Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
เมษายน 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
29 เมษายน 2557
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
Secret Garden - Illumination
O ย่อมหวังเพียงหวานซึ้ง .. ใจหนึ่งนั้น-
ต้องรำพันความถ้อย .. แล้วคอยท่า-
รอโอบกล่อมดวงขวัญด้วยพรรณนา
ต่อคุณค่าหวานหอมรายล้อมใจ
O เพื่อบอกว่าอาวรณ์ที่ซ่อนเร้น-
นั้น-บีบเค้น .. ออดอ้อนเกินผ่อนไหว
เพื่อเผยความบอกว่า .. เดียงสาใคร-
นั้น-เติบใหญ่รับรู้ .. เชิงชู้แล้ว
O เมื่อสิ้นแรงกดข่ม .. อารมณ์ชู้
หัวใจผู้แฝงเร้น .. ย่อมเต้นแผ่ว
เหลือเพียงเผยเลศนัย .. คอยให้แวว-
ตาผ่องแผ้วคู่นั้น .. รำพันความ
O ลำดับภาพเปื้อนป่ายในสายตา
ย่อมเลือนค่าสร้อยโศกแห่งโลกสาม
เหลือเพียงการโลมลูบด้วยรูปนาม-
แสนงดงามขับไขอยู่ในแวว
O ถ้วนเลศนัยเว้าวอนแสนอ่อนโยน-
ย่อมถ่ายโอนความล่วงจากทรวงแก้ว
สองดาวช่วงดวงซึ้ง .. ย่อมตรึงแนว-
ความผ่องแผ้วผาดผาย .. สู่สายตา
O หรือที่บางห้วงอกสะทกสะท้อน-
จากพากย์ตอนย้ำเตือนจนเหมือนว่า-
ความในอกทั้งนั้น .. ดั่งพรรณนา
รู้ทีท่าเร้นแฝง .. ว่าแสร้งทำ
O ดูเอาเถิด .. แววระยับให้นับเนื่อง-
ดั่งดาวเรื้องแสงฉายรำบายค่ำ
เต้นผกายตอบตื่น .. ล้อคลื่นคำ-
หยอกเย้าสัมผัสค่า .. แรงอาลัย
O โอ หนอความเรื่อเรื้องที่เบื้องหน้า-
กลับเหมือนว่าแอบซ่อนความอ่อนไหว
มีแววสั่นแกว่งตัวของหัวใจ
พาดแววผ่านเอาไว้ .. ที่นัยน์ตา
O อาจมีความขัดเขิน .. หยอกเอินอยู่-
เพื่อหัวใจรับรู้ .. ได้รู้ว่า-
ทุกช่วงตอนอ่อนหวานที่ผ่านมา-
เกิดจากอาวรณ์ชู้ .. ที่อยู่รอ
O หากยังคงขัดเขิน .. จนเกินเอ่ย-
ความพร่ำเผยรับรอง, จำต้องขอ-
ให้เสียงอาลัยสั่ง .. นั้น-ดังพอ-
ยั่วหยอกล้อท่วงทีแห่งลีลา
O หรือสับสนเกินคิด .. ว่าจิตใจ-
นั้น-มีนัยแฝงรอย .. อยู่คอยท่า
จากคุ้นเคยผูกพัน .. เป็นขั้นมา
จนแปรค่าเปลี่ยนความ .. เกินห้ามใจ
O ลำดับภาพปัดป่ายในสายตา
จึงสอดแทรกรมยา .. ให้อาศัย
แววอ่อนหวานโชนคุ ราวพลุไฟ-
ขับเคลื่อนความสดใสขึ้นในฟ้า
O โอ งามจึงงดงามเกินห้ามอยู่
ด้วยรอบชู้ปูทางให้ย่างฝ่า-
ความรู้สึกแปลกใหม่ .. ที่ใครพา-
เข้า .. ขวางหน้าสำหรับให้รับรอง
O คร่ำครวญอยู่เพียงไหนหนอใจนั่น
หรือ-หวาดหวั่นรสหวานมาผ่านต้อง
แทรกผ่านใจยั่วเย้า .. แล้วเข้าครอง-
ความผุดผ่องพร่างแพร้ว .. ทั่วแววตา
O เอ็นดูการบ่ายเบี่ยงคอยเลี่ยงหลบ
เพื่อหวังกลบเกลื่อนรอย .. ละห้อยหา
หวังเห็น .. ความเขินอายในสายตา-
แวววุ่นว้าแฝงเร้น .. เมื่อเต้นรัว
O เยี่ยงนั้นย่อมสมดัง .. ที่ตั้งใจ
ที่ความนัยเผยออกเข้าหยอกยั่ว-
เพื่อลบเลือนสับสน, ให้หม่นมัว-
ได้เคลื่อนตัวหลีกยาม .. เผยความจริง
O ว่าบางความอ่อนไหว .. ของใครนั้น-
จากรำพันร้อยรัด แจ่มชัดยิ่ง
เพื่อรอใจออดอ้อน .. ลงผ่อนพิง
อยู่แอบอิงอาลัย .. ดังใฝ่ปอง
O ว่าบางความอ่อนโยนที่โชนช่วง-
แววแหนหวง - ย่อมระยับให้จับจ้อง
เผยเดียงสาเรรวน .. ที่ชวนมอง-
ให้รับรอง .. รับรู้ .. ช่วยดูแล
O มุ่งหวังเพียงคำนึง .. ใครหนึ่งนั้น-
จักผูกพันแน่นอยู่ .. เกินรู้แก้
ในทุกกาลผ่านเวียน, ไม่เปลี่ยนแปร
คงแน่วแน่สวาดิชู้ .. ต่อ-ผู้เดียว !
Create Date : 29 เมษายน 2557
Last Update : 21 เมษายน 2566 5:33:30 น.
13 comments
Counter : 6356 Pageviews.
Share
Tweet
ดายุ..
ทราบไหมว่า เพลงบังใบนั้น ท่านนำบทขับร้อง มาจากบทพระราชนิพนธ์เรื่อง วิวาห์พระสมุทรซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
"ได้ยินคำสำเนียงเสียงเสนาะ
แสนไพเราะรสรักเป็นหนักหนา
เหมือนยินเสียงหงส์ทองที่ฟ่องฟ้า
กล่อมสุนทรวอนว่าน่ายินดี
ถึงแม้ว่าจะสนิทนิทรา
ก็ผวาเมื่อสดับศัพท์เสียงพี่
ถึงดิฉันร้อนรุมกลุ้มฤดี
เสียงเหมือนทิพย์วารีมาประพรม
แต่โอ้ว่าอนิจจาได้กินหวาน
มิช้านานต้องกลืนทั้งขื่นขม
พอพี่ไปใจน้องต้องระทม
ยิ่งมาชมก็ยิ่งช้ำระกำใจฯ"
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.5.126 วันที่: 30 เมษายน 2557 เวลา:4:43:10 น.
มินตรา ..
ไม่ทราบขอรับ ..
ทราบอย่างเดียวว่างานกวีของ ร.6 ไม่ค่อยถูกจริตผมสักเท่าไร ..
ไม่ว่าจะฉันท์
ไม่ว่าจะกลอน
ไม่ว่าจะโคลง
แต่เพลงนี้ บังใบ มีเมโลดี้ -ไม่แน่ใจว่าเขาใช้คำนี้ไหม ?
คือทำนองเสียงสูงต่ำไพเราะมาก .. มีความชัดเจนที่ฟังครั้งเดียวก็จำได้เลย
เพลงรุ่นใหม่จำนวนมาก เหมือนภาษาพูดคือไม่มีทำนองฟังแล้วจำทำนองไม่ได้ เสียงเสมอกันหมด .. แค่เอาเสียงกลองมาให้จังหวะคำร้องเท่านั้น .. นักแต่งเพลงรุ่นใหม่เหมือนจะออกแนวนี้เป็นส่วนใหญ่
เสียงจัตวา ทำให้ร้อยกรองไพเราะหากเอามาทำเพลง
ส่วนการใช้"คำตาย"ถือเป็นข้ออ่อนด้อยในการประพันธ์เพลงของผู้แต่งคนนั้นๆ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 30 เมษายน 2557 เวลา:5:55:12 น.
ดายุคะ..
พวกที่เล่นดนตรีไทยน่ะ จะรู้จัก"เพลงตับ"คือ เล่นสองสามเพลงที่นำมาต่อต่อกัน จนเป็นตับ..
ศิลป วัฒนธรรมไทย ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาน่ะ...นำมาเล่นใหม่..
รุ่นร.๖ น่ะท่านนำ วรรณกรรมทางตะวันตก เข้ามาสู่ประเทศจึงมีการประสมประสานของสองวัฒนธรรม ที่กลมกลืนบ้าง ทะแม่งทะแม่งบ้าง..
ดายุเลยไม่ชอบไงคะ
ตับวิวาห์พระสมุทร ก็จะมีสามเพลง มาเล่นต่อกันเป็นหนึ่งตับมีเพลง
คลื่นกระทบฝั่ง-บังใบ-แขกสาหร่าย
มินตราสีซอ พอให้ควายฟังได้ (คุณครูว่า ) ก็เลยจำแต่โน๊ตเพลง
ส่วนเนื้อเพลง จำได้แต่ตรงที่ชอบชอบน่ะ..เช่น
"ถึงกลางวันสุริยันแจ่มประจักษ์ ไม่เห็นหน้านงลักษณ์ยิ่งมืดใหญ่
ถึงราตรีมีจันทร์อันอำไพ ไม่เห็นโฉมประโลมใจยิ่งมืดมน..." (ใช้เพลง คลื่นกระทบฝั่ง)
"ได้ยินคำสำเนียงเสียงเสนาะ แสนไพเราะรสรักเป็นหนักหนา
เหมือนยินเสียงหงส์ทองที่ฟ่องฟ้า กล่อมสุนทรวอนว่าน่ายินดี.."(ใช้เพลงบังใบ)
"ถ้าแม้นพี่เลือกได้ดังใจพี่ จะไปพ้นที่นี้นั้นหาไม่
จะยืนชมขวัญตาผู้ยาใจ กว่าจะได้สวมกอดแม่ยอดรัก.."
(ใช้เพลง แขกสาหร่าย)
ที่ยกมาทั้งเนื้อเพลงได้ก็ต้องขอบคุณผู้ผลิต อินเตอร์เนตที่ทำUltrabook
พลิกไปหาข้อมูลได้ง่าย
แอปเปิ้ลที่โดนกัดแล้ว ดีตรงนี้เองแหละ แม้นราคาจะสูงไปหน่อย..555
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 30 เมษายน 2557 เวลา:11:51:20 น.
มินตรา ..
Dieser König ist das Herz einer Frau. Und ungeeignet, ein Elternteil zu sein.
นายชิต เขียนสามัคคีเภทคำฉันท์ ได้ยอดเยี่ยมจนบดบังรัศมีเจ้านายเสียสิ้น
ยกกลอนมา 3 บท .. ขอแปลงหน่อย
55
แม้นยามวันลอยดวงบนสรวงนั่น
เมื่อไร้ขวัญ .. ฟ้าบนยิ่งหม่นหมอง
แม้นราตรีจันทร์เปลื้องแสงเรืองรอง
เมื่อไร้พักตร์ผุดผ่อง .. ยิ่งหมองตรม
แว่วสังคีตสูงต่ำไล่สำเนียง
ไพเราะเสียงแว่วปลุก ก็สุขสม
เซาะลงแทรกจินตนาเพรียกปรารมภ์-
ลงห้อมห่มละห้อยเห็นอยู่เช่นนั้น
ถ้าแม้นพี่เลือกได้ดั่งใจนึก
ความจักอึกทึกให้อกไหวสั่น
อ้อมแขนโลภจบจวน .. เนื้อนวลพรรณ
เพื่ออุ่นขวัญโอบกายไม่คลายเลย
โดย:
สดายุ...
วันที่: 30 เมษายน 2557 เวลา:22:21:01 น.
สดายุ ..
มินตราเคยเรียนสามัคคีเภทคำฉันท์ (จนโปรดฉันท์มาจนบัดนี้) ยังจำประโยคง่ายง่ายที่ทำให้เกิดความแตกสามัคคีจน เกิดศึก ได้นะ..ว่า..
๏ จะถูกผิดกระไรอยู่ มนุษผู้กระทำนา
และคู่โคก จูงมา ประเทียบไถมิใช่หรือ
แล้ว"พักตร์ผุดผ่อง" น่ะ ของใครล่ะ 555
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 30 เมษายน 2557 เวลา:22:24:25 น.
Ach so !=Aha! 555
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 วันที่: 30 เมษายน 2557 เวลา:22:33:18 น.
มินตรา
พักตร์ผุดผ่องก็ของสาวน้อยชอบถ่ายรูปน่ะสิ
อารมณ์หญิงสาวที่แปรปรวนยากคาดคะเน .. เหมือนทะเลกลางคลื่นลม ..
เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวจริงๆที่ความสวยงามไปอยู่กับเพศหญิง ..
และบางส่วนก็รวมทั้งมันสมองที่ดีด้วย ..
ที่สมควรได้ขยายเผ่าพันธุ์ต่อไป เพื่อพัฒนาการแห่งมนุษยชาติ .. 55
โดย:
สดายุ...
วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:7:00:27 น.
สดายุ..
"สุดหัวใจ"ที่อยู่ขั้วโลกใต้นี่ นอกจากจะมี พักตร์ผุดผ่อง แล้ว..ยังมีมันสมองที่ดี ด้วยนะ..
การนับ"มันสมองที่ดี"นั้น..ในเมืองไทยอาจจะนับว่า นักศึกษาแพทย์ ยอดเยี่ยมที่สุด..
แต่ในเยอรมันนั้น..จะนับหลายสาขา ส่วนใหญ่จะนับพวก "นักประดิษฐ์คิดค้น"
มิว่าจะเป็นการคิดประดิษฐ์ ด้านวัตถุ
หรือ ด้านวัฒนธรรมความเป็นอยู่
หรือด้านสังคม ปรัชญา..(ด้านการเมือง)
หรือ ด้านภาษาซึ่งรวมทั้งภาษาเขียน ภาษาดนตรีภาษาคณิตศาสตร์..และภาษาที่ไม่เขียน (สัญลักษณ์ต่างต่าง)
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.5.126 วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:10:03:45 น.
มินตรา ..
การเลือกเรียนในเมืองไทยมีแค่ 2 ปัจจัย
1. เงินที่จะมี
2. เกียรติที่จะได้
ในสังคมด้อยพัฒนา หมอมีไม่เพียงพอ และจำนวนประชากรมากเกินจะแจกจ่ายคุณภาพชีวิตที่ดีให้ได้ทั่วถึง ..
เมื่อเรียนหมอแล้วจบออกมามีงานทำแน่นอน อาชีพนี้จึงมีการแย่งชิง .. ทีเรียนหมอจึงต้องสู้กันด้วยอันดับที่ของการสอบ .. หัวดีขนาดติดหมอแต่ไม่เอา หันมาเอาทางยศศักดิ์เข้า จปร ก็มี เช่น พล.อ.สุจินดา หัวขบวน รสช. นั่นไง
หมอทำเงินหลังงานประจำได้ด้วย ..
หมอจึงเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กหัวดี ที่อาจมีทั้งชอบและไม่ชอบอาชีพนี้แต่พ่อแม่ชอบ (แบบนี้ฝรั่งเยอรมันคงไม่มี 55) แต่เรียนได้
สังคมที่คนหัวดีไปเป็นหมอผ่านมา 60 กว่าปี .. (นับเอาตั้งแต่ ร.8 สวรรคตแล้วกัน เป็นจุดเริ่มของความพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ) มาจนบัดนี้ ไทยเรายังมาได้แค่นี้เอง
หากเป็นบุรุษสักคน พระพุทธองค์จะเรียก โมฆะบุรุษ แปลว่าบุรุษผู้เสียเวลาเปล่า ยืนหายใจไปวันๆ .. เมื่อเป็นสังคมหรือระบบปกครอง ก็ใช้คำนี้ไปแทนบุรุษ หลังคำว่าโมฆะ .. เป็น โมฆะมณฑล โมฆะประเทศ โมฆะรัฐ
สุภะภาษะเอื้ออวย .. ทะนุช่วย-ก็รอชม
มุสะโมหะคารม .. ก็ระดมประดังแดน
กระแดะภาษะโวหาร .. ประจุฐานะทดแทน
พิเราะความละลามแสน- .. ยะจะแม้นจะคลุมเมือง
สัจะธรรมระยำยับ .. ตละศัพท์ ก็ ขุ่นเคือง
พฤติแสร้ง สิ แดงเหลือง .. พฤติเชื่อง ก็ เลื่องลือ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:15:30:02 น.
แน่ะ..สดายุ..
เลยมาฉันท์ ใส่ ฉัน เลย ..เก่งค่ะ..
แหม..ได้ขนาดหมอตุลย์ หมอ เหรียญทอง แล้วจะเอายังไงอีก..
อย่ามาทำเป็นกบเลือกนายหน่อยเลย..!
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.34 วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:16:18:31 น.
มินตรา
พอดีมีคนเอา รุไบยาต มาลงใน fb ในท่วงทำนองฉันท์จังหวะเดียว คือ หน้าหลังเหมือนกันมาลง ก็ลองเขียนดู ..
หมอที่สนใจการเมือง และพยายามมี issue ทางการเมืองมักลงลึกในหลักการไม่ได้ เชานเดียวกับ ทหาร วิศวกร ที่ขาดหลักคิดเชิงรัฐศาสตร์อย่างเป็นระบบ จึงมักใช้ "สามัญสำนึก" แสดงความเห็นออกไป
และเนื่องจากว่าสังคมไทยค่อนข้างเห่อคนดัง บ้าคนเด่น เมื่อเลือกข้างแล้ว จะพูดจาหมูหมากาไก่อย่างไรก็ต้องเชียร์ไว้ก่อน ..
หมอตุลย์ จึงเป็นเพียงที่ว่างหรืออากาศธาตุสำหรับผม 55
หากแกพูดเรื่องทางแพทย์ผมอาจพอรับฟังอยู่บ้าง แต่พออ้าปากเรื่องการเมือง .. มันก็เหมือนหมาเห่าใบตองแห้ง ใครจะเชื่อจะชอบตามแห่ตามโหนก็ทำกันไป ก็เรื่องของคนนั้น
ปรากฎการณ์ตาสว่างก็คือ enlightenment อย่างหนึ่งนะสำหรับผู้มีจริตไปในทาง พุทธิจริต .. เรานับเอาปัญญาในการมองโลกสภาพเป็นตัวตัดสินคุณภาพของคน
โดย:
สดายุ...
วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:17:06:50 น.
สดายุ..
รู้จักซิคะโอมาร์ คัยยัม นี่ :
"ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว
ขำอุราน่าหัว เต้นยั่วอย่างฝัน
ดอกเอ๋ยดอกเจ้า ดอกทานตะวัน
ละครคนละคนขัน ประชันกันสนุกเอย"
(แปลโดย กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ : พ.ศ. 2504 - พ.ศ. 2474)
Omar Khayyám (10481131), กวี poet, นักคณิตศาสตร์ mathematician นักดาราศาสตร์ astronomer
ชาวเปอร์เซีย
ยังเคยอ่านภาคภาษาอังกฤษด้วย..
"A Flask of Wine, a Book of Verse - and Thou"
(FitzGerald 1809 1883)
คนเยอรมันที่มีการศึกษาก็จะให้ของขวัญกันด้วย ไวน์แดงหนึ่งขวด (แก้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด)หนังสือดีดีหนึ่งเล่ม..กันเสมอ(ส่วน"เธอ" thou นั้น..มีเก็บกันในกรุ ที่บ้าน 555)
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.5.126 วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:20:01:37 น.
เอ๊ะ!
นี่เราพูด ถึง รุไบยาตของโอมาร์ คัยยัม ใช่ไหมเอ่ย..
เดี๋ยวนี้ เวลาพูดกับ"คนไทยรุ่นใหม่" ต้อง ย้ำความเข้าใจว่าตรงกันไหม เสมอ..555
โดย: บุษบามินตรา IP: 192.99.14.36 วันที่: 1 พฤษภาคม 2557 เวลา:20:07:36 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ทราบไหมว่า เพลงบังใบนั้น ท่านนำบทขับร้อง มาจากบทพระราชนิพนธ์เรื่อง วิวาห์พระสมุทรซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
"ได้ยินคำสำเนียงเสียงเสนาะ
แสนไพเราะรสรักเป็นหนักหนา
เหมือนยินเสียงหงส์ทองที่ฟ่องฟ้า
กล่อมสุนทรวอนว่าน่ายินดี
ถึงแม้ว่าจะสนิทนิทรา
ก็ผวาเมื่อสดับศัพท์เสียงพี่
ถึงดิฉันร้อนรุมกลุ้มฤดี
เสียงเหมือนทิพย์วารีมาประพรม
แต่โอ้ว่าอนิจจาได้กินหวาน
มิช้านานต้องกลืนทั้งขื่นขม
พอพี่ไปใจน้องต้องระทม
ยิ่งมาชมก็ยิ่งช้ำระกำใจฯ"