Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2554
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
30 สิงหาคม 2554
 
All Blogs
 
O ก่อน .. นางครวญ...O








Giovanni Marradi - Never Again



ยามสิ้นสุด..ราชวงศ์บ้านพลูหลวง
วันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน
วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐


๑๔
๑. อาดูระพูนอยุธยา
ขณะวาระวอดวาย
อำนาจและอาชญะสลาย
ก็เพราะชายน่ะร้าวฉาน


๒. โอ้..เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม
บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ
ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร
ถูกพลม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ
๓. ท่ามกลางคมดาบเชือด..คาวเลือดหลั่ง
คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ
หลังเพลิงพลุ่งโหมซ้ำเกินรำงับ
ร่างหล่นทับเป็นเถ้า, สิ้นเงาไท
๔. โอ้…ว่ารอยโศกเศร้าในเงาเนตร
จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย
กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย
เหลืออาลัยเรื่องหลังที่ยังคง
๕. ต้องจำพรากจากถิ่นมาสิ้นศักดิ์
ละห้อยหักอาดูรประยูรหงส์
พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง
กับอีกผู้ซื่อตรงมั่นคงนั้น
๖. คือหนึ่งแกล้วผู้กล้ายังปรากฏ-
ข่มกำสรดเพื่อใครสิ้นไหวหวั่น
เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์
ร่วมปกป้องคุ้มกันตราบบรรลัย
๗. พระพายเฉื่อย..เริ่มโหมเข้าโลมโลก
ดังโบยโบกศรัทธาให้อาศัย
หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ
สัมผัสใจเยียวยาทุกอารมณ์
๘. พระเขนยเคยหนุน...เป็นดุ้นพฤกษ์
แกล้วก็นึกกล้ำกลืนกับขื่นขม
โอ้..ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม
ความขืนข่ม..ฤๅจะกลบให้ลบเลือน
๙. หัวอกเอ๋ย..เคยหนักด้วยศักดิ์ราช
ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน
เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน
กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย
๑๐. ทูลกระหม่อม..เคยห่มล้วนรมย์รื่น
แต่เนตรตื่นชื่นฤทัยอยู่ไม่หาย
นางกำนัลหมอบเมียงเฝ้าเรียงราย
กลับเดียวดายเงียบเหงา...ใต้เงาจันทร์
๑๑. จักเค้นชีพบีบชาติมาลาดรับ
เพื่อสำหรับนอบน้อม...ใจหม่อมฉัน
จักรองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน
ทอนโศกศัลย์ห่างเหพระเทพินทร์
๑๒. กระท่อมทับเปรียบว่าเช่นปราสาท
เรไรดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์
ครวญขับกล่อมเสียงแผ่วให้แว่วยิน
ประโลมถิ่นห้วงฤดีดั่งมีมา
๑๓. โกสุมกลีบดอกก้านประสานประดุจ-
ดั่งมงกุฏภพชาติ..ผู้วาสนา-
น้อมลงในศักดิ์สกุลแห่งบุญญา
แทนรูปทรงสูงค่ากลางป่าไพร
๑๔. โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ
ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล
ลมแผ่วโลมผ่านฤดีผู้มีใจ
กระซิบให้สุจริตสัมฤทธิ์รู้
๑๕. บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ
เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่
อุบะกรองหอมร่ำสิ้นดำรู
ที่ยังอยู่เคียงใจ...ย่อมใจคน
๑๖. อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน
หมายลับล่วงเรื่องหลังสิ้นกังวล
วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว
๑๗. สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์
สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส
สิ้นประยูรวงศ์นาถบำราศไกล
สิ้นจากไร้เพรงบุญเคยหนุนนำ
๑๘. อุษาสาง...พลางถวิลถึงปิ่นเกล้า
เคยแหนเฝ้ากลับผวนเป็นครวญคร่ำ
คง..อำนาจกฎเกณฑ์ของเวรกรรม
มาช่วยย้ำช่วยยุดจนสุดรอย
๑๙. ปานฉะนี้ปิตุราชมาตุเรศ
จะเทวษกำสรดใจถดถอย
จักลำบากทดท้อเฝ้ารอคอย
หรือละห้อยถึงบุตรก็สุดเดา
๒๐. สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า
แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า
เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา
ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน
๒๑. แต่เหลือบเหลียวลืมเนตรสบเลศหนึ่ง
แววซาบซึ้งถนอมรับสิ้นสับสน
อุ่นหทัยเคียงข้าง..ใครบางคน
พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย
๒๒. แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า
ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย
คงสำรวมใจอยู่...ใจผู้ชาย
ว่าอย่าหมาย..สูงส่ง..เกินวงศ์ตน
๒๓. เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่
ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน
ว่าสิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน
สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้
๒๔. แล้วเลื่อนองค์ทรงร่างอยู่กลางอก
แกล้วก็ปกกรป้องตระกองศรี
สะท้านด้วยแววตาและท่าที
อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ
๒๕. วิเวกแว่วลมไหวยอดไม้แกว่ง
แม้นโศกแห่งเบื้องหลังจะยังเหลือ
หากอารมณ์อบอุ่นได้จุนเจือ-
ร่วมโชนเชื้ออาวรณ์..ตัดรอนกรรม
๒๖. อธิษฐานผ่านวาสน์ให้พาดช่วง
ทุกภพล่วงพบเจอให้เพ้อพร่ำ
ใจทั้งดวงรอคอยทุกรอยคำ
จนเนื่องนำน้อมสู่เป็นคู่เคียง
๒๗. ใจต่อใจดังว่าร่วมสาธก
ท่ามกลางนกเขาไพรที่ให้เสียง
พระพายเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง
เสนาะเพียงสองใจเต้นไหวรับ
๒๘. กรุ่นมาลีไหนเห็นจะเช่นหอม-
ดั่งใจหลอมลึกล้ำเป็นลำดับ
วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ-
ว่าแม้นยับชีพวายไม่คลายคลอน
๒๙. แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร
ฤๅอาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน
ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร
ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง
๓๐. ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ..โปรดรับรู้
จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์
ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง
ขอร่วมวงเวียนวัฏฏ์..เป็นสัจจัง

๑๔
๓๑. โอ..!..ศัพท์สดับนยะวะแว่ว
ปุระแก้วและบัลลังก์
สิ้นแล้วเพราะแผ่วพละพลัง
ฤจะยั้งนะยับเยิน
๓๒. เผาแผดเพราะแพศยะอธรรม
ทุระกรรมะก้ำเกิน
สิ้นชาติและวาสนะเผชิญ
สรเสริญก็สิ้นตาม

...กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จะสิ้นนามศักราชห้าพัน
...กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญ เอยฯ



Create Date : 30 สิงหาคม 2554
Last Update : 3 เมษายน 2566 18:46:25 น. 10 comments
Counter : 5454 Pageviews.

 

สวัสดีค่ะ...

บทที่ 1 ถึง 20 อ่านแล้วเฉยๆไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่นัก แต่บทต่อๆมานี่สิคะ... ถึง"แก่"แล้วก็จินตนาการตามได้นา... อิอิ

๒๔. แล้วเลื่อนองค์ทรงร่างอยู่กลางอก
แกล้วก็ปกกรป้องตระกองศรี
สะท้านด้วยแววตาและท่าที
อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ

๒๖. อธิษฐานผ่านวาสน์ให้พาดช่วง
ทุกภพล่วงพบเจอให้เพ้อพร่ำ
ใจทั้งดวงรอคอยทุกรอยคำ
จนเนื่องนำน้อมสู่เป็นคู่เคียง

๒๘. กรุ่นมาลีไหนเห็นจะเช่นหอม-
ดั่งใจหลอมลึกล้ำเป็นลำดับ
วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ-
ว่าแม้นยับชีพวายไม่คลายคลอน

ถึงแม้จะเคยอ่านแล้ว แต่... อ่านอีกได้ค่ะไม่มีเบื่อเลยไพเราะมากค่ะ หวาน และ อบอุ่น ในเรื่องของความรู้สึกแล้ว...ทุกคน"เท่าเทียม"กันเสมอ...



มีความสุขมากๆมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ...

ขอบคุณมากค่ะ


โดย: Witch IP: 118.172.103.142 วันที่: 31 สิงหาคม 2554 เวลา:11:34:55 น.  

 
แม่มดขี่ไม้กวาด...55

บทนี้มีที่มา....
สมัยหนึ่งนานหนักหนามาแล้วไปอ่านนิยายอิงประวัติาสตร์เข้าเรื่องหนึ่งคือ...ทหารเอกพระบัณฑูร...ไม่แน่ในว่าใครเขียนแล้วระหว่าง ยาขอบ กับ ไม้ เมืองเดิม...ลางเลือนเต็มที...

อันว่า...พระบัณฑูรนี้คือ พระมหาอุปราช ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นราชธานี...หรือ"วังหน้า" หรือ "กรมพระราชวังบวรสถานมงคล" นั่นเอง....ซึ่งตำแหน่งนี้ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เปลี่ยนเป็น "สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฏราชกุมาร" ในที่สุด

เจ้าฟ้ากุ้ง ก็เป็นพระบัณฑูรในสมัยสมเด็จพระบรมโกศ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง...ที่มีพระชายาคนหนึ่งชื่อหม่อมสร้อย และพระธิดาในหม่อมสร้อยนี้องค์หนึ่งนามว่า หม่อมเจ้าหญิงดารา หรือหม่อมเจ้าหญิงตา...ซึ่งก็คือตัวเอกใน นางครวญนี้เอง...และมีบทบาทต่อมาใน"สายธารกาลเวลาตั้งแต่ ภาค 2 จนถึง ภาคสุดท้าย"

หลังจากเจ้าฟ้ากุ้งถูกพระบิดา(สมเด็จพระบรมโกศ ) สั่งให้โบยจนทิวงคตเพราะเป็นชู้กับเจ้าฟ้าหญิงสังวาลย์พระชายาในพระชนกแล้ว....หม่อมสร้อยและพระธิดาดำเนินชีวิตสืบมาที่พระตำหนักเดิม...จนกระทั่งเสียกรุงฯ....ทหารเอกของพระบัณฑูรก็พาหม่อมเจ้าหญิงดาราหนีพม่าไปทาง อัมพวา ซึ่งเป็นบ้านเดิมของมารดาเขา

หลังจากนั้น....ไปอ่านต่อในสายธารกาลเวลานะขอรับ...อิๆๆ

ชอบประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะช่วงยุคราชวงศ์บ้านพลูหลวงมากเป็นพิเศษ....และชอบเขียนกลอน....จึงมีบท "นางครวญ" ออกมาฉะนี้แล


โดย: สดายุ... วันที่: 31 สิงหาคม 2554 เวลา:21:00:20 น.  

 


ลืมไป...ขยายความอีกสักหน่อย

สายธารกาลเวลา ภาค ๑ เป็นภาคอดีตชาติของตัวเอกในภาค ๒
เป็นเหตุการณ์ในสมัย เจ้าสามพระยา(พระชนกของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ) อันไม่มีความต่อเนื่องกับภาค ๒ แต่อย่างใด


โดย: สดายุ... วันที่: 31 สิงหาคม 2554 เวลา:21:06:20 น.  

 




......กรีดร้องเพรียกเรียกประดังจาก...วังหลวง

...กลางจันทร์จวง..เร้นเมฆา...พร่าสลัว

...เหล่านางใน..เสนามาตย์...ล้วนหวาดกลัว

...หวั่นระรัวเสียงรุกไล่ของไพรี

......พะเนียงเพลิงเริงร้อนดัง..ซ่อนศึก

...สุมระทึกแนวกำแพงแห่ง...กรุงศรี

...เพทุบายร้ายนัก!!!!ด้วยอัคคี

...มณเฑียรมณี..พินาศทรุด....อยุธยา



......ขออนุญาตเข้ามาเยี่ยมชมนะคะ...


................... ...สียะตรา.. ..................







โดย: ...สียะตรา.. IP: 110.49.249.111 วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:11:14:58 น.  

 
พี่ท่าน..
มีงานแสดงสินค้าตรงข้ามบิ๊กซี ถ้าว่างไม่มีนัดเดทที่ไหน
ก็ไปชมไปดมไปดู แก้ง่อมได้นะคะ งานมีถึงวันอาทิตย์นี้
แดดร่มลมตก เหมาะแก่การเดินควงผู้หนึ่งผู้ใด ฮี่ๆ

ทุกเย็นวันพฤหัส มีตลาดนัดคลองถม
ใกล้แยกโรงแรมเวียงทอง ตรงที่ว่างน่ะค่ะ
งานนี้สาวน้อยเดินกันขวักไขว่

บอกให้สองงาน เลือกชมตามอัธยาศัยนะคะ
ขาดเหลืออะไรบอกได้ แต่จะหาให้ได้หรือไม่
ว่ากันอีกที ฮ่าๆๆ..


โดย: หญิงซอมฯ IP: 10.21.131.225, 202.6.107.70 วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:13:45:16 น.  

 
สุดยอดจริงๆเลยค่ะ อ่านแล้วทึ่ง^____^


โดย: ฟ้าเวียงพิงค์ IP: 192.168.1.105, 110.171.152.180 วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:16:49:41 น.  

 
สวัสดีครับคุณ สียะตรา....
ต้องขอชมว่าเขียนกลอนดีทีเดียว...นานๆเจอสักคน
ขออนุญาตดัดแปลงสำนวนตามใจผมชอบสักหน่อยนะขอรับ...

....เสียงกรีดร้องก้องดังจากวังหลวง
ท่ามกลางดวงจันทร์บนแสงหม่นหลัว
เหล่านางใน..อำมาตย์..ล้วนหวาดกลัว-
กับเสียงรัวรุกไล่ของไพรี

พะเนียงเพลิงรุมร้อนโหม..ซ้อนศึก-
ดังก้องกึกยามรุ่งรอบกรุงศรี
พร้อมกลศึกล้อมกักด้วยอัคคี
จนดับสิ้นศักดิ์ศรี..เสรีไทย....

คำดี...จินตนาการดี...
ยินดีที่เข้ามาวางกลอนให้อ่านนะครับ





หญิง....
เห็นแล้วล่ะ งานที่ว่า....ยังไม่แน่ใจแต่อาจแวะไปเดินๆดูสักวัน
ตลาดนัดคลองถม...อ้อ สาวน้อยเดินกันขวักไขว่...ไปซื้ออะไหล่รถยนต์หรือไง...55

เท่าที่พี่สังเกตุ....คนเมืองลำปางแม้จะมีไม่มากนักแต่รถรามากมายเหลือเกิน...แสดงว่าเศรษฐกิจดี
Big C คนแน่นทุกวันจนเบื่อจะต่อคิวจ่ายเงิน....อุตส่าห์หนีกรุงเทพเมืองเทวดามาแล้วนะนี่...ยังมาเจอ
ผู้คนชอบใช้เงินที่นี่อีก...เฮ้อ...

แต่ กล้วยแขก หน้าเทคนิคลำปางอร่อยจริงอร่อยจัง....ขอยืนยัน....
ทุกวันอาทิตย์ราวๆ 10 โมงเช้าต้องไปกินอย่างเด็ดขาด...55






คุณฟ้าเวียงพิงค์...สวัสดีเจ้า..
อย่าชมผมมากครับ....ผมมันคนบ้ายอ....เดี๋ยวลอย....อิๆๆ
ยินดีที่แวะมาทักทายนะครับ



โดย: สดายุ... วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:20:33:07 น.  

 
แรงรักแรงพิศวาสในราชสำนักมีมานานนักหนาหลายเชื้อชาติ
แต่อ่านรวมรวมอย่างนี้แล้วเหมือนกับบ้านเมืองวอดวาย
เพราะการผิดจารีตของคนต่างชนชั้น ต่างวรรณะเลยค่ะ
กลียุคเพราะกาลีบ้านกาลีเมืองประมาณนี้
(แปลความผิดอีกแล้วมัง..น่ากลุ้มใจจัง)

ทำไมเรื่องนี้มาอยู่ในหน้านารีปราโมชล่ะคะ
แต่ก็ดีค่ะได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมกันด้วยเลย
กาลสมัยจะเปลี่ยนพฤติกรรมของคนจากจิตไร้สำนึก
ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีไว้ให้ซ้ำรอยใช่ไหมคะ

สุขกับเสียงฝีเท้าม้ากลางเมืองยามดึกค่ะ



โดย: Peakroong วันที่: 3 กันยายน 2554 เวลา:12:59:00 น.  

 
สวัสดีครับคุณปีกรุ้ง....

แปลความผิดแบบ 180 องศาเลยทีเดียวครับ

ความคิดของผมคือ
คนทุกคนย่อมเท่าเทียมกันตามธรรมชาติของความเป็นสิ่งมีชีวิตหลังปฏิสนธิในครรภ์มารดา...

ในทางศาสนาไม่เคยพบการแบ่งแยกคนโดยชาติกำเนิด...มีแต่โดยความสามารถทางมันสมองที่จะเข้าใจธรรมได้อย่างถูกต้อง (บัวสี่เหล่า)....

มีแต่ทางการเมืองเท่านั้นที่แยกชนชั้นของคน...ตั้งแต่ยุค จตุสดมภ์ โน่นแล้ว.....สมัยที่คนส่วนมากไร้การศึกษา...คนที่เข้มแข็งและฉลาดคิดมากกว่าก็ตั้งตนเองเหนือคนอื่นแล้วบอกว่าเป็นเรื่องของวาสนาบารมีจากชาติปางก่อนที่ทำสะสมไว้ (ซึ่งเป็นความคิดแบบมิจฉาทิฐิตามหลักศาสนาพุทธ) ....

ดังนั้น....จากพ่อปกครองลูกในยุคสุโขทัย....ก็มีพัฒนาการมาสู่”สมมุติเทพ” (จากคติข้ามภพข้ามชาติแบบงมงายอย่างที่อธิบายไว้ในไตรภูมิพะร่วง..เป็นต้นคิดแรก) ในยุคอยุธยา ในที่สุด

ดังนั้นที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า หากวิเคราะห์กันด้วยเหตุด้วยผลของโลกปัจจุบันแล้ว ต้องพูดว่า...

...แพ้เพราะยุทธวิธีที่ใช้รับศึกนั้นล้าสมัย การใช้ตัวพระนครรับศึกเพื่อยันให้ถึงหน้าน้ำแล้วพม่าจะถอยนั้นใช้มาตั้งแต่สมัยเสียกรุงครั้งแรก...2112 จนครั้งหลัง 2310 เกือบ 200 ปียังไม่พัฒนา ยังใช้วิธีเดิม

...แพ้เพราะกองทัพมีแม่ทัพอ่อนแอ...คือคนมีอำนาจด้อยความสามารถในการรบ...เตรียมการไม่ถูก...จัดการเรื่องราวก่อนหลังไม่เป็น...อีกทั้งประเมินได้ว่าคนที่เป็นผู้นำนั้นมีอำนาจขึ้นมาได้เพราะการอุปถัมภ์ค้ำจุนโดยความเสน่หาชอบพอจากกษัตริย์มากกว่าโดยความสามารถ (คือระบบอุปถัมภ์นั่นเอง)

...แพ้เพราะความแตกแยกของคนที่อยู่ในส่วนอำนาจรัฐขณะนั้น...เพราะว่าหลังเสียกรุง ก็แตกเป็นก๊กเป็นเหล่า ไม่มีใครยอมใคร ตั้ง 7-8 ก๊ก ต้องปราบปรามกันเองเสียก่อนจนเสร็จสิ้นแล้วจึงไปรบศัตรูได้...

บทที่เขียนข้างบนนั้น...รบแพ้..จึงพาลูกสาวนายหนีข้าศึก..
เมื่อราชวงศ์บ้านพลูหลวงล่มสลาย...ความเป็นเจ้าราชนิกูลก็หมดสิ้นสภาพไปโดยอัตโนมัติ...ก็กลายเป็นสามัญชน ก็กลับมาอยู่ในสถานภาพเดียวกับทหารเอก...ก็ไม่มีเรื่องชนชั้นอะไร

สมัยนั้น....คนธรรมดาเมื่อเข้มแข็งมากพอ มีความเป็นผู้นำมากพอ...มีคนสนับสนุนมากพอ...ก็สามารถตั้งตนเป็นเจ้าได้...

เหมือน...
ขุนหลวงพะงั่ว ต้นราชวงศ์สุพรรณภูมิ
พระมหาธรรมราชา ต้นราชวงศ์สุโขทัย
จมื่นศรีสรลักษณ์ ต้นราชวงศ์ปราสาททอง
พระเพทราชา ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง
พระเจ้าตากสิน ต้นราชวงศ์ธนบุรี

ทั้งหมด..เดิมเป็นสามัญชนมาก่อนทั้งสิ้น
ดังนี้ขอรับ



โดย: สดายุ... วันที่: 3 กันยายน 2554 เวลา:20:27:44 น.  

 
อ้อ..ขอบคุณนะคะ..ไก่หมดเล้าเลย..อิอิ..
เปลี่ยนหน้าเหอะค่ะ ความคิดนี้ล่อแหลมมาก
เดี๋ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
โชคดีที่จขบ.อธิบายกระจ่างแจ้งสิ้นสงสัยแล้ว
แต่บทที่เหมือนจะจบลงด้วยดีแล้วกลับตลบด้วยบทล่มสลาย
มันกระชากความรู้สึกแบบ 360 องศาเลยค่ะ






โดย: Peakroong วันที่: 3 กันยายน 2554 เวลา:22:53:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.