ยางปิเรลลี่ในปี 2012
ชนิดของยางนั้นยังแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ เหมือนเดิม คือยางสำหรับสภาพถนนแห้ง (Dry weather tyres / Slicks tyres) และ ยางสำหรับสภาพถนนเปียก (Wet weather tyres) โดยมีข้อมูลทางเทคนิคดังนี้
- เส้นผ่านศูนย์กลางของขอบยาง 13 นิ้ว ทั้งยางสำหรับล้อหน้าและหลัง
- ความกว้างของหน้ายางสำหรับล้อหน้า 245 มิลลิเมตร
- ความกว้างของหน้ายางสำหรับล้อหลัง 325 มิลลิเมตร
- เส้นผ่านศูนย์กลางของยางสำหรับสภาพถนนแห้ง 660 มิลลิเมตร
- เส้นผ่านศูนย์กลางของยางสำหรับสภาพถนนเปียก 670 มิลลิเมตร
ยางสำหรับสภาพถนนแห้ง มาในชื่อรุ่น "พี ซีโร่" (P ZERO) แบ่งย่อยเป็น 4 ชนิด ได้แก่
- ซูเปอร์ซอฟต์ (แถบสัญลักษณ์สีแดง) เหมาะกับสนามแบบสตรีทเซอร์กิตหรือสนามกึ่งถาวรซึ่งมีสภาพพื้นผิวลื่น และเป็นสูตรยางชนิดเดียวของยางสำหรับถนนแห้งที่ไม่ได้รับการปรับจากปีที่แล้ว
- ซอฟต์ (แถบสัญลักษณ์สีเหลือง) เป็นยางที่ได้รับการปรับปรุงให้เหมาะกับสนามที่ไม่กินเนื้อยางมากนัก เกาะถนนได้ดีแต่เนื้อยางก็หมดเร็วเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับยางชนิดเดียวกันที่ใช้ในปีที่แล้ว ยางสูตรนี้ทนร้อนได้มากกว่า ลดอาการบวมพองของเนื้อยาง คาดว่าจะเป็นยางชนิดที่ใช้กันมากในปีนี้
- มีเดียม (แถบสัญลักษณ์สีขาว) เหมาะกับทุกสภาพสนามด้วยคุณสมบัติที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะต่างๆ ได้ดีจนเรียกได้ว่าเป็นยางเอนกประสงค์ โดยเฉพาะกับสนามที่มีพื้นผิวหลากหลาย มุ่งให้เป็นยาง "ออปชั่น" สำหรับสนามที่มีอุณหภูมิสูงและมีพื้นผิวขรุขระ และให้เป็นยาง "ไพรม์" สำหรับสนามที่ทรมานเนื้อยางน้อยกว่า
- ฮาร์ด (แถบสัญลักษณ์สีเงิน) เป็นยางเนื้อแข็งแต่ไม่ใช่ว่าไม่ยืดหยุ่น รับประกันความคงทนสูงสุด ทนทุกสภาพที่โหดร้ายกับยาง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับชนิดเดียวกันของปีที่แล้ว ยางฮาร์ดของปีนี้มีเนื้อนิ่มกว่า ยางเหมาะกับการวิ่งระยะยาว พื้นผิวขรุขระ หรือที่ที่มีอุณหภูมิสูง ยางชนิดนี้เป็นยางสูตรใหม่ชนิดเดียวที่นักขับในกริดปีที่แล้วยังไม่เคยทดลองใช้มาก่อน
ยางสำหรับสภาพถนนเปียก ปีนี้ปิเรลลี่จับแยกออกมาจากตระกูลพี ซีโร่ โดยให้ชื่อรุ่นโดยเฉพาะว่า "ซินตูราโต้" (Cinturato) ซึ่งเคยโด่งดังมาแล้วในช่วงทศวรรษที่ 1950 พร้อมกับให้สัญลักษณ์สีใหม่ แต่ยังคงประกอบด้วยยางชนิดย่อย 2 ชนิด ได้แก่
- อินเตอร์มีเดียต (แถบสัญลักษณ์สีเขียว -- เปลี่ยนจากเดิมสีฟ้าอ่อน) เหมาะกับสนามที่มีฝนเพียงเล็กน้อย โดยจากผลงานความสนุกสนานที่แคนาเดียน กรังด์ปรีซ์ ปีที่แล้ว วิศวกรจึงตัดสินใจไม่เปลี่ยนสูตรยาง
- เว็ท / ฟูลเว็ท (แถบสัญลักษณ์สีฟ้า -- เปลี่ยนจากเดิมสีส้ม) ได้รับการปรับปรุงสูตรจากปี 2011 เน้นที่ยางหลังให้สามารถกระจายน้ำออกได้ดีกว่าในกรณีที่สนามมีน้ำฝนขังมากและทำให้นักขับขับในสภาวะเช่นนี้ได้ดียิ่งขึ้นโดยการทำดอกยางให้ลึกคล้ายๆ กับยางของรถบ้าน แต่สามารถไล่น้ำได้มากกว่า 60 ลิตรต่อวินาทีที่ความเร็ว 300 กม./ชม. ซึ่งมากกว่ายางสำหรับรถบ้านถึง 6 เท่าที่ทำได้เพียง 10 ลิตรต่อวินาทีด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า
ยางสำหรับถนนเปียกสีใหม่ในปีนี้
สำหรับการปรับปรุงแถบสีสัญลักษณ์ด้านข้างของยางนั้น ปิเรลลี่ได้ทำแถบสีและตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งพวกเขาได้ศึกษาโดยการถ่ายทำเวลาที่ล้อรถหมุนมาหลายครั้ง โดยเฉพาะยางฮาร์ดซึ่งมีสีเงินก็ทำให้มืดลงกว่าเดิมเพื่อให้เกิดความแตกต่างกับยางมีเดียมสีขาวอย่างชัดเจน และปิเรลลี่ยังมีแผนร่วมกับฟอร์มูล่าวันแมเนจเม้นท์ (FOM) ในการที่จะเสนอข้อมูลเรื่องยางให้กับผู้ชมทางโทรทัศน์มากขึ้นในปีนี้ด้วยค่ะ ซึ่งจะเป็นผลจากการที่ปิเรลลี่จะปรับปรุงระบบการเก็บข้อมูลของยางระหว่างการทดสอบและการแข่งขัน หรือ Racing Tyre System ซึ่งจะได้เป็นข้อมูลแบบ "รีลไทม์" ทุกครั้งที่รถแข่งลงสนาม โดยจะทำให้วิศวกรของปิเรลลี่ที่ประจำทีมต่างๆ สามารถติดตามสภาพการทำงานของยางในระหว่างลงสนามได้ใกล้ชิดมากขึ้น รวมไปถึงการประเมินข้อมูลสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับยาง เช่น อุณหภูมิยาง ความดันยางที่เหมาะสม หรือน้ำหนักรถที่เหมาะสมสำหรับบาลานซ์ของยาง เป็นต้น และข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้เหล่านั้น ทางเอฟโอเอ็มก็จะนำมาเสนอต่อผู้ชมเพื่อเพิ่มความสนุสนานระหว่างการลุ้นการแข่งขันนั่นเองค่ะ
ปีนี้ปิเรลลี่พัฒนาอะไรๆ มากมายเหลือเกิน พวกเขาจึงรับประกันความสนุกของการแข่งขันแน่นอนค่ะ
*ข้อมูลจาก pirelli.com / autosport.com/f1 / nextgen-auto.com
ภาพจาก autosport.com/f1 / nextgen-auto.com
Create Date : 25 มกราคม 2555 |
Last Update : 25 มกราคม 2555 18:29:35 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2226 Pageviews. |
|
เจอโรม ดัมโบรซิโอ อดีตนักขับของเวอร์จิ้น (เดิม) หรือมารุสเซียในปีนี้ ย้ายมาเป็นนักขับสำรองให้กับโลตัส (เรโนลต์เดิม) แล้วนะคะ ส่วนวิทาลี เปตรอฟ ก็แว่วๆ ว่าถ้ายังไม่มีงานแข่งรถทำในปีนี้ ก็อาจไปเป็นนักขับทดสอบให้ปิเรลลี่แทนก็ได้ค่ะ ยังไงก็รอยืนยันอีกที