นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

ภาวะซีดหรือโลหิตจาง กระทบพัฒนาการลูกน้อย



ภาวะซีดหรือโลหิตจาง กระทบพัฒนาการลูกน้อย

ภาวะซีดในเด็กปัญหาที่พบบ่อยในเด็กไทยประมาณร้อยละ 30-50 ส่วนใหญ่ไม่มีอาการทางร่างกายชัดเจน จนกระทั่งอาการซีดรุนแรงขึ้นและสังเกตเห็นได้จากเปลือกตาล่าง ริมฝีปาก หรือผิวเริ่มซีด ไม่มีเลือดฝาดเหมือนผิวเด็กปกติ มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือกินอาหารน้อยลง ภาวะซีดในเด็กสามารถเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ

ภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก พบได้ในเด็กเล็กตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะเด็กที่กินนมแม่อย่างเดียว และกินอาหารเสริมมื้อหลักไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่านมแม่จะมีสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน แต่ถ้าหลังจาก 6 เดือนเป็นต้นไป การกินนมแม่เพียงอย่างเดียวอาจมีปริมาณธาตุเหล็กไม่เพียงพอต่อความต้องการต่อวัน จึงจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กสูงร่วมด้วยอย่างเพียงพอ ส่วนในเด็กโตมักเกิดจากปัญหาการเลือกทานอาหาร เช่น ไม่ทานผักใบเขียว หรือเนื้อสัตว์

ภาวะซีดจากโรคธาลัสซีเมีย ที่ถ่ายทอดจากพันธุกรรม เกิดจากความผิดปกติในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง จึงทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายและทำให้เกิดภาวะซีด

และหากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลต่อพัฒนาการตามวัยของเด็กได้ เช่น

  • สมองทำงานได้ช้าลง ส่งผลให้รู้สึกไม่กระฉับกระเฉง เฉื่อยชา เรียนรู้ช้ากว่าเด็กวัยเดียวกัน เนื่องจากได้รับออกซิเจนจากเม็ดเลือดแดงไม่พอ
  • การที่เด็กเบื่ออาหาร กินอาหารได้น้อย ร่างกายจึงขาดสารอาหาร ทำให้สุขภาพไม่แข็งแรง เจ็บป่วยง่าย และยังทำให้เติบโตช้าอีกด้วย
  • เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็ก ก็จะไม่มีธาตุเหล็กไปใช้ในการจริญเติบโต และยังส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง เปราะง่าย และอาจตัวเตี้ยกว่าเด็กวัยเดียวกัน

ภาวะซีดสามารถวินิจฉัยได้โดยการตรวจเลือดดูค่าความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง และวิเคราะห์ลักษณะของเม็ดเลือดแดงเพื่อวินิจฉัยภาวะซีด และพิจารณาตรวจเพิ่มเติมหาสาเหตุหากมีภาวะซีด เพื่อที่จะได้ให้การรักษาที่เหมาะสมกับโรคต่อไป ดังนั้นหากสงสัยว่าลูกหลานเข้าข่ายภาวะซีด ควรพาไปพบกุมารแพทย์เพื่อตรวจรักษาก่อนที่จะกระทบต่อพัฒนาการต่างๆ ของเด็ก




 

Create Date : 28 ธันวาคม 2564   
Last Update : 28 ธันวาคม 2564 10:57:41 น.   
Counter : 1218 Pageviews.  


5 Checklist นอนกรนแบบไหน..อันตรายในเด็ก




5 Checklist นอนกรนแบบไหน..อันตรายในเด็ก


ภาวะนอนกรนในเด็ก ที่ดูว่าน่าจะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ความจริงเป็นปัญหาที่อันตรายต่อสุขภาพของลูกน้อยอย่างมาก โดยส่วนใหญ่อาการนอนกรนจะพบในเด็กช่วงอายุ 2-8 ขวบ เพราะช่วงนี้ต่อมน้ำเหลืองในร่างกายกำลังโตไม่ว่าจะเป็นต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์
 


สาเหตุที่ทำให้เด็กนอนกรนที่หมอพบบ่อยๆ ก็มาจากต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โต ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบได้รองลงมาก็มาจากโรคภูมิแพ้โพรงจมูก ไซนัสอักเสบ โรคอ้วน ผนังจมูกคด ฯลฯ ภาวะนอนกรนถ้ามีการอุดกั้นทางเดินหายใจหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่รุนแรงมาก จะส่งผลให้ออกซิเจนต่ำเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ เมื่อออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่เพียงพอก็จะมีผลต่อเซลล์สมอง หัวใจ และพัฒนาการของเด็กตามได้ เช่น เด็กซุกซนมาก อารมณ์ฉุนเฉียว ก้าวร้าว สมาธิสั้น เรียนไม่เก่ง ความจำไม่ดี และร้ายแรงที่สุดคืออาจหัวใจล้มเหลวได้
 


ภาวะนอนกรนที่เป็นอันตราย ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้ คือ

  • ลูกนอนกรนเสียงดัง เสียงกรนคล้ายผู้ใหญ่
  • กรนมากในทุกท่านอน ไม่ว่าจะนอนหงาย นอนคว่ำ หรือนอนตะแคง
  • เสียงกรนมีการขาดหายเป็นช่วงๆ หรือมีอาการสะดุ้งเฮือกเหมือนขาดอากาศ
  • เปลี่ยนท่านอนบ่อย เปลี่ยนท่าแล้วยังกรนอยู่
  • ปัสสาวะรดที่นอน (เด็กก่อน 5 ขวบ จะมีการปัสสาวะรดที่นอนได้ แต่ถ้าเกิน 5 ขวบไปแล้ว มีการปัสสาวะรดที่นอน ถือว่าผิดปกติ)
     


ภาวะนอนกรนในเด็กสามารถวินิจฉัยได้ด้วยวิธีตรวจการนอนหลับ (Pediatric Sleep Test) แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดและตามรุนแรงของภาวะนอนกรน ดังนั้นหากพบว่าลูกมีภาวะนอนกรน หรือสงสัยว่าอาจมีปัญหา มีความผิดปกติ ควรพาลูกไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม หากปล่อยไว้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกตามมาภายหลังได้ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมคลิก >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/1205




 

Create Date : 27 ธันวาคม 2564   
Last Update : 27 ธันวาคม 2564 10:18:35 น.   
Counter : 720 Pageviews.  


หลังวัย 40 ทำไม?.. กินอะไร ก็อ้วนง่ายจัง




หลังวัย 40 ทำไม?.. กินอะไร ก็อ้วนง่ายจัง


เคยรู้สึกมั้ยว่า พออายุเริ่มมากขึ้น กินข้าวเท่าเดิมแต่ทำไม? น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางวันแค่หายใจยังอ้วนเลย ทั้งที่สมัยเป็นวัยรุ่นไม่เคยเป็นแบบนี้เลย!

ขออธิบายง่ายๆ ว่า สาเหตุหนึ่งเกิดจากการที่ระบบเผาผลาญหรือเมตาบอลิซึม (Metabolism) มันเริ่มเสื่อมยังไงล่ะ โดยร่างกายจะมีระบบเผาผลาญดีที่สุดวัยไม่เกิน 40 ปี หลังจากนั้นกินอะไรก็จะอ้วนง่ายแล้ว

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกับคำว่า “ระบบเผาผลาญ” ที่เราเรียกกันว่าเมตาบอลิซึมกันก่อน ระบบนี้มันคือกระบวนการเคมีในร่างกายที่เปลี่ยนสารอาหารที่เรากินให้กลายเป็นพลังงานไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน หรือระบบอวัยวะในร่างกายก็ต้องใช้พลังงานทั้งสิ้น 

เหมือนเราขับรถแล้วต้องเติมน้ำมัน เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนได้ก็ต้องไปเผาน้ำมันจนกลายเป็นพลังงาน ระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายก็คล้ายๆ กันการเผาผลาญของคนก็เหมือนกับเครื่องยนต์ พอใช้ไปนานๆ เข้า มันก็เริ่มเสื่อมสภาพได้ ทำให้เผาผลาญได้ไม่เต็มที่เหมือนตอนเป็นวัยรุ่น
 


ซึ่งได้รับการวิจัยมาแล้วว่าระบบเผาผลาญของเราจะค่อยๆ เสื่อมลง 5% ทุก 10 ปี ตั้งแต่อายุเลยวัย 40 ปีไปแล้วคือถ้าปล่อยไว้ไม่ทำอะไรเจ้าค่าเมตาบอลิซึมมันก็จะลดไปเรื่อยๆ กินเท่าเดิมแต่เพิ่มเติมคือน้ำหนักมากขึ้น พูดแบบบ้านๆ ก็คืออ้วนง่ายนั่นแหละ แต่ถ้าไม่อยากเป็นแบบนั้นก็พอมีวิธีชะลอไม่ให้มันเสื่อมลง ซึ่งวิธีซ่อมเมตาบอลิซึมหลักๆ มีอยู่ 2 อย่างคือ การทานอาหารและการออกกำลังกาย 
 


อย่างเรื่องอาหาร ก็ต้องปรับพฤติกรรมกันหน่อย เลี่ยงของหวาน ของมัน ทานผักเยอะๆ ที่สำคัญต้องทานอาหารที่มีโปรตีนเพื่อเสริมกล้ามเนื้อด้วยพอมีกล้ามเนื้อมากขึ้นร่างกายก็ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ยิ่งกล้ามเนื้อเยอะกว่าไขมันก็ยิ่งเผาผลาญเยอะนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้สาวๆ เผาผลาญได้น้อยกว่า เพราะตัวเล็กกว่าเลยมีกล้ามเนื้อน้อยกว่าและมีส่วนที่เป็นไขมันเยอะกว่าผู้ชายนั่นเอง
 


อีกเรื่องที่เพิ่มเมตาบอลิซึมได้ก็คือการออกกำลังกายเพราะจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานต่อวันให้ดียิ่งขึ้นถ้าจะออกกำลังกายให้เพิ่มการเผาผลาญก็ควรต้องออกกำลังโดยให้หัวใจเต้นในอัตรา 60-70 % ของอัตราสูงสุด

** คำนวนได้จากการเอาเลข 220-อายุปัจจุบัน จะได้ฮาร์ทเรทสูงสุด แล้วออกกำลังกายแค่ 60-70 %ของฮาร์ทเรทสูงสุดซึ่งตัวเลขที่ให้ออกกำลังกายที่ได้เป็นตัวเลขค่าประมาณเท่านั้น ถ้าจะเอาชัวร์ๆ ว่าเราต้องออกกำลังกายสักเท่าไร เพื่อให้ฮาร์ทเรตอยู่ในช่วงเผาผลาญไขมัน หรือถ้าอยากจะเพิ่มเมตาบอลิซึมด้วยการออกกำลัง ก็ควรจะรู้ลิมิตตัวเองด้วยการตรวจ Vo2 Max และได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาล อันนี้จะช่วยให้ได้ผลและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

แถมข้อดีของการทำเทส Vo2 Max จะทำให้เรารู้โซนออกกำลังกายที่เพิ่มความฟิตได้ด้วย ช่วยให้การออกกำลังกายไปแล้วจะฟิตขึ้น อึดขึ้น วิ่งได้ไกลขึ้นอะไรแบบนี้...(คุณแข็งแรงหรือฟิตแค่ไหน? VO2 Max มีคำตอบด้วยเทคโนโลยี CPET วัดอัตราการเผาผลาญออกซิเจนของร่างกาย คลิกอ่าน >> https://bit.ly/2L1uDCA)

ดังนั่นใครที่อายุเกิน 40 ปีแล้วโปรดอย่านิ่งนอนใจ เพราะเมตาบอลิซึมมันเริ่มนับเวลาถอยหลังลดลงเรื่อยๆ แล้ว ฉะนั้นการออกกำลังกาย และเปลี่ยนพฤติกรรมการกินตั้งกะวันนี้คุ้มค่ากว่าการปล่อยให้อ้วน แล้วต้องจ่ายค่ารักษาโรคต่างๆ ทีหลังแน่นอน
 






 

Create Date : 24 ธันวาคม 2564   
Last Update : 24 ธันวาคม 2564 10:55:38 น.   
Counter : 642 Pageviews.  


ระวัง! เด็กติดจอนานเสี่ยง "ออทิสติกเทียม"



ระวัง! เด็กติดจอนานเสี่ยง "ออทิสติกเทียม"

ออทิสติกเทียมหรือพฤติกรรมคล้ายออทิสติก สาเหตุหลักก็มาจากการเลี้ยงดูที่ส่งเสริมให้เกิดอาการของออทิสติกขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิด การเลี้ยงดูที่ว่านี้ก็คือ การไม่ปล่อยหรือส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการตามวัย และใช้เทคโนโลยีในการเลี้ยงดู ซึ่งดูเหมือนว่าเด็กยุคใหม่ วัยเตรียมอนุบาลและวัยอนุบาลมีโอกาสเสี่ยงจะเป็นออทิสติกเทียมกันมากขึ้น แต่พฤติกรรมที่คล้ายออทิสติกนี้สามารถป้องกันและแก้ไขได้ หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจและใส่ใจดูแลลูกอย่างใกล้ชิด

พฤติกรรมคล้ายออทิสติก ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากสมองของเด็ก ไม่ได้เกิดจากตัวโรค แต่เป็นเพราะการเลี้ยงดูของพ่อแม่ ที่ชอบปล่อยให้ลูกอยู่กับหน้าจอนานเกินไป ไม่ว่าจะเป็นจอทีวี แท็บเล็ต มือถือ เพราะรู้สึกว่าเด็กอยู่นิ่ง ควบคุม ดูแลง่าย

การที่อยู่แต่กับหน้าจอทำให้เด็กได้รับการสื่อสารแค่ทางเดียว เล่นคนเดียว ไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดโต้ตอบกับใคร การเลี้ยงดูแบบนี้นอกจากจะไม่กระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการตามวัยแล้ว ยังอาจทำให้แย่กว่าเดิม เพราะจากเด็กปกติก็อาจกลายเป็นเด็กไม่ปกติได้ เพราะเด็กจะสนใจเฉพาะเรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่สามารถดึงดูดเขาได้ จนกลายเป็นพฤติกรรมซ้ำๆ สมองจดจำแต่สิ่งเดิม ทำให้เด็กไม่มีการเรียนรู้ พัฒนาการต่างๆ ล่าช้าไม่ และทำให้เด็กไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง

อาการของเด็กที่เริ่มมีภาวะออทิสติกเทียมจะคล้ายออทิสติกแท้ คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตได้คือ เด็กจะไม่สนใจมองหน้าใคร ไม่สนใจจะพูดคุยกับใคร อาจจะพูดช้ากว่าวัย หรือพูดได้แต่ไม่เป็นภาษา ฟังไม่รู้เรื่อง ชอบพูดคำเดิมๆ ซ้ำๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังสงสัยหรือไม่แน่ใจว่าลูกเป็นออทิสติกหรือแค่มีพฤติกรรมที่คล้ายออทิสติก แนะนำให้พาเด็กเข้ารับการตรวจเช็คพัฒนาการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยอาการและทำการรักษาอย่างถูกวิธี อาการก็จะดีขึ้นและกลับมาเป็นเด็กปกติได้

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด ก็คือคุณพ่อคุณแม่ควรให้ความใส่ใจในการดูแลลูกน้อย เลี้ยงลูกด้วยวิธีแบบธรรมชาติ เล่นกับลูก พูดคุย สื่อสาร พยายามหลีกเลี่ยงการใช้เทคโนโลยี เพื่อให้เด็กเรียนรู้จากพ่อแม่เป็นหลัก และหมั่นทำกิจกรรมร่วมกับลูกเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูก ให้ลูกได้เล่นของเล่น อย่างเช่น ตัวต่อ ระบายสี วาดรูป ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างจินตนาการและการเจริญเติบโตทางด้านสมองอย่างเหมาะสมให้เด็ก และพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมกับทุกๆ กิจกรรมของลูก และที่สำคัญควรพาลูกออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยกับสังคม เสริมสร้างพัฒนาการด้านปฏิสัมพันธ์ การสื่อสารกับผู้อื่นที่เหมาะสมตามช่วงวัยนั่นเอง




 

Create Date : 23 ธันวาคม 2564   
Last Update : 23 ธันวาคม 2564 11:06:44 น.   
Counter : 1305 Pageviews.  


อยู่อย่างไร...ในวัยเกษียณเพื่อลดความวิตกกังวลจากโควิด-19




อยู่อย่างไร...ในวัยเกษียณเพื่อลดความวิตกกังวลจากโควิด-19

ต้องยอมรับก่อนเลยว่าตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโรคโควิด-19 จนถึงปัจจุบันได้สร้างปัญหาให้กับโลกมากมายทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สาธารณสุขการแพทย์ เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเกือบทุกประเทศทั่วโลกได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งทางตรงและทางอ้อม
 


และการที่มีคนติดเชื้อและแพร่กระจายออกไปทำให้มีคนล้มป่วยและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าผลกระทบตามมาของผู้คนที่บริโภคข่าวสาร หรือติดตามสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดความวิตกกังวล ความเครียด และสิ่งเหล่านี้เองอาจจะพัฒนาไปจนถึงเป็นโรคซึมเศร้าได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยเกษียณหรือผู้สูงอายุ เพราะโรคโควิด-19 มักโจมตีผู้สูงอายุมากกว่าคนอายุน้อยหรือหนุ่มสาว จึงทำให้เกิดความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น จากงานวิจัยจากหลายๆที่แสดงให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 นี้เป็นอันดับต้นๆเลยทีเดียว... ดังนั้นเราจึงจะมาแนะนำวิธีที่ช่วยให้ผู้สูงอายุห่างไกลจากความวิตกกังวลเหล่านี้ มาดูกันว่ามีวิธีไหนบ้าง?..
 


รับฟังข่าวสารแต่พอดี แน่นอนว่าสิ่งที่จะทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลคือข่าวสารที่หลั่งไหลมาแต่ละวัน ยิ่งในปัจจุบันที่ช่องทางการสื่อสารมีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุหนังสือพิมพ์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Line FB ที่มีการส่งต่อข่าวสารกันเป็นทอดๆ ทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม ทางที่ดีควรรับข่าวสารแต่พอดี และมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือมีที่มาที่ไปมีอ้างอิง หรือหากรับข่าวสารมากพอแล้ว ก็ควรพักแล้วไปทำกิจกรรมอื่นๆ บ้าง

ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี สิ่งสำคัญที่จะทำให้สุขภาพใจเข้มแข็งก็คือสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดังนั้นจึงควรนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวันเพื่อสุขภาพจิตที่ดีหากนอนน้อยหรือนอนหลับไม่สนิทการออกกำลังกายเล็กน้อยที่บ้าน เช่น การเดินในบริเวณบ้านการตัดแต่งสวน การทำความสะอาดบ้าน หรือการจัดบ้านเล็กๆน้อยๆก็สามารถเป็นการออกกำลังกายแบบไม่หักโหมได้ และยังเป็นการสร้างสุขภาพจิตที่ดีช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นนอกจากนี้การกินอาหารที่ดีอุดมไปด้วยไฟเบอร์เช่นผักผลไม้ ก็เป็นสิ่งจำเป็นในผู้สูงวัยทุกท่าน รวมถึงการลดน้ำตาล อาหารจำพวกแป้งและไขมันก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีได้

ทำกิจกรรมที่ชอบ การทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น การร้องเพลง ฟังเพลง ออกกำลังกาย อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ จัดสวนหรือแม้กระทั่งเล่นเกมส์ในมือถือ นอกจากจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองแล้ว ยังช่วยลดความวิตกกังวลจากข่าวสารการระบาดของโรคโควิด-19 และยังช่วยให้เพลิดเพลินไม่เครียดอีกด้วย

ใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย UCLA ในสหรัฐอเมริกา ระบุว่าวัยเกษียณหรือผู้สูงอายุมีความกังวลต่อโรคโควิด-19 มาเป็นที่1 สิ่งสำคัญก็คือโรคนี้มีความร้ายแรงต่อผู้สูงอายุ แต่สิ่งที่ดีของยุคนี้ก็คือการมีโซเชียลมีเดีย ที่ถึงแม้จะอยู่ไกลจากลูกหลาน จากเพื่อน ในช่วงที่ทุกคนต้องหยุดอยู่กับบ้าน ก็สามารถใช้โซเชียลมีเดียให้ได้ใกล้ชิดกันด้วยการ Video Call พูดคุยผ่านมือถือ แม้จะไม่เหมือนกับช่วงปกติแต่ก็ช่วยให้ความวิตกกังวลต่างๆ คลายเหงา คลายความคิดถึงได้

เชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งสำคัญที่สุดของการแก้ปัญหาความวิตกกังวลคือ ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง แม้โรคระบาดจะร้ายแรงแค่ไหน แต่ถ้าเราป้องกันตัวเองอย่างดีอยู่บ้าน ออกไปข้างนอกเท่าที่จำเป็นและสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อยู่นอกบ้าน หลีกเลี่ยงการสัมผัส เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์และไม่ไปในที่ที่คนอยู่เยอะแออัด เพื่อความปลอดภัย หากปฏิบัติตามนี้ได้อย่างเคร่งครัดก็ลดโอกาสติดเชื้อได้อย่างดี

ใครที่ลองทำตามนี้แล้วยังมีความเครียดและยังมีความวิตกกังวลอยู่การไปพบและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเป็นอีกหนึ่งวิธีที่อยากแนะนำอย่าปล่อยไว้นานจนกลายเป็นโรคซึมเศร้านะครับ...
 




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2564   
Last Update : 21 ธันวาคม 2564 11:04:29 น.   
Counter : 706 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com