นอกจากนี้ฝนก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งของการแข่งขันที่เซี่ยงไฮ้ด้วยค่ะ แต่ลักษณะของฝนที่นี่ก็แตกต่างจากเซปัง โดยที่เซปังนั้นฝนจะตกช่วงสั้นๆ และตกหนัก ในขณะที่เซี่ยงไฮ้ ฝนจะตกตลอดช่วงบ่าย แต่ตกเบาบางกว่า แน่นอนว่าปิเรลลี่จึงต้องเตรียมยางรุ่น "ซินตูราโต้" (Cinturato) สำหรับแทร็คเปียก ซึ่งประกอบด้วยยางอินเตอร์มีเดียตสีเขียวและยางฟูลเว็ทสีฟ้ามาด้วยจุดเด่นอีกสิ่งหนึ่งของสนามเซี่ยงไฮ้คือจุดเบรกเมื่อสุดทางตรงด้านหลัง ซึ่งรถจะต้องลดความเร็วจาก 320 กม./ชม. เหลือเพียง 68 กม./ชม. ตรงนี้นักขับได้รับแรง G ถึง 6G ด้วยกันและเป็นแรง G สูงสุดที่ยางปิเรลลี่ "พี ซีโร่" (P Zero) จะได้เจอตลอดทั้งฤดูกาลค่ะ ไฮมี่ อัลเกอร์ชัวรี่ อดีตนักขับของโตโร รอสโซ ซึ่งปัจจุบันรับหน้าที่เป็นนักขับทดสอบให้กับปิเรลลี่อธิบายว่ามีอยู่ 2 โค้งที่ต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ โค้งแรกคือโค้ง 1 เป็นโค้งขวาหักไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุดจนกว่าจะเจอจุดหักกลับในโค้งต่อไป ยางต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในโค้งนี้เพื่อรองรับการรักษาไลน์ที่ดีของนักขับ ส่วนอีกโค้งหนึ่งคือโค้ง 13 เป็นโค้งขวายาวก่อนเข้าทางตรงด้านหลังและเป็นโค้งความเร็วสูง ซึ่งยางต้องรับภาระหนักเมื่อนักขับต้องเร่งออกจากโค้งเพื่อการเข้าทางตรงสู่ระยะ DRS ต่อไป การเข้าโค้งนี้จึงสำคัญมากโดยเฉพาะช่วงควอลิฟาย เพราะจะต้องทำความเร็วในการเข้าสู่ทางตรงอันจะมีผลต่อเวลาต่อรอบนั่นเองจากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งเรื่องฝนและการเสื่อมสภาพของยางอย่างรวดเร็ว การแข่งขันรายการไชนีส กรังด์ปรีซ์ จึงรับประกันความสนุกได้ทุกปีค่ะ*ข้อมูลและภาพจาก nextgen-auto.com