นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

ยาดมๆ เยอะ เสี่ยงเป็นปอดอักเสบ



ยาดมๆ เยอะ เสี่ยงเป็นปอดอักเสบ

📣 หลายคนที่ชื่นชอบยาดมโปรดฟังทางนี้

อันดับแรกขอท้าวความก่อนว่าทำไม? เราถึงติดยาดมกันได้ แม้ไม่ได้มีอาการคัดจมูก เวียนหัว หรือเป็นลมก็ตาม สาเหตุนั้นเกิดจากสารเคมีบางชนิด เช่น เมนทอลและการบูร ที่มีผลต่อการจดจำของระบบประสาท ถ้าดมแล้วรู้สึกดี หรือรู้สึกปลอดโปร่ง ร่างกายเราก็จะจดจำกลิ่นแบบนี้เอาไว้ หากรู้สึกหายใจไม่สะดวกอีกเมื่อไหร่ สมองเราก็จะสั่งให้ดมของแบบนี้เองอัตโนมัติ ซึ่งพอทำบ่อยๆ เข้า ก็อาจทำให้เกิดการเสพติดได้ แต่พฤติกรรมการเสพติดยาดมจะเป็นในรูปแบบที่ใช้จนเคยชินและติดเป็นนิสัยมากกว่าเป็นอาการทางจิต อันนี้สบายใจได้นะ

แต่ทว่า ปัญหามันอยู่ที่ หากสูดดมสารเคมีแบบนี้นานวันเข้าไปเรื่อยๆๆๆ บางคนอาจเกิดอาการเยื่อบุทางเดินจมูกเกิดการระคายเคือง รวมถึงหากสูดดมเมนทอลหรือเกล็ดสะระแหน่ที่มีความเข้มข้นสูงในยาดม และใช้ติดต่อกันเป็นประจำ ความเสี่ยงขั้นสูงสุด อาจทำให้เป็นโรคปอดอักเสบได้ด้วย!!.. ซึ่งไม่ได้เล่นมุกนะ เคยมีเคสที่เป็นโรคนี้จากการดมยาดมที่เข้มข้นมากเกินไปจริงๆ

📌 ฉะนั้นการใช้ยาดมที่ถูกต้อง ควรใช้อย่างพอดี เอาแค่แกว่งไปมาห่างจากจมูกเล็กน้อยก็พอ ไม่ต้องแหย่เข้าไปในจมูกแล้วหายใจสุดปอดเต็มแรงอะไรเบอร์นั้น ที่สำคัญถึงแม้จะดูเป็นภาพที่น่ารัก แต่เราก็ไม่ควรเอายาดมยัดค้างไว้ในจมูกนะ จะเป็นการทำให้ร่างกายได้รับสารเคมีเกินพอดีได้

จำให้ขึ้นใจเลย ถึงแม้จะขึ้นชื่อว่ายาแต่หากเราใช้ไม่ถูกวิธีหรือผิดประเภทก็อาจก่อให้เกิดโรคได้เช่นกัน รวมถึงผู้ที่เป็นไซนัสอักเสบหรือโพรงจมูกอักเสบควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาดม เพราะจะยิ่งเพิ่มการระคายเคืองได้อีกด้วย

ที่สำคัญ #ยาดมเป็นของส่วนตัว ไม่ควรใช้ยาดมร่วมกับผู้อื่นเด็ดขาด เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจได้อีกเพียบ อย่างโควิดนี่ก็ใช่แล้วหนึ่ง ฉะนั้นเป็นไปได้ ซื้อใช้ของใครของมันดีกว่าเนอะ..




 

Create Date : 06 มกราคม 2564   
Last Update : 6 มกราคม 2564 10:13:27 น.   
Counter : 713 Pageviews.  


กลางวันง่วง ไม่ใช่ปัญหา ปรับนาฬิกาชีวิตช่วยได้



กลางวันง่วง ไม่ใช่ปัญหา ปรับนาฬิกาชีวิตช่วยได้

⏰ พี่หมอรามเชื่อว่าคนที่นอนดึกกันจนชิน ถึงระดับที่ว่าวันไหนมีเหตุต้องนอนเร็ว แต่ก็นอนไม่หลับเนี่ย ส่วนใหญ่คงพบปัญหาตื่นเช้าแล้วมีอาการอ่อนเพลีย สมองไม่แล่น บ่ายๆ ง่วงอีกรอบ แถมพอนอนไม่พอก็อารมณ์หงุดหงิดง่ายเข้าไปอีก

ถ้าใครเป็นแบบนี้อยู่ล่ะก็ วันนี้พี่หมอรามเอาบทความจากทีมวิจัยผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษและออสเตรเลีย ที่ตีพิมพ์ลงนิตยสาร Sleep Medicine ว่าด้วยเรื่อง “เทคนิคการปรับนาฬิกาชีวิต” เรียกว่าปรับกันแล้วปัญหาระหว่างวันจะไม่มากวนใจคุณอีกเลยแน่นอน

📌 ชาวนกฮูก จงฟังและปลาบปลื้ม หากอยากสุขภาพดี-เฟรชรับวันใหม่ ต้องทำตามนี้

* เริ่มต้นด้วยการลองตื่นให้เร็วขึ้นจากเดิมสัก 2 - 3 ชั่วโมง เมื่อตื่นแล้วให้ลองออกไปรับแสงแดดยามเช้าซักนิด เพราะแสงอาทิตย์มีผลกับการสั่งงานสมองเรื่องการปรับนาฬิกาว่าเราควรตื่นหรือควรหลับได้โดยตรง

* เมื่อตื่นแล้วให้ทานอาหารเช้าอย่างเร็วที่สุด

* ถ้ามีเวลาเหลือ ก็ควรออกกำลังกายช่วงเช้านี่แหละดีที่สุดแล้ว

* พยายามทานอาหารกลางวันให้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ

* หลังบ่าย 3 โมงให้งดรับคาเฟอีน ง่วงแค่ไหนต้องฝืนไว้ให้ได้

* ถ้าทำแบบนี้ได้ ช่วง 4 โมงเย็นจะเป็นช่วงที่ง่วงที่สุด ต้านมันไว้ อย่ายอมแพ้มัน ห้ามหลับเด็ดขาด นิดเดียวก็ไม่ได้

* กินข้าวเย็นให้เรียบร้อย และงดทานอาหารทุกชนิดหลัง 1 ทุ่ม หลังจากนั้นจนถึงเช้าให้ทานได้แต่น้ำเปล่า

* เข้านอนเร็วขึ้น 2-3 ชั่วโมง และไม่เปิดไฟสว่างจ้าหรือจ้องแสงไฟตอนกลางคืน ใครที่เล่นมือถืออยู่ต้องเลิกเล่นแล้ว ไม่อย่างงั้นเราจะไถมันไปเรื่อยๆ จนดึกดื่นอยู่ดี

* และท้ายที่สุด อันนี้สำคัญมากควรรักษาวงจรเวลาการนอนหลับและการตื่นให้คงที่ทุกๆ วัน

📣 ซึ่งหากทำตามลูปที่ว่านี้ทุกวัน ผลการวิจัยพบว่าผู้ที่ลองทำตามขั้นตอนนี้ความรู้สึกง่วงระหว่างวันจะหายไปเป็นอย่างมาก พร้อมยังลดความเครียดและอาการซึมเศร้าได้ดี รวมถึงมีสติสามารถตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วขึ้น แถมยังป้องกันโรคที่มาจากสาเหตุการนอนไม่พอได้อีกด้วย

เพื่อนฮูกทั้งหลาย ใครเคยพยายามทำวิธีอื่นแล้วแต่ไม่ได้ผล พี่หมอรามขอ recommended รับรองกลางวันจะไม่มีคำว่าง่วงมาแหยมเราอีกเลย




 

Create Date : 04 มกราคม 2564   
Last Update : 4 มกราคม 2564 14:26:17 น.   
Counter : 1513 Pageviews.  


นี่เราติดโควิค-19 หรือยัง?... เช็คอาการให้ชัวร์



นี่เราติดโควิค-19 หรือยัง?... เช็คอาการให้ชัวร์

😷แม้ว่าอาการโดยทั่วไปของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 จะดูเหมือนเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่ที่น่ากลัวคือเชื้อไวรัสนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มียาตัวไหนสามารถรักษาให้หายได้โดยตรง การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น ซึ่งถ้าภูมิต้านทานของเราไม่แข็งแรง และเชื้อไวรัสเข้าไปทำลายการทำงานของปอดได้ จะทำให้เชื้อแพร่กระจายลุกลามรวดเร็วขึ้นและอาจทำให้เสียชีวิต

และในช่วงที่โควิด-19 กลับมาระบาดอีกครั้ง คำถามยอดฮิตก็ยังคงเป็นคำถามเดิมคือ “เราติดโควิดหรือยัง?” เพราะเราคงจะเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วว่า คนที่ติดโควิด-19 มากกว่าร้อยละ 90 มักไม่แสดงอาการ ใครที่ไม่แน่ใจว่าตัวเองติดเชื้อหรือยัง ลองเช็ค "อาการโควิด" ที่ต่างจากอาการไข้อื่นๆ เนื่องจากช่วงนี้อากาศหนาวเย็นลงซึ่งอาจทำให้เราป่วยได้ง่าย

ซึ่งผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จะมีอาการเช่นเดียวกับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยอาการที่พบบ่อยที่สุด คือ มีไข้ (ไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส), ไอ, เจ็บคอ, มีน้ำมูก, จมูกไม่ได้กลิ่น, ลิ้นไม่รับรส, หายใจเร็ว, เหนื่อย, หายใจลำบาก

** นอกจากนี้งานวิจัยยังย้ำอีกว่าจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส เป็นอาการของโรคโควิด-19ที่พบได้ชัดเจนกว่าอื่นๆ

อย่างไรก็ตามหากท่านมีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล หายใจเหนื่อยหอบและเพิ่งไปในพื้นที่เสี่ยง ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อป้องกันความเสี่ยงและการแพร่กระจายของเชื้อ
 




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2563   
Last Update : 28 ธันวาคม 2563 11:35:38 น.   
Counter : 597 Pageviews.  


ดึงหน้ากากอนามัยไว้ใต้คาง เสี่ยงติดเชื้อ " COVID-19 "โดยไม่รู้ตัว



ดึงหน้ากากอนามัยไว้ใต้คาง เสี่ยงติดเชื้อ " COVID-19 "โดยไม่รู้ตัว

😷 เพราะการใช้ชีวิตประจำของเราในช่วงนี้จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ก็อาจมีบางช่วงที่เราจำเป็นต้องถอดหน้ากากอนามัยออกชั่วคราว เช่น เวลากินอาหาร ดื่มน้ำ เช็ดหน้า หรือต้องการพูดให้ได้ยินชัดเจน ซึ่งนั่นอาจทำให้เราเผลอดึงหน้ากากอนามัยลงมาไว้ที่ใต้คางได้

แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่ามันจะอันตราย เสี่ยงต่อเชื้อโรค ใครที่ชอบทำเช่นนี้ต้องระวัง!...

เพราะการดึงหน้ากากอนามัยลงมาไว้ที่ใต้คาง จะทำให้เราเสี่ยงได้รับเชื้อไวรัสอย่างไม่รู้ตัวได้ เนื่องจากบริเวณใต้คางเป็นจุดที่หน้ากากอนามัยไม่ได้ป้องกันเชื้อโรค และเป็นจุดที่รับเชื้อโรคต่างๆ จากลมหายใจ ภาพแวดล้อมรอบตัว หากเราดึงหน้ากากอนามัยลงมาไว้ใต้คาง ส่วนด้านในของหน้ากากก็จะปนเปื้อนเชื้อโรค และเมื่อเราดึงกลับขึ้นมาใส่ใหม่อีกครั้ง ก็จะทำให้ได้รับเชื้อโรคผ่านทางปากและจมูกได้นั่นเอง

📌 รู้แบบนี้แล้ว ก็ห้ามดึงหน้ากากอนามัยลงมาไว้ใต้คางโดยเด็ดขาดเลยนะครับ..

แต่ถ้าต้องถอดหน้ากากอนามัยควรพกถุงไว้สำหรับเก็บหน้ากากแยกต่างหากเพื่อความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี




 

Create Date : 25 ธันวาคม 2563   
Last Update : 25 ธันวาคม 2563 14:16:29 น.   
Counter : 810 Pageviews.  


คัมภีร์ต้านโรคซึมเศร้าไม่ให้เข้ามาแทรกซึมเรา



คัมภีร์ต้านโรคซึมเศร้าไม่ให้เข้ามาแทรกซึมเรา

เชื่อว่าสองสามปีมานี้ “โรคซึมเศร้า” ได้กลายเป็นโรคที่พบเจอได้บ่อยขึ้นเหมือนโรคมะเร็งเลยก็ว่าได้ เพราะในวงสังคมรอบๆ ตัวเราต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่เคยป่วยเป็นโรคนี้แน่ๆ ซึ่งปัจจัยก็มีหลากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งสภาพแวดล้อม ความเครียดสะสม เคมีในสมองผิดปกติ รวมถึงการจมอยู่ในความทุกข์ตลอดเวลาก็ยิ่งส่งผลให้เราเป็นโรคซึมเศร้าได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

👨‍⚕️ซึ่งวันนี้หมอมีเทคนิคการรับมือไม่ให้เราก้าวเข้าไปสู่ด้านมืดของโลกซึมเศร้ามาฝาก รับรองว่าทำตามแล้วช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ขึ้นกับตัวเราได้แน่นอน

* สิ่งแรกคือต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นข้อดีหรือข้อเสียของตัวเรา เพื่อช่วยให้คุณรับมือกับเหตุการณ์ที่ทำให้เสียใจหรือผิดหวังได้ ที่สำคัญต้องรู้จักขอบคุณตัวเองและแสดงความภูมิใจในตัวเองอยู่เสมอ รวมถึงหมั่นสังเกตความสุขเล็กๆ น้อยๆ ด้วย เช่น วันนี้ออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟฟ้า แค่รถมาเร็วไม่ต้องรอนานก็สามารถเปลี่ยนทัศนะคติให้เป็นความสุขได้แล้วเห็นไหม ฝึกมองเรื่องต่างๆ รอบตัวให้เป็น Positive Thinking ฝึกมองคนอื่นในแง่ดีและรู้จักชื่นชมคนอื่นก็ช่วยให้เราไม่ทุกข์แล้ว

* ต่อมาอย่าเก็บความรู้สึกที่ไม่ดีอัดอั้นเอาไว้ข้างใน การระบายและปลดปล่อยความรู้สึกออกมา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์โกรธ เศร้า เสียใจ ร้องไห้ ก็ช่วยให้ร่างกายได้รีแล็กซ์ลงมาบ้างแล้ว อาจจะเริ่มจากการพูดคุยกับคนที่ไว้ใจได้ หรือไปร้านคาราโอเกะเพื่อตะโกนให้สุดเสียง หรือร้องไห้ออกมาดังๆ เมื่อเราไม่ไหว หรือเปลี่ยนความรู้สึกลงในสมุดบันทึกอะไรเหล่านี้ ก็จะช่วยให้รู้สึกดีกว่าเก็บเอาไว้ในใจ โดยแบกความเครียดเอาไว้เพียงคนเดียวนะ

* ที่สำคัญช่วงวันหยุดให้หาโอกาสออกไปเที่ยวบ้าง เพราะการหนีจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ ด้วยการเดินทางท่องเที่ยวจะทำให้เห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ การที่ได้ไปพบเห็นผู้คน วัฒนธรรม และสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความเศร้า รวมถึงการออกท่องเที่ยวจะช่วยทำให้กลับมาแล้วรู้สึกมีพลังมากขึ้นอีกด้วย

* และในช่วงเวลาที่หม่นหมอง การพาตัวเองไปอยู่กับความสนุกสนาน เช่น ดูหนังตลก พูดคุยกับเพื่อนๆ เรื่องขำขัน หรือแม้กระทั่งนั่งเล่นกับสัตว์เลี้ยงคู่ใจ ก็ช่วยให้อารมณ์ของเราผ่อนคลายลงได้ ถึงแม้ในบางครั้งจะเครียดหรือเศร้า แต่ถ้ามีสภาพแวดล้อมที่ดีไร้ความหม่นหมองก็ช่วยให้คลายเครียดคลายเศร้าได้เช่นกันนะ

* และที่สำคัญการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับสารเคมีเซโรโทนินในสมอง และเพิ่มการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายและอารมณ์ดี แถมสุขภาพด้านอื่นๆ ก็ดีขึ้นตามด้วย พอสุขภาพดีไร้โรคภัยไข้เจ็บ ความทุกข์ในมิติสุขภาพก็จะหายไปด้วย เรียกว่าออกกำลังกายทีเดียว ช่วยได้แบบ 2 in 1 เลยก็ว่าได้

📌หรือหากไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้จริงๆ ก็อย่าลังเลที่จะไปพบจิตแพทย์นะ เพราะเราคือคนป่วย ใครๆ ก็ป่วยกันได้ ฉะนั้นคนป่วยที่มาหาหมอก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะโรคซึมเศร้าคือ “โรค” การป่วยเป็น “โรคซึมเศร้า” เราสามารถรักษาหายได้นะ ไม่ใช่เป็นแล้วเป็นเลยต้องป่วยตลอดชีวิตเน้อ




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2563   
Last Update : 24 ธันวาคม 2563 10:13:53 น.   
Counter : 656 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com