นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

วิธีสังเกตว่าลูกเป็น "โรคภูมิแพ้ขึ้นตา"



👀👶โรคภูมิแพ้ขึ้นตาเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ตาชั้นนอก เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตา ปัจจุบันมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป มลพิษเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น

โรคภูมิแพ้ขึ้นตาในเด็กเป็นโรคที่ไม่อันตรายสามารถรักษาให้หายได้ แค่อาจทำให้เด็กหงุดหงิด รำคาญ เพราะอาการคัน เมื่อเด็กคันที่ตาก็มักจะขยี้ตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาและดูแลให้ดีอาจทำให้เป็นเรื้อรังหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน จนทำให้เกิดความพิการของตาได้

ในเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว อาการภูมิแพ้ที่ตาจะเป็นได้ง่ายกว่าเด็กที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ โดยสาเหตุของโรคภูมิแพ้ขึ้นตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม พ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ สิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัย เกสรของดอกไม้ ต้นไม้ ใบไม้ ขนสัตว์ ไรฝุ่นบนที่นอน อาหารบางชนิด เล่นเกมมือถือ หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป

📌ซึ่งวิธีสังเกตอาการภูมิแพ้ขึ้นตาในเด็ก ทำได้ดังนี้
* ลูกมีอาการคันตา ขยี้ตา มักจะคันตรงหัวตา
* กระพริบตาบ่อยๆ ตาแดงเรื่อ รอบดวงตามีผื่นแดง
* เด็กที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง เยื่อบุตาขาวอาจบวมเป่งเป็นเยื่อใส
* ตาขาวจะมีสีแดงเรื่อๆ
* มีน้ำตาไหลแรกๆ จะใสๆ ต่อมาจะเหนียว
* ตื่นขึ้นมาเปลือกตาบวมด้านในเยื่อบุตา
* อาจมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นบริเวณเยื่อบุตาทั้งด้านล่างและด้านบน

อาการภูมิแพ้ขึ้นตาเด็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกได้เองตามอาการ แต่ต้องสังเกตว่าลูกแพ้อะไรบ้าง ถ้ารู้แล้วก็ไม่ควรให้อยู่กับสิ่งนั้นนานๆ และไม่ควรให้เด็กขยี้ตาบ่อยๆ เพราะจะทำให้อาการกำเริบและลุกลามมากกว่าเดิม เบื้องต้นให้นำผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นประคบที่ดวงตา ลูกจะรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรพาลูกไปพบจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการแพ้ว่ารุนแรงมากแค่ไหน เพื่อจะได้รักษาได้อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตามอาการภูมิแพ้ขึ้นตาในเด็กอาจต้องใช้เวลารักษานานเพราะเด็กส่วนใหญ่มักเป็นๆ หายๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไป เพราะเด็กที่เข้าสู่วัยรุ่นอาการเหล่านี้จะหายไปเอง




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2563   
Last Update : 19 ตุลาคม 2563 9:21:44 น.   
Counter : 2039 Pageviews.  


ปัสสาวะเล็ด...เรื่อง (ไม่) เล็ก ที่กวนใจสาวๆ



การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป เวลาที่สาวๆ หัวเราะ ไอ หรือจามแรงๆ อาจทำให้มีปัสสาวะเล็ดลอดออกมาเปื้อนกางเกงชั้นในได้บ้างบางครั้ง

นั่นก็เพราะว่ากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่คอยพยุงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะของคุณผู้หญิงเริ่มหย่อนยานไม่แข็งแรง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การคลอดบุตร อายุมากขึ้น อ้วน ไอเรื้อรัง สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้ท่อปัสสาวะเปิด เมื่อไอ จาม หัวเราะ หรือยกของหนัก จึงทำให้มีปัสสาวะเล็ดออกมาได้นั่นเองครับ

ถึงแม้ว่าอาการปัสสาวะเล็ดจะไม่เป็นอันตรายร้ายแรงแต่ก็รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันไม่น้อย เพราะสร้างความเครียดและทำให้รู้สึกรำคาญใจ ซึ่งคุณสาวๆ ส่วนใหญ่จะรู้สึกไม่สบายตัว ขาดความมั่นใจ รู้สึกกลัวหรือกังวลว่าเวลาปวดปัสสาวะจะเข้าห้องน้ำไม่ทันและมีปัสสาวะเล็ดออกมา

การปฎิบัติตัวเพื่อป้องกันอาการปัสสาวะเล็ดทำได้ง่ายๆ โดยการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นเวลา ดื่มน้ำเยอะๆ ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรง โดยการขมิบหูรูดเป็นประจำเพื่อเพิ่มความกระชับ ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไป หลีกเลี่ยงอาการไอเรื้อรังโดยการไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่เครียด และไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไปก็ช่วยได้เช่นกันครับ..

แต่ถ้าหากเริ่มรู้สึกว่าอาการปัสสาวะเล็ดเป็นบ่อยมากขึ้น หรือลองปรับพฤติกรรมแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรเข้ามาปรึกษาคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมจะดีกว่านะครับ




 

Create Date : 16 ตุลาคม 2563   
Last Update : 16 ตุลาคม 2563 9:53:11 น.   
Counter : 1033 Pageviews.  


เมื่อลูกเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย อาจไม่ใช่เรื่องปกติ



👧🧒การที่ลูกเจริญเติบโตสมวัยเป็นเรื่องดี แต่หากลูกโตเร็วเกินวัย อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องหมั่นสังเกต เพราะอาจมีความผิดปกติซ่อนอยู่ก็ได้

ภาวะที่เด็กโตเร็วกว่าปกติหรือเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กหญิง, ชาย แต่มักจะพบในเด็กหญิงมากกว่าประมาณ 8-20 เท่า โดยเฉลี่ยเด็กผู้หญิงจะเริ่มเข้าสู่วัยสาวเมื่ออายุประมาณ 8-13 ปี ส่วนเด็กผู้ชายจะเริ่มเข้าวัยหนุ่มช้ากว่าประมาณ 1-2 ปี ช่วงอายุเฉลี่ยของเด็กผู้ชายที่เริ่มเข้าวัยหนุ่มจะอยู่ที่ 9-14 ปี

ซึ่งช่วงเวลาเปลี่ยนจากวัยเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มสาวนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ในเด็กผู้หญิงจะเริ่มจากการมีเต้านมโตขึ้น และมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ตามมาด้วยการมีประจำเดือน ส่วนในเด็กผู้ชายจะเริ่มจากการที่อัณฑะมีขนาดโตขึ้น ตามมาด้วยการเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศ และการเพิ่มอัตราการเจริญเติบโต นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนที่เกิดขึ้นยังทำให้เกิดสิว กลิ่นตัว หรือมีขนบริเวณหัวหน่าวและรักแร้ได้

📌 ดังนั้น ถ้าเด็กผู้หญิงเริ่มเข้าสู่วัยสาวก่อนอายุ 8 ปี หรือเด็กผู้ชายเริ่มเข้าวัยหนุ่มก่อนอายุ 9 ปี จะถือว่ามีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

ภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย อาจเกิดจากการทำงานของระบบฮอร์โมนที่เกิดขึ้นก่อนเวลาโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติทางสมอง เนื้องอกบางชนิด โรคของต่อมไร้ท่อ ได้รับยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเพศ หรืออาจเกิดจากกรรมพันธ์ โดยทั่วไปการเกิดภาวะเป็นสาวก่อนวัยในเด็กหญิงมักเป็นผลมาจากการทำงานของระบบฮอร์โมนที่เกิดขึ้นก่อนเวลา โดยมักตรวจไม่พบโรคหรือความผิดปกติต่างๆ ส่วนการเกิดภาวะเป็นหนุ่มก่อนวัยในเด็กชายมีโอกาสที่จะมีสาเหตุมาจากโรคหรือความผิดปกติบางอย่างในร่างกายได้มากกว่า นอกจากนี้เด็กที่มีภาวะโภชนาการเกินหรือเด็กอ้วน จะมีโอกาสที่จะเป็นหนุ่มเป็นสาวได้มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนักปกติ

🧍‍♀️🧍เด็กที่มีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย จะสูงและโตเร็วกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันในระยะแรก แต่กระดูกจะปิดเร็ว (หยุดการเจริญเติบโต) ทำให้เตี้ยกว่าที่ควรจะเป็นเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และถึงแม้ว่าร่างกายจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว แต่จิตใจยังเป็นเด็กอยู่ เด็กอาจจะมีความเครียดและเกิดความอาย เนื่องจากมีรูปร่างไม่เหมือนเพื่อน จึงอาจทำให้มีพฤติกรรมแปลกแยก เด็กผู้ชายอาจก้าวร้าวมากขึ้น ส่วนเด็กผู้หญิงที่เป็นสาวเร็ว อาจมีปัญหาในการดูแลตัวเองเวลามีประจำเดือน และยังเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศได้อีกด้วย เพราะเด็กยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ นอกจากนี้การเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยที่เกิดจากโรคหรือความผิดปกติบางอย่าง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษา

📌ดังนั้น หากสงสัยว่าลูกหลานของคุณมีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ควรพามาพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา ตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และรับการรักษาที่เหมาะสมดีกว่าครับ




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2563   
Last Update : 14 ตุลาคม 2563 10:14:59 น.   
Counter : 1556 Pageviews.  


เคล็ดลับ... ขูดหินปูนยังไงไม่ให้เจ็บปาก



อีกหนึ่งปัญหาในช่องปากที่หลายคนอาจมองข้ามการรักษา เพราะคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย นั่นก็คือคราบหินปูนที่เกาะตามผิวฟัน ซึ่งปัญหาดังกล่าวอาจนำมาสู่ปัญหาช่องปากอื่นๆ ได้อย่างคาดไม่ถึง

หินปูนนั้นพัฒนามาจากคราบพลัค หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือขี้ฟันนั่นแหละครับ คือจะมีลักษณะเป็นฟิล์มบางๆ ใสๆ เกาะอยู่ทุกส่วนทั่วทั้งบริเวณฟันของเรา และไม่ได้เกาะติดทนอะไรมาก แค่เราแปรงฟันถูกวิธีก็หลุดหมดแล้ว
 
แต่ถ้าเรากินพวกคาร์โบไฮเดรต แป้งหรือน้ำตาลบ่อยๆ และปล่อยทิ้งไว้นานๆ ก็จะทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากเข้ามาชุมนุมกินน้ำตาลที่ตกค้างตามซอกฟัน เมื่อแบคทีเรียกับคราบพลัคอยู่กันนานๆ แล้วโดนแร่ธาตุจากน้ำลาย ก็จะทำให้จากฟิล์มนิ่มๆ กลายเป็นคราบแข็งฝังติดแน่นทนนานได้

นานวันเข้าชั้นฟิล์มในส่วนที่เราแปรงฟันไม่สะอาด ก็จะหนาขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะกลายเป็นหินปูนที่แข็ง ที่ไม่สามารถแปรงออกได้เอง และถ้าปล่อยให้หินปูนทับถมนานๆ ก็อาจทำให้เกิดฟันผุหรืออาจลามไปถึงเหงือกอักเสบ หรือกระทบกับรากฟันได้เลย ซึ่งหินปูนที่เกาะติดแน่นทนนาน สุดท้ายก็ต้องให้หมอฟันใช้เครื่องมือพิเศษทำการขูดแงะหินปูนออกเท่านั้น
 
แล้วจะขูดหินปูนยังไง?...ไม่ให้เจ็บ แนะนำให้ขูดหินปูนเป็นประจำทุก 6-12 เดือนเพราะถ้าหินปูนยังพอกไม่แน่น หรือยังไม่ลามลึกเข้าสู่ร่องเหงือก อันนี้ขูดยังไงก็ไม่ค่อยเจ็บ ที่เจ็บๆ ส่วนใหญ่คือหินปูนสะสมนานและลามลึกเข้าสู่ร่องเหงือก จึงต้องแซะตรงร่องเหงือกด้วยเลยทำให้ระบมหรือเจ็บหลังขูดหินปูนกันเป็นประจำนั่นเอง
 
ซึ่งนอกจากการไปหาหมอฟันทุกๆ 6-12 เดือนแล้ว การดูแลช่องปากให้ดีก็ช่วยได้เยอะเลยนะครับอาจใช้เป็นไหมขัดฟันหรือน้ำยาบ้วนปากร่วมด้วยหลังแปรงฟันก็ได้ แต่ถ้าใครแพ้น้ำยาบ้วนปากหรือไม่ได้ใช้ไหมขัดฟัน การแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ทั้งเช้า-เย็นหรือถ้าสามารถแปรงฟันกลางวันได้ก็จะยิ่งดีและพยายามเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะสมกับปากตัวเอง หรืออาจใช้เป็นแปรงสีฟันที่ขนแปรงบิดเกลียวหมุนช่วยเพิ่มพื้นที่สัมผัสผิวฟันอันนี้ก็ช่วยได้และให้เลี่ยงทานของหวานระหว่างมื้อด้วยนะแค่นี้ก็ช่วยลดการเกิดหินปูนได้เยอะแล้ว
 
เพียงทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่ว่ามารับรองว่าการขูดหินปูนครั้งหน้า จะไม่เจ็บปากและไม่ต้องกินโจ๊กทุกมื้อติดต่อกันหลายวันแน่นอน...




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2563   
Last Update : 12 ตุลาคม 2563 9:46:34 น.   
Counter : 743 Pageviews.  


ลูกแค่ถ่ายเหลวหรือท้องเสียกันแน่?



👧การสังเกตว่าลูกท้องเสียหรือไม่ ให้ดูว่าเด็กถ่ายอุจจาระเหลวตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายมีมูกเลือดปนหรือไม่ ถ้าหากใช่แสดงว่าเด็กมีอาการท้องเสีย และในเด็กบางคนอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้ อาเจียน แต่ถ้าหากมีการถ่ายเหลวเพียง 1-2 ครั้ง คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าเพิ่งกังวลใจไปเลยครับ...

ในเด็กเล็กโดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 1 ปี ที่มีอาการท้องเสีย ส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย ผ่านทางปาก จากการกินอาหารหรือดื่มนมที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือแม้กระทั่งเวลาคลาน เวลาเล่น มือเด็กอาจไปโดนสิ่งสกปรกแล้วเอามาหยิบจับของเข้าปากก็ทำให้ท้องเสียได้ เพราะเด็กไม่สามารถดูแลตัวเองได้ จึงมีโอกาสได้รับเชื้อโรคได้ง่าย อีกทั้งภูมิต้านทานของเด็กก็ยังต่ำอยู่

ซึ่งวิธีการป้องกันท้องเสียในเด็กที่ดีที่สุดคือ การรักษาความสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าปากเด็ก โดยเริ่มตั้งแต่ผู้ดูแลเด็กต้องหมั่นล้างมือทุกครั้ง ก่อนจะหยิบจับอาหารหรือชงนมให้เด็กกิน รวมทั้งขวดนม จุกนม ต้องล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทันทีและฆ่าเชื้อโดยการต้มจนเดือดอย่างน้อย 10 - 15 นาที ควรชงนมในปริมาณที่กินหมดในครั้งเดียว ถ้ายังกินไม่หมดควรมีฝาครอบจุกให้มิดชิดและไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ทำความสะอาดของเล่นและพื้นที่โดยรอบเป็นประจำ

📌อย่างไรก็ตามหากเด็กมีอาการท้องเสีย เด็กจะมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่ เบื้องต้นคุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามให้เด็กได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ระยะแรกควรให้ดื่ม ORS หรือสารละลายเกลือแร่ทีละน้อย บ่อยๆ ถ้าเด็กดื่มได้ดีไม่อาเจียน หลังดื่ม ORS ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็เริ่มให้กินนมครั้งละน้อย หรืออาหารอย่างเช่น ข้าวต้มเปล่า โจ๊กเปล่า ถ้าเด็กรับได้และดีขึ้นก็ค่อยๆเพิ่มชนิดอาหารและปริมาณให้มากขึ้น แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรืออาเจียนหลายครั้ง ยังถ่ายเป็นน้ำ อ่อนเพลีย หรือมีไข้สูง ปัสสาวะน้อย อุจจาระเป็นมูกเลือด ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป




 

Create Date : 07 ตุลาคม 2563   
Last Update : 7 ตุลาคม 2563 9:28:07 น.   
Counter : 1862 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com