O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
VIDEO ลมเอย O ปฏิพัทธ์แห่งชายเมื่อบ่ายโบก ผ่านลมโลกแล่นระลอกพร่ำบอกศรี จะเปรียบหวานละลานค่าด้วยมาลี เหมือนหลู่ค่าราศีให้มีรอย ! O ด้วยว่าหอมหวานมวลแห่งมาลี จะต้องเกณฑ์ราคี .. บัดพลีถ้อย ถ้วนคันธารสพะยอม .. แม้-น้อมคอย ฤๅเปรียบหอมละม่อมน้อย .. รูปรอยเดียว ? O รอเถิด .. รูปแพงน้อย .. รอคอยรับ- การปรุงศัพท์ปรับพากย์ .. อันกรากเชี่ยว- ด้วยอาวรณ์รำบาย .. เพื่อคลายเกลียว- รัดทุกเสี้ยวใจขวัญ .. หมาย-พันธนา ! O รอเถิด.. รูปแพงเจ้า .. จงเฝ้าคอย เพื่อแววตาปริบปรอย .. ละห้อยหา- ได้ผ่านเผยภาพประทับ .. ไว้กับตา ร่วมรับรู้ปรารถนา .. ในอารมณ์ O รอเถิดรูปแพงเจ้า .. จง-เจ้ารู้ เมื่อแรงชู้หลอมหลั่งเข้าสั่งสม ก็ด้วยการ-ชี้ชัดจากหัตถ์พรหม- ผูกเป็นปมเงื่อนตาย .. สุดคลายคลอน ! O เหมือน-หยุดยืนเคว้งคว้างในทางน้อย ท่ามกลางหมอกล่องลอยดั่งคอยอ้อน ทางทอดรอ .. มุ่งหมาย .. สู่ปลายจร รอก้าวย่างแรมรอน .. อย่างท้าทาย O ไร้ดื่นดาวแสงระยิบจากลิบโพ้น เพียงแสงวันอ่อนโยนเริ่มโชนฉาย ลมเช้าโชยพรมพรำ .. ช่วยรำบาย- ความมืดหม่นให้สลายคลี่คลายตัว O หล่นร่วงรูปใบบางในทางเที่ยว ความเปล่าเปลี่ยวเย็นเยือกก็เกลือกกลั้ว ลมโชยผ่านใบนั้น .. ย่อมสั่นรัว- จนหลุดขั้วร่วงคว้างลงกลางแดน O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ .. ใบวูบหล่น ให้แดดบนฟ้าห้อมดุจอ้อมแขน เพื่อหน่ออ่อนเขียวสด .. งอกทดแทน- ความขาดแคลนชุ่มชื้น .. บนพื้นดิน O เจ้า-ดั่งลมหนาวร่ำพรมพรำโลก มาลบโศกถ้วนสรรพให้ดับสิ้น เพื่อเห่กล่อมปถวี .. ปวงชีวิน- และยอดตฤณที่ใต้ร่มใบบัง O เห่เสียงกล่อมเหนื่อยล้าให้ลาลับ แลร่วมขับขานถ้อยให้คอยหวัง วาดวีบทวังเวงเป็นเพลงดัง ต่อกำลังก้าวย่างสู่ทางจร O โบกบ่ายความสดชื่นความรื่นรมย์ ผ่านสายลมพลอดพร่ำ .. แทนคำอ้อน เผย"ความนัย"อ่อนเจ้า .. ช่างเว้าวอน- ทั้งแสนอ่อนโยนเหลือทุกเนื้อความ O วัลย์เลื้อยเถารัดล้อมราวอ้อมกอด- สองแขนสอดรัดทรวง .. ว่าหวงห้าม ลมแผ่วพลิ้วโลมลูบ, หวัง-รูปงาม- จักวาบหวามในอก .. สะทกสะท้อน O ลมแรกเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยล้อม- ดอกแก้วบานพรั่งพร้อมกลิ่นหอมอ่อน ใบไม้ร่วงพลิ้ววางในต่างตอน เมื่อทางจรทอดยาว .. รอก้าวไป O โอ .. นั่นรูปเรียวก้อยเจ้าคอยยื่น- มาร่วมขืนขัดร้อยเกี่ยวก้อยให้- ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง .. ต้องร้างไกล เหลือสดใสทอดช่วง .. ที่ดวงตา O ยิ้มรับสายลมอ่อน, ความอ่อนโยน- ก็ถ่ายโอนรุมล้อมอยู่พร้อมหน้า เจ้าเอยที่ตรึงมั่นในสัญญา รู้เถิดว่าเกินถอน .. แล้วอ่อนน้อย O ลมผ่านวูบ .. ใบบางก็คว้างหล่น ทิ้งรูปกล่นเกลื่อนแล้วอย่างแผ่วค่อย เห็นเพียงความกรอบเกรียม ..นั้นเปี่ยมรอย ที่จักคล้อยเคลื่อนลับ .. ไปกับกาล O เห็นรูปเรียวเสียดยอดขึ้นพลอดแสง แทรกทิ่มแทงโลกธาตุอย่างอาจหาญ ใจที่คอยพิศเพ่งก็เบ่งบาน- บนรูปคราญอ่อนน้อย .. ทุกรอยใจ O ริ้วแห่งลมโลมภู่ให้รู้หอม จนรายล้อมรู้หวานทุกหวานได้ แววอ่อนหวานวาบสู่ .. ถึงผู้ใด จึงสั่นไหวทุกหอมเคยหอมล้ำ O ก้อยเรียวพร้อมแววประหวั่นเจ้า ย่อมรุมเร้าใจเต้นไม่เป็นส่ำ ร่วมเกี่ยวร้อยก้อยเรียวร่วมเหนี่ยวกรรม ให้โลกร่ำลือนาม .. เช่นยามเพรง O ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง O แดดเช้า .. ลมชื่น .. ใจตื่นช่วง แว่วยินท่วงทำนองพร่ำพร้องเสียง จากแมกไม้พุ่มกอ หรือพอเพียง- แทนสำเนียงอาวรณ์ถึงอ่อนน้อย O ลมผ่านสายใบบางยังคว้างร่วง ผ่านทุกช่วงยามโลกอย่างโศกสร้อย ก้อยยังเกี่ยวก้อยย่ำ .. ซ้ำซ้ำรอย ใดจะลอยหลุดร่วงไม่ห่วงเลย O ลมเห่กล่อม, ดอกแดดทอแวดล้อม คืออุ่นอ้อมแขน-อ้อนเถิด .. อ่อนเอ๋ย โลมดอกแดดอบอุ่นให้คุ้นเคย- ก่อนชิดเชยอกอุ่น .. ที่หมุนรอ !
Create Date : 08 กันยายน 2556
Last Update : 5 พฤษภาคม 2566 21:19:13 น.
6 comments
Counter : 3843 Pageviews.
โดย: บุษบามินตรา IP: 80.132.225.117 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:12:28:35 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:22:02:16 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 80.132.225.117 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:22:51:40 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 80.132.225.117 วันที่: 9 กันยายน 2556 เวลา:23:12:06 น.
โดย: สดายุ... วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:5:11:23 น.
โดย: บุษบามินตรา IP: 80.129.251.116 วันที่: 11 กันยายน 2556 เวลา:6:49:49 น.
Location :
กรุงเทพฯ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 152 คน [? ]
O สิ้นสวาดิ .. O O ให้เราสองขาดกันแต่วันนี้ อย่าได้มีหัวใจอาลัยหา ความรู้สึกอ่อนหวานมันด้านชา ปรารถนาคงเหลือ .. เพียงเพื่อลืม O อัสดงคต .. ดวงรพี .. คล้ายรีรอ จะทอดทอสุรภาพ .. ให้ปลาบปลื้ม ก่อนโอนแสงดาวกระพริบให้หยิบยืม ไว้ร่วมดื่มด่ำงาม .. ยิ่งงามนั้น O เงียบงันด้วยเยียบเย็น .. ใต้เพ็ญแข สุดตาแลเหลียวไป .. ภาพไหวสั่น คล้ายภาพพจน์อันตระการแห่งวานวัน ค่อยบิดเบี้ยวแปรผัน .. เกินกั้นไว้ O คลื่นแสงพาดราศี .. สู่ชีวิต โลมดวงจิตมุ่งมั่นกับฝันใฝ่ สุรภพอัมพร .. ผ่านตอนไป สุมฟอนไฟนิรมิตเป็นสิทธา O โลกราตรีรู้ผ่านแต่ด้านมืด ให้เย็นชืดแห่งวิกาลเผยผ่านหา โหมรอบหม่นหมองหมาง .. ให้ย่างมา คลุมครอบอารมณ์คน .. อยู่อลเวง O มีจันทร์แสงเรื่อรอง .. สู่คลองเนตร คลายแววเลศกราก-รุมเข้ากุมเหง ผ่านความหมายเร้ารัว .. บอกตัวเอง ให้รุดเร่งถือสิทธิ์ .. ในจิตตน O นิมิตใดกันเล่าที่เฝ้าหมาย เช่นวิชชุรำร่ายกลางสายฝน ฤๅผกายมณีน้ำ .. แสงอำพน จักปลาบปนผ่องผาย .. สบสายตา ? O งามเคยงาม .. ราววิชชุที่ลุแล่น เมื่อห้อมแหนภาคโพยม .. เข้าโถมถา แค่เพียงชั่วคาบยาม .. ก็ทรามทา- ทาบแผ่นฟ้ามืดคล้ำ .. ร่วมรำบาย O ใช่ผกายวิชชุ .. อันคุเพลิง ที่จะเริงโรจน์เต้น .. ฟาดเส้นสาย แต่เป็นมืดหม่นคล้ำ .. ค่อยกำจาย ย้อนความหมายถ่ายช่วง .. บ่งท่วงที O เฉกเช่นสายสาคร .. ไม่ย้อนกลับ ผ่านเลยแล้วผ่านลับไม่กลับที่ ขาดกันเถิด .. ชิดเชยที่เคยมี ตราบชั่วชีวาตม์จม .. ลงล่มลาญ !
ดายุ..
"O ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย
กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง
เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง
กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง"
ตอนนี้ ก็ไม่"เคว้งคว้างในทางน้อย"แล้วซิคะ..
น่าจะเปิดเพลง "พี่คอยน้องคอยต่างคนต่างคอยแต่บุญเราน้อยนักหนา.."ซิ