟูได้ พักตับ ครบพรรษา 3 เดือนพิสูจน์กัน ตรวจตับ แบบไม่เจ็บด้วย Liver Scan คลิกอ่าน >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/2151




 

Create Date : 02 สิงหาคม 2566   
Last Update : 2 สิงหาคม 2566 16:46:05 น.   
Counter : 340 Pageviews.  


วัยทำงาน ก็เสี่ยงเป็น “อัลไซเมอร์” ได้ !!

 

วัยทำงาน ก็เสี่ยงเป็น “อัลไซเมอร์” ได้ !!

ช่วงนี้ใครที่ชอบหลงๆ ลืมๆ อย่างเช่น ลืมว่าเซฟงานไว้ที่ไหน ลืมกุญแจบ้าน ลืมว่าออกจากบ้านมาแล้วปิดไฟหรือยัง เมื่อตะกี๊ได้สแกนนิ้วเข้างานหรือเปล่า หากคุณลืมอยู่บ่อยครั้ง หรือต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าต้องทำอะไร ทำไปแล้วหรือยัง นั่นอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกอาการโรค “อัลไซเมอร์” อยู่ก็ได้

ส่วนมากเราจะคิดว่าโรคอัลไซเมอร์เป็นเรื่องไกลตัวจะเกิดเฉพาะคนสูงอายุเท่านั้น แต่จากสถิติของผู้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ เกือบครึ่งเป็นคนวัยทำงาน

โรคนี้เกิดจากเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับความจำ เส้นเลือดที่นำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมองค่อยๆ เสื่อมลง ทำให้เซลล์สมองตายไปทีละน้อยๆ ปริมาณของสารที่ทำหน้าที่ส่งผ่านคลื่นสมองลดลง ทำให้ความจำค่อยๆ เสื่อม ขาดความคิดอ่าน การรับรู้เหตุผล และในที่สุดถึงขั้นไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สาเหตุที่คนในวัยทำงานเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ ก็เพราะพฤติกรรมบ้างาน มักนั่งทำงานอยู่กับที่เป็นเวลานานและมีความเครียด มีโรคประจำตัว เบาหวาน ไขมัน ความดันโลหิตสูง และกว่าครึ่งเป็นโรคอ้วน ซึ่งนี้ล้วนเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ทั้งสิ้น

งั้นมาลองสำรวจดูว่าคุณมีอาการเข้าข่ายอัลไซเมอร์หรือป่าว เช่น

  • ความจำมีปัญหา หลงๆ ลืมๆ
  • มีปัญหาเรื่องตัวเลขและการคำนวณ
  • มักจะคิดคำพูดไม่ออก จนต้องใช้ภาษามือ
  • วางของผิดที่ผิดทางแล้วจำไม่ได้
  • มีปัญหาเรื่องการวางแผน เช่น การเดินทางหรือใส่เสื้อผ้า
  • สับสนเรื่องเวลา สถานที่

ดังนั้นหากสำรวจตัวเองแล้วพบว่ามีอาการตามที่กล่าวมาหลายข้อหรือสงสัยว่าอาจเป็นอัลไซเมอร์ ก็ควรรีบไปพบแพทย์ด้านระบบประสาทเพื่อตรวจวินิจฉัยโดยละเอียดและรักษาอย่างทันท่วงทีตั้งแต่เนิ่นๆ รวมถึงรับคำแนะนำวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง ก็จะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนครับ




 

Create Date : 01 สิงหาคม 2566   
Last Update : 1 สิงหาคม 2566 11:14:27 น.   
Counter : 269 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com