นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

"ผื่นลมพิษ" โรคกวนใจของใครหลายคน



"ผื่นลมพิษ" โรคกวนใจของใครหลายคน

“ลมพิษ” เป็นอีกหนึ่งโรคที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้กับผู้ป่วยได้ไม่น้อยเลย ทั้งในด้านบุคลิกภาพ ความสวยงาม การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน

ลมพิษเป็นโรคที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเป็นได้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อตัวกระตุ้น ทำให้ผิวหนังเกิดเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีขนาดตั้งแต่ 0.5-10 ซม.กระจายตามร่างกายอย่างรวดเร็ว มีอาการคันบริเวณที่มีผื่นขึ้น โดยทั่วไปผื่นจะอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แล้วผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ แต่ก็สามารถมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่นๆ ได้บางคนอาจริมฝีปากบวม ตาบวม หรือถ้าเป็นรุนแรงมากอาจมีอาการปวดท้อง แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก หอบหืด เป็นลมจากความดันโลหิตต่ำได้

ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าตัวเองนั้นแพ้อะไร อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในปัจจุบัน ก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคลมพิษได้เช่นกันโรคนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

1. โรคลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute urticaria) จะมีอาการผื่นลมพิษต่อเนื่องกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากการแพ้ เช่น แพ้อาหาร แพ้ยา การติดเชื้อในร่างกาย แมลงสัตว์กัดต่อย ฯลฯ อย่างไรก็ตามอาจไม่พบสาเหตุได้ถึง 50% ของผู้ที่เป็นลมพิษเฉียบพลัน

2. โรคลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic urticaria) จะมีอาการผื่นลมพิษเป็นๆหายๆ อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ต่อเนื่องกันนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป มีทั้งชนิดที่ทราบสาเหตุกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ ยา ระบบฮอร์โมน หรือเกิดจากปัจจัยทางกายภาพ และชนิดไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นความแปรปรวนภายในร่างกายเอง

ลมพิษเรื้อรัง อาจเป็นการแสดงของความผิดปกติหรือโรคที่แอบซ่อนอยู่ได้ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อแอบแฝงต่างๆ แพทย์อาจทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อค้นหาสาเหตุให้กับผู้ป่วย หากว่าตรวจหาโรคสำคัญที่อาจเป็นสาเหตุออกไปแล้ว ก็จะเข้ากลุ่มโรคลมพิษเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยควรช่วยสังเกต สิ่งกระตุ้นต่างๆ ที่ทำให้ลมพิษกำเริบ เช่น อุณหภูมิของอากาศ ความชื้น การเสียดสี แรงกดทับ อาหาร ยา อารมณ์เช่นความเครียด เวลาที่ลมพิษชอบขึ้นบ่อยๆ จะช่วยให้แพทย์ประเมินความรุนแรง และให้การรักษารวมถึงจัดยาให้ตรงกับช่วงเวลาที่ลมพิษจะกำเริบได้ดีขึ้น

** สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคลมพิษเฉียบพลัน ที่มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือมีภาวะความดันโลหิตต่ำ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ส่วนการรักษานั้นจำเป็นต้องหาสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยง ร่วมกับการกินยาหรือฉีดยา ซึ่งแพทย์จะพิจารณารักษาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละรายไป รวมถึงการปฏิบัติตัวเพื่อบรรเทาอาการด้วยการไม่แกะเกาผิวหนัง และทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเรื้อรังต่อเนื่องหลายปี ดังนั้นการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย จะช่วยให้ควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น และทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยดีขึ้นด้วย




 

Create Date : 10 มกราคม 2565   
Last Update : 10 มกราคม 2565 10:29:51 น.   
Counter : 986 Pageviews.  


8 ข้อดี จากการทำงานที่บ้าน Work from Home




8 ข้อดี จากการทำงานที่บ้าน Work from Home

เชื่อว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าตอนรับปีใหม่ที่ผ่านมาหลายคนคงได้ไปท่องเที่ยว พักผ่อนชาร์จพลังเพื่อกลับมาทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่ก็มีหลายบริษัทหรือหน่วยงานต่างๆ ที่มีนโยบายให้พนักงานทำงานอยู่บ้านก่อนอย่างน้อย 14 วันหรือบางที่ก็อาจให้ทำงานที่บ้านนานมากกว่านี้ก็มี เพื่อป้องกันหากมีการติดเชื้อโควิด-19 แบบไม่รู้ตัวจากการไปเที่ยว หรือสังสรรค์ และก่อนเริ่มทำงานก็อาจต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของเพื่อนร่วมงาน
 


หลายๆ คนที่ต้องทำงานอยู่บ้าน อยู่คอนโด อยู่อพาร์ทเม้นท์ หรือห้องเล็กๆ นานๆ อาจทำให้รู้สึกเบื่อ หรืออาจจะส่งผลให้เกิดความเครียดได้ จึงอยากมาแนะนำกิจกรรมยามว่างหลังจากทำงานเสร็จแล้ว ที่เป็นกิจกรรมทำในบ้านได้ และถือเป็นกิจกรรมคลายเครียดที่มีความหลากหลาย สามารถเลือกทำตามความชอบได้เลย

การอยู่บ้านเป็นเวลานานก็ไม่ได้ส่งผลเสียอย่างเดียว ก็มีผลดีได้เช่นเดียวกัน คือ ทำให้เรามีเวลาพักผ่อนมากขึ้น ไม่ต้องออกไปเผชิญกับการจราจรที่ติดขัดแย่งชิงการขึ้นรถสาธารณะ ไม่เสียเวลาไปกับการเดินทาง มีเวลาให้ตัวเองได้คิดทบทวนกับเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต รวมถึงได้ใช้เวลาทำเรื่องต่างๆ ที่เราไม่เคยทำ ถือเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปในตัวอีกด้วย
 


ข้อดีของการทำงานอยู่บ้าน Work from Home คือ

1. ประหยัดค่าใช้จ่าย แน่นอนว่าแค่ก้าวขาออกนอกบ้านก็ต้องมีเรื่องให้เสียเงินแล้ว ตั้งแต่ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าจิปาถะต่างๆ ซึ่งถ้าเราทำงานอยู่บ้านก็จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนั้นไปได้

2. คิดไอเดียใหม่ได้ การอยู่บ้านทำให้เรามีเวลาคิดอะไรหลายๆ อย่าง โดยที่ไม่ต้องเร่งรีบ มีเวลาไตร่ตรอง จนอาจทำให้คิดไอเดียในการทำสิ่งใหม่ๆ ได้

3. มีเวลาพักผ่อนจริงๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติในวันหยุดสำหรับบางคน อาจจะยังต้องทำงานอยู่ ดังนั้นเราจึงควรใช้โอกาสนี้ในการพักผ่อนอย่างจริงๆ จังๆ ถือเป็นการให้รางวัลตัวเองที่ทำงานหนักมาหลายปี

4. มีเวลาสะสางเรื่องที่ค้างคา บางคนที่มีแพลนทำสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ทำสักที เราก็อาศัยเวลานี้ในการทำทุกอย่างให้เสร็จ เพราะไม่รู้ว่าเราจะมีโอกาสได้พักทำงานอยู่ที่บ้านแบบนี้อีกไหม

5. จัดการตู้เสื้อผ้า นับว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้จัดการกับเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ที่มีเยอะแยะมากมายเหลือเกิน ซึ่งไอเดียการจัดตู้เสื้อผ้า เราสามารถหาดูได้จากยูทูป หรือเว็บไซต์ต่างๆ และเป็นโอกาสดีที่จะได้แยกเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วไปบริจาคหรือไปทำประโยชน์ด้านอื่นๆ

6. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายในห้องนอนเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายมาก มีการออกกำลังกายหลายชนิดที่สามารถทำได้ในพื้นที่จำกัด เช่น เล่นฮูลาฮูป โยคะ เต้นแอโรบิค หรือออกกำลังกายตามยูทูป โดยที่ไม่ต้องไปยิมหรือฟิตเนส

7. จัดห้องนอน ในสถานการณ์ปกติเราอาจจะไม่มีเวลาใส่ใจในเรื่องการจัดห้องนอนมากนักเพราะกลับมาก็เหนื่อยแล้ว เพื่อไม่ให้การทำงานที่บ้านน่าเบื่อจนเกินไป หลังทำงานเสร็จ ก็อาจเข้าไปหาไอเดียการจัดห้องนอนตามเว็บไซด์ต่างๆ เพื่อมาจัดห้องตัวเองให้น่าอยู่ก็ได้

8. ทำอาหาร เพราะก่อนหน้านี้เราอาจจะไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ทำอาหารทานเองเท่าไหร่ เพราะด้วยความเร่งรีบที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้มีเวลาทำอาหารทานเอง และพัฒนาฝีมือการทำอาหารของเราไปในตัวอีกด้วย

เห็นไหมครับว่า เราได้อะไรๆ ตั้งหลายอย่างเลยจากการ Work from home หรือการกักตัวอยู่บ้าน ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป อย่าท้อและขอให้ทุกคนสู้ๆ ไปด้วยกันนะครับ เพื่อรอให้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเหมือนเดิมอีกครั้ง...
 




 

Create Date : 07 มกราคม 2565   
Last Update : 7 มกราคม 2565 11:37:57 น.   
Counter : 587 Pageviews.  


ไวรัส RSV อันตรายไม่แพ้โควิด-19

 


ไวรัส RSV อันตรายไม่แพ้โควิด-19

#RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ความน่ากลัวของไวรัสนี้คือยังไม่มีวัคซีนป้องกัน และสามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรงและเสียชีวิตได้

โดยเชื้อไวรัสนี้จะทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม หลอดลมมีการสร้างสารคัดหลั่ง เช่น เสมหะ ออกมาในปริมาณมากร่วมกับมีการหดตัวของหลอดลมเนื่องจากเยื่อบุหลอดลมและทางเดินหายใจบวมอักเสบ จึงทำให้เกิดอาการหอบ เหนื่อย หายใจลำบาก อีกทั้งยังแพร่เชื้อและติดต่อกันได้ง่ายมากจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง จากการไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ติดเชื้อ และเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปากหรือลมหายใจ และสามารถแพร่เชื้อได้หลังจากได้รับเชื้อ 2–3 วัน ไปจนถึง 2 สัปดาห์ และมีระยะฟักตัว 3-5 วัน ถึงจะแสดงอาการ

โดยทั่วไปใน #เด็กเล็กจะมีอาการรุนแรงมากกว่าในผู้ใหญ่ แต่หากเกิดในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปอด โรคหัวใจ ก็ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกับในเด็กเล็ก สามารถเกิดอาการได้หลากหลายตั้งแต่มีอาการเพียงเล็กน้อยเหมือนหวัดธรรมดา มีไข้ ไอ น้ำมูก ไปจนถึงมีอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ หอบเหนื่อยมากจนมีภาวะหายใจล้มเหลวจนต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

#อาการมักจะรุนแรงมากในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า5ปี เด็กที่คลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด โรคหัวใจ หอบหืด ส่วนใหญ่จะมีอาการคล้ายไข้หวัดนำมาก่อน 2-3 วันแล้วจากนั้นจะเริ่มมีอาการไข้สูง ไอมากขึ้น ไอมากจนอาเจียน ซึมลง กินข้าว กินนมไม่ได้ หายใจเร็ว เหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงวี้ดเสียงครืดคราด ถ้าเป็นมากจะหายใจหอบจนอกบุ๋ม

** การติดเชื้อ RSV อาจทำให้มีอาการคล้ายๆ การติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สงสัยหรือไม่แน่ใจในอาการแนะนำให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์ตรวจวินิจฉัยดีที่สุด

RSV เป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาเฉพาะ ทำได้เพียงรักษาตามอาการ ได้แก่ การให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ ขับเสมหะ ยาลดน้ำมูก โดยเน้นการดูแลระบบทางเดินหายใจเป็นสำคัญ เพื่อช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น หอบเหนื่อยลดลง ส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ หรือหากมีภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนก็อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

เนื่องจากโรคนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกันและสามารถเป็นซ้ำได้อีก การระวังไม่ให้เด็กติดเชื้อไวรัสจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด โดยการหมั่นล้างมือให้เด็กบ่อยๆ รวมถึงพ่อแม่ คนรอบข้าง ก็ควรล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลทุกครั้งก่อนสัมผัสหรือดูแลเด็ก หลีกเลี่ยงการจูบ หอมเด็ก และต้องใส่หน้ากากอนามัยป้องกันหากรู้สึกไม่สบาย หมั่นทำความสะอาดของเล่น ของใช้เด็ก และไม่พาเด็กไปสถานที่ที่มีคนเยอะ เท่านี้ก็สามารถลดโอกาสสัมผัสเชื้อนี้รวมถึงเชื้อโรคอื่นๆ ได้แล้ว




 

Create Date : 06 มกราคม 2565   
Last Update : 6 มกราคม 2565 10:52:27 น.   
Counter : 715 Pageviews.  


6 เคล็ด (ไม่) ลับ การดูแลผิวไม่ให้แห้งคัน ช่วงหน้าหนาว



6 เคล็ด (ไม่) ลับ การดูแลผิวไม่ให้แห้งคัน ช่วงหน้าหนาว

ในช่วงที่อากาศหนาว เย็น ความชื้นของอากาศจะมีน้อยกว่าผิวหนัง ส่งผลให้น้ำหรือความชื้นที่อยู่ตามผิวระเหยออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้นดังนั้นเมื่อหน้าหนาวมาเยือนจึงทำให้หลายคนมักมีปัญหาผิวแห้ง แตก ลอกเป็นขุยรุนแรงไปจนถึงบวม แดง ผิวหนังอักเสบและมักจะตามมาด้วยอาการคันหากเผลอถูแกะเกาก็อาจทำให้ต่อมน้ำเหลืองอักเสบหรือติดเชื้อลุกลามได้ถ้าไม่ป้องกันและดูแลรักษาให้ถูกวิธี

ซึ่งวิธีป้องกันและดูแลผิวพรรณช่วงหน้าหนาวทำได้ไม่ยากหากทำตามนี้จะช่วยป้องกันเรื่องผิวแห้งลงได้เยอะเลยว่าแต่จะมีวิธีไหนบ้างมาดูกัน

  • หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น เพราะการอาบน้ำอุ่นนานๆ จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น ควรอาบน้ำที่อุณหภูมิธรรมดา หากทนไม่ไหวเพราะอากาศหนาวมากจริงๆ ก็ไม่ควรอาบน้ำอุ่นนานเกินไป และเมื่ออาบเสร็จแล้วควรรีบเช็ดตัวให้แห้ง และทาผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้นทันที
     
  • ใช้สบู่ที่อ่อนโยน ควรเลือกสบู่ที่มีความเป็นด่างต่ำมีค่า pH กลางๆ หรือผสมมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหรือเลือกใช้เป็นประเภทครีมอาบน้ำ โฟมอาบน้ำ เนื้อบางเบาก็จะช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้เช่นกัน
     
  • ทาครีมบำรุงผิว การทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวจะช่วยกักเก็บน้ำและความชุ่มชื้นภายในชั้นผิวหนังไว้ได้เป็นอย่างดีทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นไม่แห้งตึง โดยควรทาหลังอาบน้ำเสร็จภายใน 3-5 นาที ระหว่างวันหากรู้สึกว่าผิวแห้ง ก็สามารถทาซ้ำได้วันละหลายๆ ครั้ง
     
  • ใส่เสื้อผ้าเนื้อนุ่ม ควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าอ่อนโยน ผ้านุ่ม โปร่งสบายระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้ายหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่มีขนเพราะอาจทำให้คันและเกิดผดผื่นได้ และเลือกใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงเท้า เวลานอน จะช่วยลดการสูญเสียน้ำจากผิวหนังได้
     
  • ไม่แกะเกาผิว การเกาผิวหนังบริเวณที่คันบ่อยๆ แรงๆ จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง อักเสบ และเป็นแผลที่ผิวหนังทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น หากทนไม่ไหวแนะนำให้ใช้มือลูบเบาๆ ก็พอ
     
  • ดื่มน้ำเยอะๆ ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในโดยเฉพาะคนที่อยู่ในห้องแอร์หรืออยู่ในที่อากาศเย็นและแห้ง

หากลองปฏิบัติตามที่แนะนำแล้ว อาการผิวแห้งยังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแสบ แดง คัน ลอกมากผิดปกติ ควรไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนัง จะได้ทราบสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดการอักเสบติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้




 

Create Date : 04 มกราคม 2565   
Last Update : 4 มกราคม 2565 15:32:20 น.   
Counter : 781 Pageviews.  


เด็กสมาธิสั้น ADHD


เด็กสมาธิสั้น ADHD 

พ่อแม่หลายคนคงปวดหัวไม่น้อย เมื่อลูกวิ่งซนไปมาไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนบางคนทักว่า “ลูกคุณสมาธิสั้นหรือเปล่า?” ซึ่งอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่กังวลใจไม่น้อย

ในทางการแพทย์โรคสมาธิสั้น คือ ความบกพร่องของสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่ในการควบคุมตัวเองในเด็กเล็กๆ โดยเฉพาะเด็กอายุ 2-3 ขวบ ที่สมองส่วนนี้ยังทำงานได้ไม่เต็มที่มากนัก จึงทำให้เด็กมีอาการซน ยุกยิก อยู่ไม่นิ่ง เปลี่ยนความสนใจง่าย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อแม่จะเข้าใจว่าลูกวัยนี้จะดูคล้ายเด็กสมาธิสั้น

แต่เมื่อเด็กอายุมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว สมาธิเด็กจะค่อยๆ ยาวขึ้น ทำให้สามารถจดจ่องานได้นานขึ้น แต่ถ้าเด็กยังคงมีอาการไม่จดจ่อ ซนมากกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน ไม่สามารถทำตามคำสั่งครูได้ เหม่อลอยบ่อยๆ อาจเป็นอาการเตือนของภาวะสมาธิสั้นได้

พ่อแม่ผู้ปกครองจึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรพาเด็กไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินว่ามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ และมีโอกาสเพียง 10-20 % เท่านั้นที่สามารถหายขาดเองได้โดยไม่ต้องรักษาและถ้าไม่รักษาอาจทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้นจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อความคิด การวางแผน และการจัดการบริหารชีวิตได้

การรักษาโรคนี้ต้องใช้เวลาและอาศัยความร่วมมือทั้งจากตัวเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณครูผู้สอน และต้องใช้หลายสหวิชาชีพดูแลร่วมกันเพื่อผลการรักษาที่ดี เมื่อเด็กหายขาดจากโรคนอกจากสมาธิและผลการเรียนจะดีขึ้นแล้ว เด็กยังเกิดความภูมิใจในตัวเองและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต

โรคสมาธิสั้นในเด็กถือเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ผู้ปกครองหรือคนในครอบครัว ควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมและใส่ใจเด็กๆ เพราะการสังเกตรู้ทันอาการ และยอมรับเพื่อรักษาอาการจะช่วยให้แก้ไขโรคสมาธิสั้นได้ทันการและหายเป็นปกติก่อนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้... “โรคสมาธิสั้น ยิ่งรู้เร็ว ยิ่งรักษาได้ง่าย”




 

Create Date : 29 ธันวาคม 2564   
Last Update : 29 ธันวาคม 2564 10:33:34 น.   
Counter : 843 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com