คลิปจากยูทูบโดยคุณ Ikeraldai
ส่วนนักขับที่เหลือเรียกได้ว่าเป็นการผลัดใบเข้ายุคใหม่เสียแล้วเมื่อนักขับรุ่นเก๋าแทบจะไม่มีเหลือ นอกจากนั้นยังเป็นการกลับมาของยุค "เรอเนสซองส์" ในปีนี้มีนักขับฝรั่งเศสอยู่ถึง 3 คน ได้แก่ โรแมง โกรส์ฌอง ของโลตัส ฌอง-เอริก แวนญ์ ของโตโร รอสโซ และชาร์ลส์ พิค ของมารุสเซีย ในขณะที่เป็นเรื่องน่าเศร้าของชาวอิตาเลียนที่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่จะไม่มีนักขับจากประเทศของตนในสนามเลย
รายชื่อและหมายเลขของนักขับประจำทีมต่างๆ
เร้ดบูล
1. เซบาสเตียน เวทเทล (เยอรมัน / 24 ปี)
2. มาร์ก เว็บเบอร์ (ออสเตรเลีย / 35 ปี)
แม็คลาเรน
3. เจนสัน บัตตัน (สหราชอาณาจักร / 32 ปี)
4. ลูอิส แฮมิลตัน (สหราชอาณาจักร / 27 ปี)
เฟอร์รารี่
5. เฟอร์นันโด อลอนโซ่ (สเปน / 30 ปี)
6. เฟลิเป้ มาสซ่า (บราซิล / 30 ปี)
เมอร์เซเดส
7. มิชาเอล ชูมัคเกอร์ (เยอรมัน / 43 ปี)
8. นิโค รอสเบิร์ก (เยอรมัน / 26 ปี)
โลตัส
9. คิมี่ ไรค์โคเน่น (ฟินแลนด์ / 32 ปี)
10. โรแมง โกรส์ฌอง (ฝรั่งเศส / 25 ปี)
ฟอร์ซอินเดีย
11. พอล ดิ เรสต้า (สหราชอาณาจักร / 25 ปี)
12. นิโค ฮูลเคนเบิร์ก (เยอรมัน / 24 ปี)
เซาเบอร์
14. คามูอิ โคบายาชิ (ญี่ปุ่น / 25 ปี)
15. เซอร์จิโอ เปเรซ (เม็กซิโก / 22 ปี)
โตโร รอสโซ
16. แดเนียล ริคเคียร์โด้ (ออสเตรเลีย / 22 ปี)
17. ฌอง-เอริก แวนญ์ (ฝรั่งเศส / 21 ปี)
วิลเลียมส์
18. พาสเตอร์ มัลโดนาโด (เวเนซูเอล่า / 27 ปี)
19. บรูโน่ เซนน่า (บราซิล / 28 ปี)
แคเทอร์แฮม
20. เฮกกิ โควาไลเน่น (ฟินแลนด์ / 30 ปี)
21. วิทาลี เปตรอฟ (รัสเซีย / 27 ปี)
เอชอาร์ที
22. เปโดร เดอ ลา โรซ่า (สเปน / 41 ปี)
23. นาเรน คาร์ธิเคยัน (อินเดีย / 35 ปี)
มารุสเซีย
24. ทิโม่ กล็อค (เยอรมัน / 29 ปี)
25. ชาร์ลส์ พิค (ฝรั่งเศส / 22 ปี)
*ดูรูปภาพนักขับได้ที่ //www.formula1.com/teams_and_drivers/drivers/
กฎกติกาสำคัญที่มีผลในปีนี้
- DRS และ KERS ยังอยู่ต่อมาจากปี 2011
- ห้ามใช้ "โบลว์นดิฟฟิวเซอร์" หรือการใช้ประโยชน์จากไอเสียในการส่งผ่านไปยังตัวดิฟฟิวเซอร์ด้านท้ายรถเพื่อผลทางด้านอากาศพลศาสตร์ให้ท้ายรถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ทีมจึงต้องปรับตำแหน่งท่อไอเสียให้ขึ้นมาด้านบน รวมถึงการจำกัดการทำเอนจิ้นแม็ปปิ้งไม่ให้ส่งผลกับรถเช่นเดียวกับโบลว์นดิฟฟิวเซอร์แม้ขณะนักขับไม่ได้เหยียบคันเร่ง
- ต้องลดความสูงของจมูกรถ โดยส่วนหน้าของรถอนุญาตสูงสุดได้ 625 มม. แต่ส่วนปลายสุดจะต้องลดลงมาเป็น 550 มม. นั่นคือเหตุผลที่ทีมส่วนใหญ่ต้องมีการทำจมูกรถให้หักลาดลงมาอย่างที่เห็นกันไปแล้ว ยกเว้นแม็คลาเรนและมารุสเซีย
เทรนด์จมูกรถของปีนี้
- หากเกิดการแซงกันในโค้ง อนุญาตให้รถที่ป้องกันตำแหน่งของตนอยู่เปลี่ยนทิศทางได้เพียงครั้งเดียว
- หากเซฟตี้คาร์ถูกปล่อยออกมานำการแข่งขัน รถที่โดนน็อกรอบสามารถถอนตำแหน่งตนเองไม่ให้ถูกน็อกรอบได้ เพื่อไม่ให้รถในกลุ่มผู้นำต้องมาติดขัดจากรถที่วิ่งคนละรอบโดยไม่จำเป็น
- ห้ามใช้แก๊สฮีเลียมในวีลกันหรือปืนถอดน็อตล้อ ส่งผลให้พิตสต็อปจะช้าลงไปเล็กน้อย
- การกลับมาของการทดสอบระหว่างฤดูกาลเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี แต่เป็นการกำหนดอย่างเป็นทางการโดยเอฟไอเอในช่วงเดือนพฤษภาคมที่สนามมูเจลโล่ ประเทศอิตาลี
การปรับเปลี่ยนกฎล่าสุด ประกาศเมื่อ 9 มีนาคม 2012
- กรรมการสามารถยกเลิกการใช้ปีกหลังปรับได้หรือ DRS หากเมื่อใดที่เห็นว่าสภาวะการมองเห็นแย่ลงขณะเป็นการแข่งขันในสภาพสนามเปียก ทั้งนี้เป็นเหตุผลด้านความปลอดภัยจากความแตกต่างเรื่องความเร็วระหว่างรถแต่ละคันที่มีมาก
- หากการซ้อมวันศุกร์ทั้งช่วงเช้าและบ่ายเป็น "สภาพสนามเปียก" ทีมจะได้รับอนุญาตให้ยกยางสำหรับแทร็คแห้ง 1 ชุดไปใช้ในวันเสาร์ได้ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ทีมลงวิ่งมากขึ้นในวันเสาร์
- มีการปรับเปลี่ยนกฎการรักษาเวลา (เคอร์ฟิว) ของบุคลากรทีมต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าบุคลากรเหล่านั้นจะมีเวลาพักผ่อนอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งฤดูกาล โดยไม่ต้องคำนึงถึงเวลาของช่วงซ้อมในการแข่งขันบางรายการ
*คุณผู้อ่านอาจงง ขอคนเขียนขยายความนะคะ สืบเนื่องจากการที่บางทีมเข้าใจเวลาเคอร์ฟิวผิดในการแข่งขันรายการสิงคโปร์ กรังด์ปรีซ์ เมื่อปีที่แล้ว อย่างที่เราเสนอข่าวไว้ว่า "ก่อนเข้าสู่ช่วงควอลิฟายมีเรื่องให้ถกประเด็นกันเล็กน้อยระหว่างเอฟไอเอกับ 3 ทีม ได้แก่ เร้ดบูล เมอร์เซเดส และเวอร์จิ้น อันเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่การตลาดของทั้งสามทีมดังกล่าวอยู่ในสนามในช่วงที่เอฟไอเอทำการ "เคอร์ฟิว" ไว้สำหรับ "บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการกับตัวรถ" โดยสำหรับไนท์เรซ เวลาที่ห้ามไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องของทีมทุกคนเข้ามาในสนามได้คือ 9.30-16.00 น. หรือจนถึง 3 ชั่วโมงก่อนการซ้อมรอบสุดท้าย ซึ่งจากกฎที่เอฟไอเออนุญาตให้ฤดูกาลหนึ่ง ทีมสามารถฝ่าเคอร์ฟิวได้ 4 ครั้ง และตีความว่าเจ้าหน้าที่การตลาดก็เป็น "บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการกับตัวรถ" เมอร์เซเดสจึงต้องรับการฝ่าเคอร์ฟิวเป็นครั้งแรกของฤดูกาล เวอร์จิ้นถือเป็นครั้งที่ 2 ในขณะที่เร้ดบูลถึงกับเป็นครั้งที่ 3" แต่หลังจากนั้นทุกทีมได้รับคืนสิทธิ์ไม่ถูกปรับเป็นการฝ่าเวลาเคอร์ฟิวหลังจากกรรมการเอฟไอเอได้พูดคุยในรายละเอียดกับทุกทีมเป็นที่เรียบร้อย แต่พวกเขาก็อยากให้เอฟไอเอทำความเข้าใจกับทุกทีมทีมให้กระจ่างถึงการตีความกฏข้อนี้ คราวนี้ที่มีการปรับเปลี่ยนจึงมาจากเรื่องนี้ค่ะ
ข้อมูลยางปิเรลลี่
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=f1star&month=01-2012&date=25&group=1&gblog=552
สนามใหม่
สนามใหม่แกะกล่องของสหรัฐอเมริกา "เซอร์กิตออฟดิอเมริกาส์" ที่เมืองออสติน รัฐเท็กซัส จะพร้อมต้อนรับการแข่งขันฟอร์มูล่าวันปลายปีนี้ พร้อมด้วยการกลับมาของบาห์เรน กรังด์ปรีซ์ ซึ่งเมื่อปีที่แล้วต้องยกเลิกการเป็นเจ้าภาพสนามแรกของปีจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในประเทศ ทำให้ปีนี้นับเป็นปีแรกที่ฟอร์มูล่าวันจะมีการแข่งขันถึง 20 สนาม
ปฏิทินการแข่งขัน
1 ออสเตรเลีย (อัลเบิร์ต พาร์ก) 16-18 มี.ค.
2 มาเลเซีย (เซปัง) 23-25 มี.ค.
3 จีน (เซี่ยงไฮ้) 13-15 เม.ย.
4 บาห์เรน (ซาคีร์/บีไอซี) 20-22 เม.ย.
5 สเปน (คาตาลุนย่า) 11-13 พ.ค.
6 โมนาโค (โมนาโค) 24-27 พ.ค.
7 แคนาดา (ฌิลส์ วิลเนิฟ) 8-10 มิ.ย.
8 ยุโรป (บาเลนเซีย) 22-24 มิ.ย.
9 อังกฤษ (ซิลเวอร์สโตน) 6-8 ก.ค.
10 เยอรมัน (ฮ็อคเคนไฮม์) 20-22 ก.ค.
11 ฮังการี (ฮังกาโรริง) 27-29 ก.ค.
12 เบลเยียม (สปา-ฟรองโคชองป์) 31 ส.ค.- 2 ก.ย.
13 อิตาลี (มอนซ่า) 7-9 ก.ย.
14 สิงคโปร์ (สิงคโปร์) 21-23 ก.ย.
15 ญี่ปุ่น (ซูซูกะ) 5-7 ต.ค.
16 เกาหลี (ยองอัม/เคไอซี) 12-14 ต.ค.
17 อินเดีย (เดลี) 26-28 ต.ค.
18 อาบู ดาบี (ยาสมารีน่า) 2-4 พ.ย.
19 สหรัฐอเมริกา (เซอร์กิตออฟดิอเมริกาส์) 16-18 พ.ย.
20 บราซิล (อินเตอร์ลากอส) 23-25 พ.ย.
วันทดสอบระหว่างฤดูกาล: 1-3 พ.ค. - สนามมูเจลโล่ อิตาลี
*ข้อมูลจาก formula1.com และ nextgen-auto.com
ภาพจาก autosport.com/f1
Create Date : 10 มีนาคม 2555 |
Last Update : 11 มีนาคม 2555 12:07:17 น. |
|
13 comments
|
Counter : 1874 Pageviews. |
|
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=f1star&group=5