นานาสาระสุขภาพที่น่ารู้.. เล่าสู่กันฟัง
 
 

Botox มีดีมากกว่าแค่ช่วยให้หน้าเป๊ะปัง




Botox มีดีมากกว่าแค่ช่วยให้หน้าเป๊ะปัง

สาวๆ คงรู้กันดีอยู่แล้วว่าการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) นั้นช่วยลดริ้วรอยไม่ให้มากวนใจหรือแม้กระทั่งช่วยยกกระชับปรับรูปหน้าให้เรียวสวยแต่นอกจากข้อดีในเรื่องความสวยความงามเหล่านี้แล้ว โบท็อกซ์ยังมีประโยชน์ดีๆ ที่เรายังไม่รู้อีกเพียบ ว่าแต่! จะมีอะไรอีกบ้าง? มาดูกันครับ..
 


Botox เป็นชื่อทางการค้า ชื่อสามัญคือ Botulinum toxin ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในการลดการทำงานของกล้ามเนื้อควบคุมลูกตาที่ผิดปกติ เพื่อรักษาอาการตาเข แต่พบว่าการฉีดทำให้ริ้วรอยบริเวณใกล้เคียงกันหายไปได้ จึงถูกนำมาใช้ในด้านความงามเป็นที่แพร่หลายจนถึงปัจจุบัน

 


ประโยชน์ทางด้านผิวหนังและความงาม

ลดการทำงานกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ทำให้เกิดริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า เช่น รอยย่นหน้าผาก ขมวดคิ้ว รอยตีนกา รอยย่นรอบปาก รอยเหี่ยวย่นบริเวณคอ ปรับสมดุลของกล้ามเนื้อใบหน้า เพื่อแก้ปัญหาคิ้วตก ระดับคิ้วไม่เท่ากัน การฉีดกล้ามเนื้อมัดเล็ก จะเห็นผลภายในระยะเวลาไม่กี่วัน และช่วยลดริ้วรอยได้นาน 3-4 เดือน
 


ลดขนาดกล้ามเนื้อเพื่อปรับรูปหน้า โดยการฉีดกล้ามเนื้อมุมกรามที่ใช้ในการบดเคี้ยว ทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดค่อยๆ เล็กลง นอกจากนั้นยังช่วยรักษาผู้ที่มีภาวะนอนกัดฟัน ทำให้ฟันสึกหรือปวดกรามเรื้อรังได้ หรือสามารถใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อน่องที่ใหญ่เกินไปได้ ระยะเวลาในการลดขนาดกล้ามเนื้อจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป และกล้ามเนื้อจะค่อยๆ กลับมามีขนาดเท่าเดิมภายใน 6-8 เดือนขึ้นกับการใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้นๆ
 


ลดการหลั่งเหงื่อและลดกลิ่นกาย โบทูลินั่มท็อกซินจะช่วยลดการทำงานของต่อมเหงื่อและต่อมไขมันเมื่อฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง สามารถลดการหลั่งเหงื่อที่มากผิดปกติ ทั้งบริเวณใต้วงแขน ฝ่ามือหรือฝ่าเท้าได้ โดยจะคงฤทธิ์การลดเหงื่อได้นาน 3-6 เดือน
 


นอกจากนั้นการใช้ Botulinum toxin ยังใช้ในการรักษาภาวะกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ หรือไม่สมดุลย์ เช่นการรักษาภาวะตากระตุก กล้ามเนื้อคอดึงตัวไม่เท่ากัน ลดการเกร็งและปวดของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง รักษาภาวะไมเกรน ภาวะมือสั่นจากโรคทางระบบกล้ามเนื้อและประสาท ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่จากกระเพาะปัสสาวะมีความไวต่อการกระตุ้นผิดปกติ 
 


โดยแพทย์อายุกรรมระบบประสาท ที่มีความเชี่ยวชาญจะช่วยวินิจฉัย ประเมินและเสนอทางเลือกในการรักษาด้วย โบทูลินัมทอกซินให้กับผู้ป่วย ซึ่งเป็นวิธีที่่ได้ผลรวดเร็ว และปลอดภัย

“การรักษาริ้วรอยตีนกา รอยย่น บนใบหน้าด้วยโบท็อกซ์” อ่านเพิ่มเติมคลิก https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/264




 

Create Date : 20 มกราคม 2565   
Last Update : 20 มกราคม 2565 11:41:55 น.   
Counter : 673 Pageviews.  


อาการสังเกต “มะเร็งผิวหนัง” ก่อนลุกลาม


อาการสังเกต “มะเร็งผิวหนัง” ก่อนลุกลาม

การวินิจฉัย “โรคมะเร็งผิวหนัง” จะต้องได้รับการตรวจชิ้นเนื้อด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ในจุดที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งผิวหนัง โดยพยาธิแพทย์ แต่เราก็สามารถค้นหามะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้นได้ด้วยการสังเกตสัญญาณอันตรายดังนี้ครับ...

  • มีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเป็นก้อนนูนโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้
  • ก้อนที่ผิวหนังมีแผลเกิดขึ้น หรือมีเลือดออกได้ง่าย
  • มีแผลเรื้อรังบนผิวหนังที่รักษาไม่หาย
  • มีแผลใหม่เกิดบนแผลเป็น หรือแผลไฟไหม้เดิม
  • รอยโรคบริเวณแผลเดิมมีสีดำหรือน้ำตาลที่ขอบเขตไม่ชัดเจน และมีแผลเกิดขึ้น
  • ไฝมีรูปร่าง สีเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือมีแผล เลือดออก โดยเฉพาะไฝที่ตำแหน่งมือ เท้าและเล็บ
  • พบผื่นเรื้อรังที่มีการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นเนื้อนูนขึ้นมา

มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ที่เป็นส่วนประกอบของผิวหนังนั้นๆ บางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มแรก ดังนั้นการหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผิวหนังของตัวเราเอง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคผิวหนังต่างๆ รวมถึงโรคมะเร็งผิวหนังได้




 

Create Date : 18 มกราคม 2565   
Last Update : 18 มกราคม 2565 13:50:54 น.   
Counter : 657 Pageviews.  


5 วิธีแก้สมองตื้อ... เมื่อคิดงานไม่ออก


5 วิธีแก้สมองตื้อ... เมื่อคิดงานไม่ออก

เวลาที่เราทำงานแล้วงานไปไม่ถึงไหน คิดอะไรไม่ออกสมองตื้อ คนส่วนใหญ่มักจะนั่งกุมขมับ ก้มหน้าก้มตาคิดวิธีทำให้งานเสร็จ แต่สุดท้ายก็คิดอะไรไม่ออกอยู่ดี.. จริงๆ เวลาแบบนี้เราควรจะลุกออกมาจากตรงนั้นก่อนหากยังนั่งมึน นั่งงง นั่งแช่อยู่กับโต๊ะอยู่อย่างนั้นงานก็ไม่เสร็จอยู่ดี เพราะว่าสมองล้าไปต่อไม่ไหวแล้วควรพักก่อนดีกว่า
 


ปกติแล้วมนุษย์ออฟฟิศชีวิตชิคๆ แบบชาวเราคงหนีไม่พ้นอาการสมองตื้อตันเป็นแน่ แต่ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่ก็ไม่ต้องกังวล ลองทำตาม 5 วิธีนี้รับรองว่าช่วยแก้ปัญหาสมองเออเร่อได้แน่นอน!
 

 

1.ทำสมาธิ การทำสมาธิเพื่อผ่อนคลายสมองไม่ต้องทำนานก็ได้ โดยเริ่มจากนั่งบนพื้นหรือเก้าอี้ในท่าที่สบาย ไม่เกร็งเอว หลับตา พยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ ส่งไปยังท้องน้อย อ้าปากเล็กน้อย เริ่มที่หายใจออกก่อน ค่อยๆ ผ่อนลมออกจนท้องน้อยแฟบ เมื่อผ่อนลมหมด สูดหายใจเข้าทางจมูก ตั้งสมาธิไปยังลมหายใจ คุณจะรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลาย แต่ไม่ต้องไปซีเรียสเอาที่สบายใจตัวเองก็พอการทำสมาธิ จิตต้องอยู่กับปัจจุบัน ขณะนี้ ตรงนี้ เมื่อใจเราสงบผลลัพธ์ดีๆ ก็จะเกิดขึ้นตามมาแน่นอน

2.เดินเล่นเวลาคิดงานไม่ออกหรือรู้สึกว่าความคิดในหัวยุ่งเหยิง ให้ลุกเดินไปเดินมาดูบ้างก็ได้ เดินไปเข้าห้องน้ำ เดินไปดื่มน้ำ เพราะการเดินจะช่วยให้เราคิดอะไรออกได้ เพราะสมองจะค่อยๆ เย็นลง และเมื่อสมองเราเกิดความสั่นไหวเบาๆ หัวจะปลอดโปร่งและปรับสมดุลดีขึ้น

3. ยืดเส้นยืดสายเวลานั่งทำงานเรามักจะชอบโน้มหัวมาทางด้านหน้า ซึ่งหัวของเรานั้นหนักถึง5 กิโลกรัม ยิ่งเราโน้มมาข้างหน้าเท่าไหร่กล้ามเนื้อต้นคอก็ต้องเกร็งแบกรับน้ำหนักอย่างมาก โดยเฉพาะกล้ามเนื้อตรงท้ายทอย ต้นคอ ไหล่ หลังช่วงบนกล้ามเนื้อส่วนนี้จึงตึงมากๆ ยิ่งตอนจดจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ คอยิ่งยื่นยาวไปข้างหน้า รวมถึงผู้ที่ชอบเล่นมือถือที่ก้มลงจ้องแต่จอเราจึงต้องผ่อนคลายความแข็งตึงกล้ามเนื้อส่วนนี้เสียก่อนถึงจะหายปวดล้าต้นคอ และสมองก็จะปลอดโปร่งขึ้น ให้ลองใช้วิธีเงยหน้า เอนหัวไปด้านหลังค้างไว้สักพัก ใช้มือนวดกล้ามเนื้อต้นคอเบาๆ จะรู้สึกหัวโล่งขึ้น

4. งีบตอนกลางวันไม่มียาคลายอาการสมองล้าใดๆ ออกฤทธิ์ได้ดีไปกว่าการงีบสัก 15 นาทีหลังมื้อเที่ยง ถ้าสถานที่สะดวกให้นอนลงกับพื้นจะดีที่สุด สำหรับใครที่นอนไม่หลับ แค่นอนเล่นสักพักก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนสมองที่ดีแล้วไม่ว่าจะนอนเล่นเงียบๆ ตั้งสมาธิไปด้วย หรือจะนั่งฟุบกับโต๊ะก็ได้ เมื่อตื่นขึ้นจะรู้สึกสดชื่น มีพลัง พร้อมลุยงานช่วงบ่าย

5. แอบกินขนมบ้างเวลาใช้ความคิดมากๆ เราจะรู้สึกอยากกินของหวาน ซึ่งการกินของว่างที่ชอบ เช่น ช็อกโกแลต เค้ก คุกกี้ระหว่างวันจะช่วยให้อารมณ์ดี และกลูโคสก็เป็นสิ่งที่สมองโปรดปรานเหมือนเป็นรางวัลเล็กๆ ให้กับตัวเอง แม้สุขภาพเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจแต่นาทีที่สมองล้า ก็ควรมอบรางวัลให้สมองบ้างให้บ่อยๆ ครั้งละน้อยๆ ก็ดีนะ

นอกจากนี้แล้วอยากแนะนำให้ลองหาเวลาไปเที่ยวพักผ่อน เพิ่มพลังให้สมองบ้าง เพราะการคิดอะไรไม่ออกนั้นเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเหนื่อยล้ามากเกินไปแล้ว ที่สำคัญอย่ากดดันตัวเองจนรู้สึกเครียดเกินไป เพราะความเครียดนี่แหละ! ที่เป็นตัวกระตุ้นให้สมองเราตื้อคิดงานไม่ออกมากขึ้นไปอีก!

 


 




 

Create Date : 14 มกราคม 2565   
Last Update : 14 มกราคม 2565 10:46:54 น.   
Counter : 528 Pageviews.  


ฉายแสง UVB ทางเลือกช่วยรักษา "โรคสะเก็ดเงิน"



ฉายแสง UVB ทางเลือกช่วยรักษา "โรคสะเก็ดเงิน"

โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผื่นผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากการปรวนแปรของระบบบภูมิคุ้มกันร่างกายกระตุ้นให้มีการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วกว่าปกติหลายเท่าทำให้ผิวหนังมีลักษณะเป็นผื่นแดงคันหนาเป็นปื้นลอกเป็นสะเก็ดขุยขาวพบได้ทั่วร่างกายและจะพบได้มากที่บริเวณศีรษะ ทั้งยังทำให้เล็บของผู้ป่วยผิดปกติได้ทั่วไปพบได้ในทุกช่วงอายุ

สาเหตุจริงๆ ของโรคสะเก็ดเงินนั้นยังไม่ทราบแน่ชัดแต่สามารถเกิดได้โดยทางพันธุกรรมส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่จะทำให้เป็นโรคสะเก็ดเงินได้ยังอาจมาจากการได้รับยาบางชนิด ภาวะอ้วน ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ รวมถึงความเครียด

โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นโรคติดต่อและไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ปัญหาคือทำให้บุคลิกไม่ดี เพราะอาการจะคล้ายๆ กับคนที่เป็นรังแค แต่สะเก็ดจะแผ่นใหญ่กว่ารังแคทั่วๆ ไป และมีอาการคัน หากแกะเกาสะเก็ดจะหลุดร่วงอยู่ตามตัว หรือมีเลือดออกที่ผิวได้ จึงทำให้เกิดปัญหาด้านจิตใจ บางคนกลัวว่าคนอื่นเห็นแล้วจะรังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้

สะเก็ดเงิน นอกจากการรักษาด้วยการทายาแล้ว ผื่นสะเก็ดเงินกินพื้นที่ผิวหนังค่อนข้างมาก แพทย์อาจแนะนำการรักษาด้วยการรับทานยา การฉายแสงอัลตราโวโอเล็ต และยาฉีดกลุ่มยาชีววัตถุสำหรับสะเก็ดเงินโดยเฉพาะ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินสภาวะความรุนแรงของผื่นของผู้ป่วยภาวะสุขภาพพื้นฐาน โรคประจำตัว และความสะดวกในการเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเลือกการรักษาที่เหมาะสมให้กับท่าน

ปัจจุบันวิธีการรักษาที่ได้ผลดีก็คือการฉายแสง UVB ซึ่งมีความถี่จำเพาะสำหรับช่วยให้โรคนี้หายเร็วและเกิดผลข้างเคียงน้อย แต่ควรต้องได้รับการตรวจร่างกายและซักประวัติโดยแพทย์ก่อนว่ามีข้อห้ามในการฉายแสงหรือไม่ หากไม่มีข้อห้ามก็สามารถฉายแสงได้

แม้ว่า “โรคสะเก็ดเงิน” จะเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่เราก็สามารถอยู่ร่วมกับโรคสะเก็ดเงินโดยมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ด้วยการมาพบแพทย์เป็นประจำทายาสม่ำเสมอ ไม่แคะแกะเกา รวมถึงไม่สูบบุหรี่ไม่ดื่มเหล้า และไม่เครียดจนเกินไป




 

Create Date : 12 มกราคม 2565   
Last Update : 12 มกราคม 2565 10:17:58 น.   
Counter : 836 Pageviews.  


"ผื่นลมพิษ" โรคกวนใจของใครหลายคน



"ผื่นลมพิษ" โรคกวนใจของใครหลายคน

“ลมพิษ” เป็นอีกหนึ่งโรคที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก เพราะสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาแม้จะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงมากนัก แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้กับผู้ป่วยได้ไม่น้อยเลย ทั้งในด้านบุคลิกภาพ ความสวยงาม การทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิตประจำวัน

ลมพิษเป็นโรคที่ทุกเพศทุกวัยสามารถเป็นได้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อตัวกระตุ้น ทำให้ผิวหนังเกิดเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีขนาดตั้งแต่ 0.5-10 ซม.กระจายตามร่างกายอย่างรวดเร็ว มีอาการคันบริเวณที่มีผื่นขึ้น โดยทั่วไปผื่นจะอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แล้วผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ แต่ก็สามารถมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่นๆ ได้บางคนอาจริมฝีปากบวม ตาบวม หรือถ้าเป็นรุนแรงมากอาจมีอาการปวดท้อง แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก หอบหืด เป็นลมจากความดันโลหิตต่ำได้

ซึ่งคนส่วนใหญ่มักไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าตัวเองนั้นแพ้อะไร อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในปัจจุบัน ก็อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคลมพิษได้เช่นกันโรคนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่

1. โรคลมพิษชนิดเฉียบพลัน (Acute urticaria) จะมีอาการผื่นลมพิษต่อเนื่องกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากการแพ้ เช่น แพ้อาหาร แพ้ยา การติดเชื้อในร่างกาย แมลงสัตว์กัดต่อย ฯลฯ อย่างไรก็ตามอาจไม่พบสาเหตุได้ถึง 50% ของผู้ที่เป็นลมพิษเฉียบพลัน

2. โรคลมพิษชนิดเรื้อรัง (Chronic urticaria) จะมีอาการผื่นลมพิษเป็นๆหายๆ อย่างน้อย 2 วันต่อสัปดาห์ต่อเนื่องกันนานเกิน 6 สัปดาห์ขึ้นไป มีทั้งชนิดที่ทราบสาเหตุกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ ยา ระบบฮอร์โมน หรือเกิดจากปัจจัยทางกายภาพ และชนิดไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นความแปรปรวนภายในร่างกายเอง

ลมพิษเรื้อรัง อาจเป็นการแสดงของความผิดปกติหรือโรคที่แอบซ่อนอยู่ได้ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคภูมิแพ้ การติดเชื้อแอบแฝงต่างๆ แพทย์อาจทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เพื่อค้นหาสาเหตุให้กับผู้ป่วย หากว่าตรวจหาโรคสำคัญที่อาจเป็นสาเหตุออกไปแล้ว ก็จะเข้ากลุ่มโรคลมพิษเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยควรช่วยสังเกต สิ่งกระตุ้นต่างๆ ที่ทำให้ลมพิษกำเริบ เช่น อุณหภูมิของอากาศ ความชื้น การเสียดสี แรงกดทับ อาหาร ยา อารมณ์เช่นความเครียด เวลาที่ลมพิษชอบขึ้นบ่อยๆ จะช่วยให้แพทย์ประเมินความรุนแรง และให้การรักษารวมถึงจัดยาให้ตรงกับช่วงเวลาที่ลมพิษจะกำเริบได้ดีขึ้น

** สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคลมพิษเฉียบพลัน ที่มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือมีภาวะความดันโลหิตต่ำ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วเพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ส่วนการรักษานั้นจำเป็นต้องหาสาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยง ร่วมกับการกินยาหรือฉีดยา ซึ่งแพทย์จะพิจารณารักษาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละรายไป รวมถึงการปฏิบัติตัวเพื่อบรรเทาอาการด้วยการไม่แกะเกาผิวหนัง และทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดแต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเรื้อรังต่อเนื่องหลายปี ดังนั้นการรักษาภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย จะช่วยให้ควบคุมอาการของโรคได้ดีขึ้น และทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของผู้ป่วยดีขึ้นด้วย




 

Create Date : 10 มกราคม 2565   
Last Update : 10 มกราคม 2565 10:29:51 น.   
Counter : 986 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  

หนึ่งเสียงในกทม.
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




คุยกับหมอราม
[Add หนึ่งเสียงในกทม.'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com