นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

เป็นกรดไหลย้อนเรื้อรังเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารได้ด้วย


เชื่อว่าทุกท่านคงเคยเจอคนรอบตัว (รวมถึงอาจเป็นตัวท่านเอง) ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนกันบ้างไม่มากก็น้อย

📣 สาเหตุหลักๆ ของโรคส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่ถูกต้อง เช่น ทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที ทานอาหารมันๆ หรือทานอาหารเยอะเกินไป นอกจากนี้ น้ำหนักตัวที่มากเกินไป (อ้วน) ความเครียด สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือทานน้ำอัดลมบ่อยๆ ก็เป็นปัจจัยเสริมที่มีส่วนทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ทั้งสิ้น

แท้จริงแล้ว กรดไหลย้อนคือน้ำย่อยของกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารนี่แหละ บางครั้งก็เกิดจากความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนปลาย หรือบางครั้งเกิดจากความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหารร่วมด้วย กรดจากกระเพาะอาหารจึงไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง

สำหรับคนที่อาการไม่รุนแรงหรือไม่กำเริบบ่อยๆ กรดไหลย้อนอาจเพียงสร้างความรำคาญและรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น เช่น ในหนึ่งสัปดาห์จะเป็นครั้งนึง ก็ถือว่าไม่ได้รบกวนการใช้ชีวิตมากนัก

แต่กรดไหลย้อนหากเป็นบ่อยๆ แล้วปล่อยไว้นานจนเรื้อรัง อาจส่งผลให้หลอดอาหารมีแผล หรือหลอดอาหารตีบ ทำให้บางคนกลืนอาหารลำบาก บ้างก็กลืนแล้วชอบติด หรือบางคนร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งที่หลอดอาหารเลยก็เคยมีเคสแบบนี้ เพราะหลอดอาหารส่วนปลายมีการสัมผัสกับกรดมากเกินไป ทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นมะเร็งได้ในที่สุด

🛡 วิธีป้องกันรักษาโรคกรดไหลย้อนที่ได้ผลมากที่สุด คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เพื่อลดการกำเริบของโรคซ้ำๆ ต้องควบคุมทั้งเรื่องปริมาณและชนิดของอาหาร หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเปรี้ยว เผ็ด อาหารหมักดอง อาหารมัน ชา กาแฟ น้ำอัดลม ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วนเกินไปและห้ามนอนทันทีหลังทานอาหารเสร็จ หลังทานข้าวควรรอให้อาหารย่อยก่อนอย่างน้อย 3 ชั่วโมงขึ้นไป ดังนั้นการกินบุฟเฟ่ต์มื้อเย็นจึงทำให้คนเสี่ยงเป็นกรดไหลย้อนได้บ่อยมาก เพราะกว่าจะทานเสร็จ บางทีกลับถึงบ้านแล้วก็นอนเลยโดยอาหารไม่ทันจะย่อยเลย

👩‍⚕️💊ทั้งนี้หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือทานยาลดกรดควบคู่กันแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจวัดกรดในหลอดอาหาร 24 ชั่วโมง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และอาจจำเป็นต้องส่องกล้องระบบทางเดินอาหารส่วนบน เพื่อดูว่ามีโรคอื่นซ่อนอยู่หรือไม่ ทางที่ดีถ้าเป็นเรื้อรังบ่อยๆ ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อความสบายใจได้นะครับ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2563   
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2563 14:07:54 น.   
Counter : 842 Pageviews.  


แค่กินปลาน้ำจืดดิบ ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งได้!

 

🐟เรื่องนี้มีที่มาที่ไปนะครับ เนื่องจากปลาน้ำจืดสายพันธุ์ที่มีเกล็ดส่วนใหญ่ หากนำมารับประทานแบบดิบๆ อาจเจอพยาธิใบไม้ที่อยู่ในตัวปลาได้ วันดีคืนดีหากเจ้าพยาธิใบไม้เล็ดลอดเข้าไปติดค้างอยู่ท่อน้ำดี และร่างกายไม่สามารถกำจัดพยาธิออกในจุดนี้ได้ ก็จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นกลายพันธุ์กลายเป็นเซลล์มะเร็งในท่อน้ำดีได้ในที่สุดนั่นเอง

นอกจากนี้การเกิดมะเร็งในท่อน้ำดียังมีสาเหตุอื่นๆ ประกอบร่วมด้วยได้ เช่น การอักเสบเรื้อรังในท่อน้ำดี นิ่วในท่อน้ำดีหรือถุงน้ำดี (โดย 20-57% ของผู้ป่วยมะเร็งท่อน้ำดี ตรวจพบว่าเป็นนิ่วในท่อน้ำดีหรือในถุงน้ำดี) ความผิดปกติของท่อทางเดินน้ำดีแต่กำเนิด นิ่วในตับ ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ภาวะตับแข็ง สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือมีญาติสายตรงป่วยเป็นมะเร็งชนิดนี้ ก็เสี่ยงเป็นมะเร็งในท่อน้ำดีได้ทั้งนั้น

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่พบเจอกรณีอื่นนอกจากทานปลาน้ำจืดดิบ มักพบเจอในวัย 40 ปีขึ้นไป และมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยปกติแล้วเจ้ามะเร็งท่อน้ำดี มักไม่แสดงอาการให้เห็นในระยะแรก แต่เมื่อโรคลุกลามมากแล้ว ก็สามารถสังเกตุได้จาก

* ตัวเหลือง ตาเหลือง (เกิดจากการอุดตันของท่อน้ำดี)

* ไม่สบายในท้อง อึดอัด แน่นท้อง

* ปวดท้องส่วนบนบริเวณใต้ชายโครงขวา (อาจมีอาการปวดหลังและไหล่ร่วมด้วย)

* มีไข้ เหนื่อย อ่อนเพลีย

* เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักตัวลดลง

* คันบริเวณผิวหนังทั่วร่างกาย

* อุจจาระมีสีซีดและปัสสาวะมีสีเข้ม

* คลำหน้าท้องพบตับโต

👩‍⚕️ซึ่งข่าวดีของวิทยาการทางการแพทย์ในยุคนี้คือ มะเร็งท่อน้ำดีสามารถรักษาให้หายขาดได้หากเจอในระยะแรก สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดนี่แหละ แต่หากเจอในระยะลุกลามไปมากแล้ว การรักษาอาจทำได้เพียงประคับประคองอาการได้เท่านั้น

วิธีป้องกันโรคนี้ได้ดีที่สุดก็คือลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรค ด้วยการเลือกทานอาหารที่ปรุงสุกสะอาด หลีกเลี่ยงอาหารปิ้งย่าง อาหารหมักดอง อาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะปลาน้ำจืด งดสูบบุหรี่และงดดื่มแอลกอฮอล์

📌และที่สำคัญคือควรตรวจคัดกรองมะเร็งปีละ 1 ครั้งในผู้ที่มีภาวะเสี่ยงตามที่ว่ามา เพราะหากพบเจอโรคในระยะเริ่มต้นแล้ว โอกาสกลับมาหายดีเป็นปกติยิ่งสูงมากกว่าตอนเจอมะเร็งในระยะลุกลามนั่นเอง




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2563   
Last Update : 26 ตุลาคม 2563 9:48:20 น.   
Counter : 759 Pageviews.  


รู้ก่อน เพิ่มโอกาสรอด ปวดท้องแบบไหน? เสี่ยงไส้ติ่งแตก!



ไส้ติ่งเป็นอวัยวะที่งอกแยกมาจากบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ออกมาเป็นติ่งเล็กๆ เป็นท่อตันๆอันนึง โดยตำแหน่งหากเอามือคลำจะอยู่บริเวณท้องน้อยด้านขวา

หน้าที่หลักของเจ้าไส้ติ่ง จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และจะค่อยๆ หดเล็กลงเมื่ออายุมากขึ้นจนไม่มีประโยชน์กับร่างกายอีกต่อไป วันดีคืนดีไส้ติ่งก็สามารถอักเสบขึ้นมาเองดื้อๆ

โดยอาจเกิดจากอุจจาระที่แข็งตัวมาอุดตัน หรือภาวะต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาจเกิดการอุดตันจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ก้อนเนื้องอก พยาธิ หรือเกิดจากตัวไส้ติ่งเองมีการหักพับผิดรูป ทำให้แรงดันในไส้ติ่งสูงขึ้น มีการสะสมของแบคทีเรียบริเวณที่อุดตัน และอักเสบในที่สุด ซึ่งอาการอักเสบดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในวัย 15-30 ปีบ่อยที่สุด

#วิธีสังเกตว่าท้องที่ปวดนั้นเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือไม่
☝ระยะแรกมักมีอาการปวดท้องรอบๆสะดือก่อนและอาจมีการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือมีอาการท้องเสียพ่วงมาด้วย

✌ต่อมาอาการปวดท้องจะย้ายมาที่บริเวณท้องน้อยด้านขวาล่างซึ่งเป็นตำแหน่งของไส้ติ่งนี่แหละ (แต่บางคนก็อาจปวดตำแหน่งอื่นได้)

👉หลังจากนั้นอาการปวดจะเพิ่มมากขึ้น จนไม่สามารถขยับตัว ไอจาม หรือหายใจลึกๆ ได้เลย เพราะจะรู้สึกรู้ปวดมว๊ากกกก ในคนไข้บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วยนะ

ฉะนั้นถ้ามีอาการที่ว่ามาดังกล่าวครบทั้ง 3 องค์ประกอบ ก็เป็นไปได้สูงที่จะเป็นไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน หากไม่รีบทำการรักษาอย่างเร่งด่วน ไส้ติ่งอาจแตกและทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในไส้ติ่งแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้ติดเชื้อในกระแสเลือดซึ่งอาจอันตรายถึงชีวิตได้

นอกจากนี้เมื่อไส้ติ่งแตกกลายเป็นหนอง ก็อาจทำให้เกิดพังผืดรัดลำไส้ เกิดภาวะแทรกซ้อนกลายเป็นโรคลำไส้อุดตันแถมมาให้อีกเป็นแจ็คพ็อตที่สอง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ไส้ติ่งแตก หากมีอาการดังกล่าว ก็ให้รีบพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดเอาไส้ติ่งออก

📌โดยปัจจุบันสามารถทำได้ 2 แบบ คือ การผ่าตัดเปิดหน้าท้องและการผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งนิยมผ่าด้วยกล้อง เพราะแพทย์จะมองเห็นไส้ติ่งและอวัยวะภายในช่องท้องได้ชัดเจนกว่าผ่าเปิดหน้าท้อง รวมไปถึงแผลที่ผ่าด้วยกล้องจะมีขนาดเล็กมาก ทำให้คนไข้เจ็บตัวน้อย และใช้เวลาฟื้นตัวเร็วกว่าผ่าเปิดหน้าท้องนั่นเอง




 

Create Date : 23 ตุลาคม 2563   
Last Update : 23 ตุลาคม 2563 10:04:06 น.   
Counter : 1510 Pageviews.  


"ปวดท้อง" หลังกินอาหารมันๆ เสี่ยงเป็นนิ่วในถุงน้ำดี

 

ถึงแม้เรื่องนี้คือความจริงที่แสนเจ็บปวด แต่ต้องขอเรียนตามตรงว่า “นิ่วในถุงน้ำดี” คือหนึ่งในโรคระบบทางเดินอาหารที่สามารถเกิดได้กับทุกคน และอาจมีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตได้ด้วยหากรักษาไม่ทันการคนที่มีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้แก่

👉ผู้ที่มีภาวะอ้วน หรือกลุ่มคนที่มีไขมันในเลือดสูง
👉โรคเลือด
👉โรคเบาหวาน
👉หญิงตั้งครรภ์
👉ทานยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน
👉ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
👉ชอบทานอาหารไขมันสูง
👉 ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดี
👉ผู้สูงอายุในวัย 60 ปีขึ้นไป

โดยปกติกลุ่มเสี่ยงที่ว่ามา จะมีโอกาสป่วยเป็นโรคนี้ได้ราวๆ 10-15% และผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป อันนี้จะยิ่งมีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มที่ว่ามาในข้างต้นสูงถึง 2-3 เท่าเลยทีเดียว

สาเหตุหลักๆ เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงเกินไป ทำให้ตับผลิตน้ำดีออกมาย่อยสลายไขมันไม่ทัน ไขมันที่เหลือตกค้างบางส่วนก็เกิดการตกตะกอนและจับตัวเป็นก้อนนิ่วอยู่ในถุงน้ำดีได้ซึ่งก้อนนิ่วที่เกิดขึ้นอาจเป็นก้อนเล็กๆรวมกันหลายก้อน หรือก้อนใหญ่ก้อนเดียวก็ได้

📌ที่สำคัญโรคนี้จะไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน บางครั้งก็มีการปวดที่ใต้ลิ้นปี่ฝั่งชายโครงขวา บางครั้งก็เกิดการคลื่นไส้อาเจียน มีปัสสาวะเป็นสีเข้มหรืออุจจาระสีซีดเทา ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติดั่งกล่าวต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ซึ่งอาการพวกนี้อาจเป็นสัญญานบอกเหตุในระยะเริ่มต้นได้ แต่จะฟันธงว่าเป็นโรคนี้เลยไหม อันนี้ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนนัก วิธีเช็คที่ชัวร์ที่สุดก็ควรตรวจสุขภาพประจำทุกปีจะได้คำตอบที่ชัดเจนนะ ว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่

ซึ่งการรักษาปัจจุบันมีหลายวิธีด้วย แต่การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกเป็นวิธีที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดโดยคนไข้สามารถเลือกการผ่าตัดได้ทั้งแบบเปิดหน้าท้องและการผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะนิยมผ่าตัดผ่านกล้องแผลมากกว่า เพราะแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็ก ก็เลยลดโอกาสการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี รวมถึงพอแผลเล็กก็ทำให้คนไข้ฟื้นตัวหลังผ่าตัดได้เร็วที่สุดอีกด้วย ฉะนั้นหยุดกังวลเรื่องระบมแผลผ่าตัดหลายวันได้เลย

📣 ย้ำอีกครั้งว่า..โรคนี้สังเกตอาการป่วยเบื้องต้นด้วยตนเองค่อนข้างยาก ทางที่ดีเพื่อป้องกันการเป็นโรคนี้ในระยะลุกลามแล้ว ควรหมั่นมาตรวจสุขภาพประจำปีสม่ำเสมอ เพราะหากตรวจพบความเสี่ยงที่จะเป็นโรคก่อนแต่เนิ่นๆ คนไข้ก็มีโอกาสรักษาให้หายดีโดยไม่ต้องผ่าตัดด้วยเลยนั่นเอง




 

Create Date : 21 ตุลาคม 2563   
Last Update : 21 ตุลาคม 2563 10:28:04 น.   
Counter : 720 Pageviews.  


วิธีสังเกตว่าลูกเป็น "โรคภูมิแพ้ขึ้นตา"



👀👶โรคภูมิแพ้ขึ้นตาเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดหนึ่งเกิดขึ้นที่ตาชั้นนอก เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตา ปัจจุบันมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป มลพิษเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองที่มีคนอาศัยอยู่หนาแน่น

โรคภูมิแพ้ขึ้นตาในเด็กเป็นโรคที่ไม่อันตรายสามารถรักษาให้หายได้ แค่อาจทำให้เด็กหงุดหงิด รำคาญ เพราะอาการคัน เมื่อเด็กคันที่ตาก็มักจะขยี้ตา ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาและดูแลให้ดีอาจทำให้เป็นเรื้อรังหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน จนทำให้เกิดความพิการของตาได้

ในเด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว อาการภูมิแพ้ที่ตาจะเป็นได้ง่ายกว่าเด็กที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ โดยสาเหตุของโรคภูมิแพ้ขึ้นตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรม พ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ สิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัย เกสรของดอกไม้ ต้นไม้ ใบไม้ ขนสัตว์ ไรฝุ่นบนที่นอน อาหารบางชนิด เล่นเกมมือถือ หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป

📌ซึ่งวิธีสังเกตอาการภูมิแพ้ขึ้นตาในเด็ก ทำได้ดังนี้
* ลูกมีอาการคันตา ขยี้ตา มักจะคันตรงหัวตา
* กระพริบตาบ่อยๆ ตาแดงเรื่อ รอบดวงตามีผื่นแดง
* เด็กที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง เยื่อบุตาขาวอาจบวมเป่งเป็นเยื่อใส
* ตาขาวจะมีสีแดงเรื่อๆ
* มีน้ำตาไหลแรกๆ จะใสๆ ต่อมาจะเหนียว
* ตื่นขึ้นมาเปลือกตาบวมด้านในเยื่อบุตา
* อาจมีตุ่มเล็กๆ ขึ้นบริเวณเยื่อบุตาทั้งด้านล่างและด้านบน

อาการภูมิแพ้ขึ้นตาเด็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูกได้เองตามอาการ แต่ต้องสังเกตว่าลูกแพ้อะไรบ้าง ถ้ารู้แล้วก็ไม่ควรให้อยู่กับสิ่งนั้นนานๆ และไม่ควรให้เด็กขยี้ตาบ่อยๆ เพราะจะทำให้อาการกำเริบและลุกลามมากกว่าเดิม เบื้องต้นให้นำผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นประคบที่ดวงตา ลูกจะรู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นควรพาลูกไปพบจักษุแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการแพ้ว่ารุนแรงมากแค่ไหน เพื่อจะได้รักษาได้อย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตามอาการภูมิแพ้ขึ้นตาในเด็กอาจต้องใช้เวลารักษานานเพราะเด็กส่วนใหญ่มักเป็นๆ หายๆ แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไป เพราะเด็กที่เข้าสู่วัยรุ่นอาการเหล่านี้จะหายไปเอง




 

Create Date : 19 ตุลาคม 2563   
Last Update : 19 ตุลาคม 2563 9:21:44 น.   
Counter : 2036 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com