Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2556
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
6 สิงหาคม 2556
 
All Blogs
 
O เสภา .. กลางราตรี O








กอไผ่ - ลาวคำหอม (สี่แผ่นดิน)



-1-
O แว่ว .. นกค่ำเสียงดังเป็นจังหวะ
เมื่อลมชะโชยผ่าน, กลิ่นหวานรื่น-
ก็ฟุ้งฝ่ามืดดำในค่ำคืน
เคล้าเสียงคลื่นขับเห่ .. เพลงเสภา
.. นั่งต่ำกว่าสงฆ์สำรวมกาย
ชม้ายเห็นเจ้าพิมผู้นิ่มหน้า
พิมน้อยพอชม้อยไปปะตา
อายหน้าก้มนิ่งอยู่ในที ..

O สายตา, รูป แรกพบบรรจบรู้
อารมณ์ชู้ .. ก็วาบเต้น ทั้ง เณร, ศรี
สายตาเณรเวียนหา และวาที-
คล้ายดั่งมีเลศนัย .. สุมใส่นวล
O ลมแผ่วเคล้าเคลียพลอดโลมยอดพฤกษ์
แว่วเสภายามดึกให้นึกหวน
แต่สบแก้วอกกรำด้วยคร่ำครวญ
กระหึ่มล้วนเสน่หาแรงอาลัย
.. ดึกกำดัดลมพัดมาอ่อนอ่อน
พระจันทรแสงสว่างกระจ่างไข
เงียบสงัดทั่วทั้งวัดป่าเลไลยก์
เจ้าเณรน้อยละห้อยไห้คะนึงนาง ..
.. โอ้พิมนิ่มนวลของเณรแก้ว
เจ้าไปแล้วจะรำลึกถึงพี่บ้าง
หรืองามปลื้มแม่จะลืมน้ำใจจาง
แต่ครุ่นครางครวญคิดจนค่อนคืน ..

O ค่ำคืนนั้น .. ละห้อยถึงคำนึงหา
แลค่ำนี้ .. ปรารถนาเกินฝ่าฝืน
จะเป็นสร้อยโศกซ้ำให้กล้ำกลืน
ฤๅจะรื่นอบร่ำมากล้ำกรอม
O ตราบดาวกระพริบดวงไม่ล่วงสิ้น
แลบุบผาโลมถิ่นด้วยกลิ่นหอม
เกสรหวานภุมรินยังบินตอม
จะหักห้อมเสน่หา .. ยากกว่านัก
O เรไรเอ๋ยระงมเสียง .. หรือเพียงเพื่อ-
จะแทรกเชื้อถวิลปวงให้หน่วงหนัก
เพื่อรำบัดยอดงามของความรัก
ทอดลงกักกุมใจของใครนั้น
.. เดชะพระเวทวิทยามนต์
เผอิญดลใจพิมให้ป่วนปั่น
ห่มผ้าคว้าขันข้าวบาตรพลัน
กับสายทองพากันก้าวลงมา ..
.. เปิดประตูอาดเดินนาดกราย
เณรพลายได้ยินก็เงยหน้า
พิมน้อยชม้อยพอปะตา
ก็รู้ว่าเณรแก้วผู้แววไว ..

O การเวกหอมหวนแต่จวนค่ำ
และใจคร่ำครวญอยู่ .. ฤๅ-กู้ไหว
ฝันอันคอยผุดพร่างอยู่กลางใจ
แม้นฟ้าใหม่เปลี่ยนฝั่งจักยังคง
O สายหยุดเจ้าหยุดกลิ่นแต่สิ้นสาย
หากรูปกายรูปจริต เกินคิดบ่ง
ตั้งแต่เนตรวาวน้ำ .. ผ่านจำนง
จบบรรจงม้วนปลาย-เส้น .. สายใย
O ลำบากนักจักหมาย .. เช่นพลายแก้ว
หลังต้องแววตาอ้อน-สุดผ่อนไหว
เลศเร้นแฝงเกินอิทธิฤทธิ์ใด-
จักอาจแก้เงื่อนนัยช่วยไขความ
O หากมีฤทธิ์วิทยามนตราเวทย์
ทุกนัยเลศ .. ปรารมภ์ขอข่มข้าม
ตรึงอาวรณ์อาลัยที่ใจงาม
ให้ลุกลามปฎิพัทธ์ แนบทัดทรวง
.. อันความรักหนักแน่นแสนวิตก
ระอาอกแทบเท่าภูเขาหลวง
พรหมินทร์อินทร์จันทร์สิ้นทั้งปวง
ก็บนบวงสิ้นฟ้าสุราลัย ..
.. เชื้อเชิญเมินหน้าไม่มาช่วย
เห็นคงม้วยไม่หมายผู้ใดได้
เว้นแต่เจ้าเยาวยอดผู้ร่วมใจ
จะผลักพลิกแพลงให้บรรเทาลง ..

O อันคำพ้อต่อทิพสูงลิบนั่น
หรืออาจบั่นร้อนรุ่มความลุ่มหลง
หากปมเงื่อนสัมพันธ์ผูกมั่นคง
ย่อมปลิดปลง .. หน่ายแหนงคลางแคลงใจ
O ค่ำคืนนี้ .. เปลี่ยวเหงาใต้เงาแข
ด้วยสุดแก้บทตอน .. คืนย้อนใหม่
เขา .. สุขพร้อมถนอมรับอยู่กับใคร
เมื่ออีกใจสงบฟัง .. เสียงวังเวง
O มีจันทร์และมีใจ .. ที่ไหวสั่น
ด้วยมุ่งมั่น .. คอยฉุดให้รุดเร่ง
ท่ามแสงจันทร์ส่องสลัว .. มีตัวเอง-
นั้นคร่ำเคร่ง .. ตัดวิตกในอกตน

-2-
O ในคำนึงเงียบเหงา .. มีเงาร่าง
อยู่ท่ามกลางลมเห่ห้วงเวหน
พร้อมรื่นลมโรยสาย, ที่ว่ายวน-
คืองามรูปลักษณ์พิมลล้อมหนทาง
O คล้ายอำนาจแสนยาจากฟ้าสูง
และคล้ายยูงอกแอ่นรำแพนหาง
เหลื่อมลายขนสีสันแห่งสรรพางค์
ให้เที่ยวทางปรากฎแต่งดงาม
O สดับคีตคร่ำครวญ .. ให้หวนหา-
แต่คุณค่าเสพทราบ .. จนวาบหวาม
ขนเหลือบแสงเห็นระยับอยู่วับวาม
จะข่มข้ามงามนั้นก็หวั่นใจ
O หางนกยูงดอกดวงยามร่วงหล่น
ก็เช่นดวงใจคนเมื่อหล่นไหล
ต้องคุณค่าความหมายจากภายใน
พลิ้ว พลิกคว้างระหว่างไหวของลมวน
O ร่วงกลีบหล่นพร่างพรมเมื่อลมตื่น
เช่นใจรื่นหล่นต้องด้วยฟองฝน
หางนกยูงเกลื่อนแหล่งก็แดงจน-
เหมือนใจคนแดงเรื่อด้วยเชื้อไฟ
O เป็นไฟฟอนซ่อนขุมเร้ารุมอยู่-
ด้วยนัยชู้โหมลุกขึ้นรุกไล่
ผ่านอำนาจแสนยาจากฟ้าไกล
เชื่อมต่อความหวั่นไหวด้วยนัยเดียว
O จะมีหรือ .. ฟ้าสูงและยูงสี
เอื้ออารีเผื่อแผ่มาแลเหลียว
มีหรือ .. ปอยเมฆริ้วแลนิ้วเรียว
จะอาจเหนี่ยวชื่นชมได้สมใจ
O โอ้ .. เจ้าดวงดอกฟ้ามณฑาทิพย์
แต่กระพริบแสงระยับขึ้นขับไข
ก็เพื่อโลกทั้งผองจักมองไป
เฝ้าปองงามสดใสด้วยใจเจียม
O เพียงคิดปองงดงามดั่งความว่า
แทนหาญกล้า .. ใจชายกลับอายเหนียม
คุณค่าเมื่อนำเปรียบ .. ไม่เทียบเทียม
ด้วยเต็มเปี่ยมความต่างทุกย่างไป
O เราต่างมีหน้าที่ให้ยึดถือ
ด้วยสองมือสรรสร้างเส้นทางให้-
สองเท้าเหยียด ยกย่าง โลกกว้างไกล
ด้วยหัวใจทรนง .. ที่ตรงกัน
O ใช่ไหมว่า .. แสนยาจากฟ้าสูง
ยากจับจูงเหนี่ยวได้ .. ดังใฝ่ฝัน
ลายขนเขียวขาบหางที่ต่างพันธุ์
บอกว่างามทั้งนั้นต่างกันไป
O มีคน .. ย่อมมีใจหวั่นไหวอยู่
ย่อมรับรู้ผูกพันถึงกันได้
มีใจ .. พร้อมขีดคั่นกีดกันใจ
นั้น-มีไว้ .. ให้ตระหนักในศักดิ์ตน
O คล้าย .. อำนาจแสนยาจากฟ้าสูง
และคล้ายยูงแผ่หางอยู่กลางหน
เหลือบลายสีสวยสะ .. ลงปะปน
ให้ฝูงคนทั้งสิ้นได้ยินดี
O คลายอำนาจปรารถนาลงหล้าต่ำ
เพื่อน้อมนำเสน่หารูปราศี
เจ้าเอยแต่เผยนัย .. หัวใจมี
ใจดวงนี้ก็รอเฝ้าอยู่เช้าเย็น !



Create Date : 06 สิงหาคม 2556
Last Update : 21 เมษายน 2566 5:07:47 น. 4 comments
Counter : 4872 Pageviews.

 

O นกน้อยในไร่ส้ม
อุปมาถุยถ่มเหมือนลมผาย
ความเท็จเฝ้าบิดเบือน กลบเกลื่อน .. กลาย-
เป็นสัจจ์ป้ายปาดความเอาตามใจ
O นกน้อยหัวไร้ขน
แม้นบินวนเวียนผ่าน หมื่นพันไร่
จนเลือกจิกแมงหนอนที่ชอนไช
ยังขาดไร้ศัพท์เสียงอันเที่ยงตรง
O นกน้อยหัวล้านเลี่ยน
แม้นบินเวียนกี่ครั้งก็ยังหลง
อคติชิงชังที่ยังคง
จักเยี่ยงนกในกรงเฝ้าโก่งคอ
O นกน้อยผู้ถ้อย-เท็จ
พิพากษาบอกเสร็จว่าเท็จหนอ
ปีกจะยังอาจคลี่ หรือรีรอ-
โขกหัวต่อ"เจ้าที่" ก่อนคลี่บิน ?
O นกน้อยผู้ด้อยตรอง
ปีกลอยฟ่องฟ้าอยู่ไม่รู้สิ้น
โวหารพจน์มดเท็จแนบเจตจินต์
เกลือกร่างเที่ยวหากิน เคล้ากลิ่นควาย !
O ภาพนกน้อยเปลี่ยนสีเป็นอีกา
ปีก ปาก อ้าไซร้ขน เที่ยวขวนขวาย-
เปลี่ยนทุกเท็จเป็นสัจจ์ระบัดระบาย
เพื่อปาดป้ายราวเรื่อง .. ปิดเมืองไทย !



โดย: สดายุ... วันที่: 6 สิงหาคม 2556 เวลา:22:17:43 น.  

 

สดายุ..

"O จะมีหรือ .. ฟ้าสูงและยูงสี
เอื้ออารีเผื่อแผ่มาแลเหลียว
มีหรือ .. ปอยเมฆริ้วแลนิ้วเรียว
จะอาจเหนี่ยวชื่นชมได้สมใจ"

ยังรักษาคุณสมบัติของ"กวี"ไว้อย่างคงที่ คือยกย่องนางอันเป็นที่รัก
อ่านแล้ว เสมือนเธอจะเป็น"โฉมสคราญ"ในวงบู๊ลิ้มนะ !

กำลังหวานแหววจากแววยูง มาสะดุดกึก กับอารมณ์"เฉียบขาด"ตรงนกน้อย..ตรงนี้ ไม่เข้าใจว่าต้องการบอกอะไรนะคะ


โดย: บุษบามินตรา IP: 87.174.122.242 วันที่: 6 สิงหาคม 2556 เวลา:23:26:14 น.  

 
มินตรา ..

บทข้างล่างนี้แวะ การเมืองหน่อยนึง
เป็นเรื่องของสื่อมวลชนในไทย
คำว่า "นกน้อยในไร่ส้ม" เป็นสำนวนที่หมายถึงสื่อสารมวลชน

สังคมไทยยุคนี้ .. แบ่งข้างด้วยอคติชัดเจนมาก
สื่อมวลชนที่ควรเป็นกลาง กลับ take side จนต้องเลิกอ่านไป 2 ค่ายหลัก คือ ผู้จัดการ และเนชั่น ..

ทุกวันนี้เหลือค่าย มติชน (รวมถึงประชาชาติธุรกิจ ข่าวสด) ที่ยังพอนับเป้นสื่อสารมวลชนที่ค่อนข้าง เป็นกลาง และไม่ take side จนน่าเกลียดน่าชัง

เมื่อวานศาลพิพากษาเรื่อง 6ศพ ในวัดปทุมวนาราม .. ว่า
.. ตายด้วยวิถีกระสุนจากฝ่ายทหาร
.. คนชุดดำไม่มีจริง
วาทกรรมเรื่องคนชุดดำ การแสดงภาพของอาวุธที่ยึดได้ในการแถลงข่าวของ ศอฉ ในปี 2553 นั้น .. น่าจะเป็นเท็จ ..

แล้วค่ายไหน ที่มีหัวขบวน "หัวล้าน" บ้าง ?
แป๊ะลิ้ม ค่าย ผู้จัดการไม่ต้องเสียเวลาเสียหัวเขียนกลอนหรอก เรียกมันตรงๆแบบนี้เลย เพราะนั่นไม่ใช่สื่อสารมวลชน ตามนิยามของผม .. เอาไว้อ่านข่าวกีฬา ข่าวดารา ข่าวเศรษฐกิจ น่ะพอได้

แต่ค่ายหัวล้าน ที่ชอบทำทีท่าแบบ สื่อมวลชนมืออาชีพ .. นี่ต้องตี

หลังคำพิพากษาของศาล .. แปลว่าวาทกรรม "คนชุดดำ .. เผาบ้านเผาเมือง .. โกงบ้านโกงเมือง นักโทษชาย "เป็นเท็จทั้งเพ

แต่เชื่อไหม เรื่องราวพวกนี้ ยังครอบหัวหูชนชั้นกลางที่มีการศึกษาในเมืองหลวงอย่างมืดบอดอยู่เลย ทั้งๆที่ไม่ควรเชื่องเชื่อขนาดนั้น แล้วไม่ยอมรับว่า "ท่องถกเยี่ยงนกกา"อย่างไรได้ ..

เหตุเริ่มต้น ก็เพราะสื่อมวลชนมัน อคติ และบิดเบือนปิดฟ้าเมืองไทยด้วย "ความเห็นของคนทำข่าว" ล้วนๆ .. คือไม่ใช่ความจริงหรือความรู้ ..

พอคำพิพากษาออกมา .. กลอนบทนี้ก็ออกมาเย้ยหยัน "นกน้อยในไร่ส้ม ผู้ชอบความเท็จ ทั้งหลาย " เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ เสภากลางราตรีเลย ...

ขออำภัยที่ทำให้อารมณ์ สะดุดกึก เหมือนสบู่ตกทราย .. 555




โดย: สดายุ... วันที่: 7 สิงหาคม 2556 เวลา:6:22:41 น.  

 

ดายุ...

"O เพียงคิดปองงดงามดั่งความว่า
แทนหาญกล้า .. ใจชายกลับอายเหนียม
คุณค่าเมื่อนำเปรียบ .. ไม่เทียบเทียม
ด้วยเต็มเปี่ยมความต่างทุกย่างไป"

เสภานี้ จะจบยังไงนะ ในเมื่อ"ด้วยเต็มเปี่ยมความต่างทุกย่างไป"
หรือ นางพิม จะต้อง พิราลัย ! ไปซะก่อน..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.194.146 วันที่: 8 สิงหาคม 2556 เวลา:1:46:27 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 152 คน [?]









O สิ้นสวาดิ .. O





O ให้เราสองขาดกันแต่วันนี้
อย่าได้มีหัวใจอาลัยหา
ความรู้สึกอ่อนหวานมันด้านชา
ปรารถนาคงเหลือ .. เพียงเพื่อลืม

O อัสดงคต .. ดวงรพี .. คล้ายรีรอ
จะทอดทอสุรภาพ .. ให้ปลาบปลื้ม
ก่อนโอนแสงดาวกระพริบให้หยิบยืม
ไว้ร่วมดื่มด่ำงาม .. ยิ่งงามนั้น
O เงียบงันด้วยเยียบเย็น .. ใต้เพ็ญแข
สุดตาแลเหลียวไป .. ภาพไหวสั่น
คล้ายภาพพจน์อันตระการแห่งวานวัน
ค่อยบิดเบี้ยวแปรผัน .. เกินกั้นไว้
O คลื่นแสงพาดราศี .. สู่ชีวิต
โลมดวงจิตมุ่งมั่นกับฝันใฝ่
สุรภพอัมพร .. ผ่านตอนไป
สุมฟอนไฟนิรมิตเป็นสิทธา
O โลกราตรีรู้ผ่านแต่ด้านมืด
ให้เย็นชืดแห่งวิกาลเผยผ่านหา
โหมรอบหม่นหมองหมาง .. ให้ย่างมา
คลุมครอบอารมณ์คน .. อยู่อลเวง
O มีจันทร์แสงเรื่อรอง .. สู่คลองเนตร
คลายแววเลศกราก-รุมเข้ากุมเหง
ผ่านความหมายเร้ารัว .. บอกตัวเอง
ให้รุดเร่งถือสิทธิ์ .. ในจิตตน
O นิมิตใดกันเล่าที่เฝ้าหมาย
เช่นวิชชุรำร่ายกลางสายฝน
ฤๅผกายมณีน้ำ .. แสงอำพน
จักปลาบปนผ่องผาย .. สบสายตา ?
O งามเคยงาม .. ราววิชชุที่ลุแล่น
เมื่อห้อมแหนภาคโพยม .. เข้าโถมถา
แค่เพียงชั่วคาบยาม .. ก็ทรามทา-
ทาบแผ่นฟ้ามืดคล้ำ .. ร่วมรำบาย
O ใช่ผกายวิชชุ .. อันคุเพลิง
ที่จะเริงโรจน์เต้น .. ฟาดเส้นสาย
แต่เป็นมืดหม่นคล้ำ .. ค่อยกำจาย
ย้อนความหมายถ่ายช่วง .. บ่งท่วงที

O เฉกเช่นสายสาคร .. ไม่ย้อนกลับ
ผ่านเลยแล้วผ่านลับไม่กลับที่
ขาดกันเถิด .. ชิดเชยที่เคยมี
ตราบชั่วชีวาตม์จม .. ลงล่มลาญ !




Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.