Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
มิถุนายน 2560
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
25 มิถุนายน 2560
O ยอมเถิด เจ้า .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
Dmitry Metlitsky - Spring Romance
O ลมดึกเลื่อนแล่นฝ่ามิถุนายน
ผ่านพืดเมฆ-เม็ดฝนค่อยหล่น .. กลิ้ง
แววตาหวง-ห่วงละห้อยเหมือนคอยประวิง-
การดำดิ่งอาลัยของใจ-กาย
O ดวงใจเอย .. สายสวาดิ .. ผู้ชาติภพ-
จากแรกจบ-ก็ลุกลามเป็นความหมาย
ละม่อมพักตร์เบื้องหน้า, นัยน์ตาชาย
สบ, เอียงอาย .. เลือดแต้มเกลี่ยแก้มนวล
O จึงฉันทานัยคำ .. เฝ้า-รำร่าย
หวังจิตสายสวาดิน้อย .. ละห้อยหวน
เฝ้าตรึกตรองนัยคำ, ความ .. คร่ำครวญ-
ตราบปั่นป่วนด้วยมนต์ .. ที่ปรนเปรอ-
O ใจอ่อนเยาว์เสพสดับ .. พึงรับรู้-
ความนัยชู้เสกสั่ง .. ให้พลั้งเผลอ-
โอบรับอ่อนหวานล้ำเข้าบำเรอ
ด้วยอำเภอน้ำใจ .. แห่งนัยคำ
O เพื่อถวิลโหยหา .. แรงอาวรณ์
จักซอกซอนแทรกฤทธิ์ .. พาจิตสัม-
ผัส-ความซึ้งซ่านสู่อย่างรู้จำ-
นน-ด้วยกรรมเบื้องหลังที่สั่งการ
O เพื่อรูปแพงเจ้าละห้อย .. แต่คอยหวง
พร้อมโชนช่วงอาทร .. แสนอ่อนหวาน-
จากส่วนลึกด้านใน .. ห้วงใจคราญ
คล้อยบรรสารความสู่ให้รู้รับ
O ละคาบกาลผ่านเผย .. ความเอ่ยเอื้อน
ก็ป่ายเปื้อนซึ้งซ้ำเป็นลำดับ
สุรภพทรงอยู่เกินรู้นับ
แต่เนตรพรับพรายแสงเข้าแทงใจ
O ดูเถิดนั่น .. แก้มอิ่ม .. รอยยิ้มเขิน
จะหยอกเอินซาบซึ้งไปถึงไหน
ดูเถิดหรือ .. รอยเลศแววเนตรใคร-
ราวจะไหวหวั่นสะเทิ้น .. บอกเขินอาย
O ใจเอยเมื่อ .. โลมลูบด้วยรูปแพง
ความกร้าวแกร่งเคยมี .. ก็หนีหาย
ถ้วนนัยกรองพร้องพร่ำ .. เฝ้ารำบาย
ก็ด้วยหมายใจเจ้า .. จักเฝ้ารอ
O คือน้ำใจ -ใช่น้ำค้างยามสางตรู่
เมื่อนัยชู้ร่วมพ้อง .. ย่อมร้องขอ-
อาวรณ์รูปวัยเยาว์ .. พะเน้าพะนอ-
ยั่ว-หยอกล้อแรงถวิล .. อย่าสิ้นเลย !
O เมื่ออบอุ่นอ่อนโยน .. เริ่มโชนฉาย-
ผ่านเนตรปรายปลาบชม้อย ให้ค่อยเผย-
คือสื่อส่งหวานล้ำ .. ร่วมรำเพย
ย่อมก้ำเกยกระหวัดหน่วง .. ทั้งดวงใจ
O หอมอาวรณ์ว่อนฟ้าเพ-ลานี้
ตอบรับรู้ท่าที .. เขามีให้
กี่หนาวยังยากฝ่าอุ่นอาลัย-
ที่โอบไล้โลมอก .. อยู่วก-วน
O หวานอารมณ์บ่มทรวงไม่ล่วงร้าง
ในท่ามกลางแสงช่วงโลมห้วงหน
ปรารถนานิรมิตในจิตคน-
หมายอีกใจดิ้นรน .. ตอบ-รับรอง
O รื่นรื่นลมรวยริน .. ล้อมถิ่นที่
ก่อนวาดวีเคลื่อนสายรำบายหมอง
โคมกลางฟ้าก็ระยับ .. ลงจับจอง-
พื้นที่ให้เรื่อรอง .. ได้ผ่องพราย
O ระยิบรับ .. ระยับรุ้ง .. แห่งคุ้งฟ้า
ค่อยทอดฝ่าโลกต่ำลงรำร่าย
เช่นเนตรซึ้งซ่านคำ .. ลอบรำบาย
เปล่งความหมายปลงเปลื้องบอกเรื่องราว
O ระยิบเอยชุติมา .. ใต้ฟ้าต่ำ
เปล่งประกายร่ายรำในค่ำหนาว
แฝงอาวรณ์ตอบรับอยู่วับวาว
จะเป็นเนตรหรือดาว .. ที่หาวนั้น
O ที่วอนว่า, น้อยใจ .. คำใครหนอ
เหมือนร่ำรอง้องอน .. ออดอ้อน-ขวัญ
ใจเอยแต่เลือนล่วง .. ทุกช่วงวัน-
คิดถึงนั้นมากอยู่ไม่รู้จาง
O ข่าวดีที่ไหนหนอ .. จึงรอคอย-
คำ,ความ,ถ้อย .. ผ่านสู่แต่ตรู่สาง
อิ่มเอมด้วยอาลัยแห่งใจนาง
ที่จะเคียงอยู่ข้างไม่ห่างกัน
O คิดถึงสักแค่ไหนหนอใจเจ้า
หวานรุมเร้าแค่ไหนหนอใจนั่น
จะรอคอยข่าวดีทุกวี่วัน
รอรำพันเจ้ามอบ .. คืนตอบแทน
O อย่าลืมว่ามีใจ .. หนึ่งใจห่วง
เต็มอยู่ทุกคาบช่วง .. คือหวงแหน
คงยากหารูปรส .. เข้าทดแทน
ให้เหมือนแม้นใครนี้ .. ผู้มีใจ
O อย่าลืมว่ามีใจ หนึ่งใจคอย-
สบรูปรอยแห่งชู้ .. ว่าอยู่ไหน
ถวิลถึง .. ห่วงหา .. พร้อมอาลัย-
ราวสุมใส่แทรกทรวงทุกช่วงตอน
O อย่าลืมว่ามีใจ ..หนึ่งใจรู้-
แต่ละห้อยคอยอยู่ .. ไม่รู้ผ่อน
รอคอยหนึ่งรูปนามผู้งามงอน-
ชายตาค้อนอ้อนความ .. เอาตามใจ !
O จงรู้ว่า .. คำนึงเพียงหนึ่งช่วง-
มีความหวงแหนอยู่ .. จนรู้ได้
จงรู้ว่า .. ความคำที่ร่ำไร-
หวังเพื่อให้ใจนั้น .. หวิว-สั่นสะท้าน !
Create Date : 25 มิถุนายน 2560
Last Update : 10 เมษายน 2566 13:06:46 น.
18 comments
Counter : 5678 Pageviews.
Share
Tweet
สดายุ..
"O อย่าลืมว่ามีใจ .. หนึ่งใจห่วง
เต็มอยู่ทุกคาบช่วง .. คือหวงแหน
คงยากหารูปรส .. เข้าทดแทน
ให้เหมือนแม้นใครนี้ .. ผู้มีใจ"
หากเปลี่ยนเป็น "ให้เหมือนแม้นใคร.. นั้น.."
คนนี้.. ก็จะ O ยอมเถิด เจ้า .. O กับเค้าด้วยนะ 555
ไพเราะมากทั้ง คำ ทั้งความ จนต้องเข้ามาช่วยกัน. .."หวิว-สั่นสะท้าน !" ด้วย
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.201.164 วันที่: 27 มิถุนายน 2560 เวลา:18:01:05 น.
มินตรา ..
การค่อยๆ เรียบเรียงเลือกวางคำ ไปตามจินตนาการ ภายใต้กฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง
เป็นการใช้เวลาว่างให้ผ่านไปได้รวดเร็วยิ่ง
แต่มีข้อน่าสังเกตุบางประการในบรรดางานที่ต้องใช้จินตนาการและสมาธิสูงอยู่เหมือนกันคือ
มันจะทำได้ดี ทำได้มากมายอยู่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็น คำประพันธ์ประเภทกาพย์กลอน
ไม่ว่าจะเป็น คำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว นิยาย
ไม่ว่าจะเป็น เนื้อเพลง พร้อมทำนอง
รวมทั้ง ภาพวาด ศิลปกรรมทั้งหลาย
ที่น่าจะเรียกว่าเป็นช่วง peak
.
ผลงานจะออกมาต่อเนื่องอยู่ระยะหนึ่งแล้วจะหยุดไปเลย
.
ไม่จำเป็นว่าต้อง peak ในวัยหนุ่ม แล้ว หยุดร้างลาในวัยกลางคน
บางครั้ง หากเริ่มต้นในวัยกลางคนก็ peak ในวัยนั้นเลยแล้วค่อยๆแผ่วลง จนหมดในที่สุด
.
ผมคิดว่า .. ทั้งนั้น ไม่ว่า ..
สุนทรภู่
อังคาร กัลยาณพงศ์
นายผี อัสนี พลจันทร์
อัสนี โชติกุล
ยืนยง โอภากุล
ถวัลย์ ดัชนี
ประเทือง เอมเจริญ
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
พนมเทียน
บุษยามาศ
ทมยันตี
ฯลฯ
.
มันเหมือน หมดก๊อก .. 55
เห็นด้วยไหมครับ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 28 มิถุนายน 2560 เวลา:15:56:57 น.
เพราะดีค่ะ
โดย: เอื้อย IP: 61.19.86.2 วันที่: 29 มิถุนายน 2560 เวลา:11:02:33 น.
สดายุ..
เห็นด้วย ค่ะ ที่ใช้ "จินตนาการและสมาธิสูง"
ในการผลิต คำ เรียงเป็น ความ
ให้สวยงามในการใช้ภาษา
นี่จะเป็นร่องรอยอารยธรรมต่อไปในภายภาคหน้า
ส่วนเรื่อง"ก๊อก"ของสดายุน่ะ เป็นเทคโนโลยี่
ซึ่งต้องแก้ด้วยเทคโนโลยี่ 555
สดายุ ชอบใช้" คำ "ซ้ำซ้ำ ซึ่งทำให้ "ความ" เด่นขึ้น
"O อย่าลืมว่ามีใจ .. หนึ่งใจห่วง
O อย่าลืมว่ามีใจ หนึ่งใจคอย-
O อย่าลืมว่ามีใจ ..หนึ่งใจรู้-"
ตรงนี้ มินตราว่าเป็นอีก ความงาม นะ ว่าไหมคะ
โดย: บุษบามินตรา IP: 212.47.252.101 วันที่: 29 มิถุนายน 2560 เวลา:16:22:47 น.
คุณเอื้อย ..
สวัสดีครับ ..
ผมเขียนให้สาวๆอ่านครับ
มินตรา ..
ว่าด้วย ครับ ..
เขาเรียกว่า "ย้ำคิดย้ำทำ" แบบคนที่เลยวัยรุ่นมาใหม่ๆ อิๆๆ
ผมคิดว่า เป็นปกติของคนเราเมื่อทำอะไรนานเข้าก็จะเหมือนคนขี่จักรยานนะครับ .. ปล่อยสองมือเป็นบางครั้งเวลา "ของขึ้น" 55
ที่จริงการเล่นความซ้ำ นี่ผมสังเกตุเห็นในงานของนายผี
เด่นชัดมาก .. รวมทั้ง "คำ" ที่ท่านเลือกใช้ได้อย่างทรงพลัง อย่างที่ไม่อาจเห็นในเด็กรุ่นใหม่ๆ (ที่ขาดอหังการของการเลือกใช้คำ เพื่อเดินความ ทำให้กลายเป็นเรียงความมีสัมผัสไป)
ผมรออ่านกลอนของมินตราอยู่นะครับ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 29 มิถุนายน 2560 เวลา:19:44:43 น.
สดายุ..
นับตั้งแต่ผู้ยิ่งใหญ่ท่าน ร่ายกลอน หายใจเป็นไทย
ใครเลยจะบังอาจ ไปร่ายกลอนทาบ ท่านได้ !
มิบังอาจ !
โดย: บุษบามินตรา IP: 188.165.201.164 วันที่: 30 มิถุนายน 2560 เวลา:0:47:58 น.
"เจ้า" ในกลอนบทนี้ของคุณสดายุ
- มีตัวตนจริง
หรือว่า...
- เขียนใหม่ตามจินตนาการ
- เป็นกลอนเก่ามาเล่าใหม่ค่ะ
โดย: เอื้อย IP: 61.19.86.2 วันที่: 30 มิถุนายน 2560 เวลา:9:18:52 น.
มินตรา ..
กลอน "หายใจเป็นไทย" ?
อ่านแล้ว .. เลือดลมไม่พลุ่งพล่านแย่เหรอครับนี่ 555
ชนเผ่านี้เขามีการ "บังคับให้รัก" ด้วยนะครับ
อีกหน่อยเอาออกงานวัดได้เลยครับ
แม่เอื้อย ..
"เจ้า" ในนารีปราโมชทุกบท ไม่มีตัวจริงครับ ..
กำลังหาอยู่จนถึงนาทีนี้เลยครับ
บางครั้งก็เอากลอนในเรื่องยาวมาตัดตอนลง
บางครั้งเอากลอนเก่ามี ผัดหน้าทาแป้ง ปรับจุดที่ไม่พอใจแล้ววางใหม่ครับ ปนๆกันไป
โดย:
สดายุ...
วันที่: 30 มิถุนายน 2560 เวลา:19:10:43 น.
เรียกแม่เอื้อยก็สมควรกับวัยจริงแล้ว
แม่เอื้อยดูจากรูปแล้ว..ไม่น่าเชื่อว่า ยังโสด นอกจากมีอุบัติเหตุของชีวิต
เป็นกำลังใจให้ค้นหานารีที่ปรารถนาต่อไปค่ะ
แม่เอื้อยผ่านโลกนี้มา..ก็นานมากแล้ว
มีข้อคิดฝากเรื่องนารีไว้ให้เพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
นารีปากกล้ามือไว-อย่าได้สุงสิง
นารีอ่อนน้อมพูดน้อยนิ่ง-จงวิ่งเข้าหา
นารีบ้าถือศักดินา-จงล่าถอย
นารีดัดจริตสำออย-จงถอยห่าง
นารีสำอางมือเท้าห่างเกิน-จงเดินหนี
นารีชั่วช้าอัปรีย์-จงวิ่งหนีให้ไกล
นารีจัญไร-อย่าได้แม้แต่ชายตาแล
นารีที่คอยแคร์แม้แต่พ่อแม่เราอย่าได้รั้งรอ-รีบไปขอทันที
ขอให้โชคดีเจอนารีที่ถูกใจในไม่ช้านี้นะคุณสดายุ!
โดย: แม่เอื้อย IP: 61.19.86.2 วันที่: 1 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:15:54 น.
แม่เอื้อย ..
สวัสดีและขอขอบคุณในคำแนะนำครับ ..
นารีมีหลายแบบ .. แต่มีเพียง 2 แบบ ที่แนะนำ
1 นารีอ่อนน้อมพูดน้อยนิ่ง-จงวิ่งเข้าหา
2 นารีที่คอยแคร์แม้แต่พ่อแม่เราอย่าได้รั้งรอ-รีบไปขอทันที
อย่างแรก พอเข้าใจได้ ..
แต่อย่างหลัง นี่ .. แล้วถ้าหากพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ก็คงม้วยมรณังสิครับ .. อิๆๆ
ขอบคุณในคำอวยพรครับ ..
โดย:
สดายุ...
วันที่: 1 กรกฎาคม 2560 เวลา:14:47:38 น.
ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นด้วย ตัวช่วยที่ดีที่สุดก็คือ เวลา เพราะเวลาจะช่วยเยียวยา ประสานทุกอย่างให้ดีขึ้น
แต่เวลาก็สามารถทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนไปได้ทั้งบวกและลบอีกเหมือนกัน..
แต่ถ้าทั้งสองยึดมั่นในรักกันจริงๆ อุปสรรคไม่ใช่ปัญหาใหญ่ค่ะ
โดย: เอื้อย IP: 61.19.86.2 วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:15:00:41 น.
ญ ไทยรุ่นเก่า หรือรุ่นใหม่ที่หัวเก่า
จะมีข้อจำกัดเยอะครับ .. ในความสัมพันธ์ ชาย/หญิง
ผมมองเห็นว่าสังคมที่ปัญหาน้อยและพัฒนาแล้วอย่าง
ยุโรป น่าจะมีความเหมาะสมลงตัวมากกว่าทางเอเชีย
ที่มีน้อยประเทศมากที่สามารถผ่านพ้นกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว
การเลี้ยงดูเด็กให้ช่วยตัวเองได้ - โดยไม่โอ๋เกินเหตุ
รวมทั้งกระบวนการเลือกคู่ครอง - โดยการรู้จักกันอย่างแท้จริง
โดย:
สดายุ...
วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:15:59:32 น.
ทุกอย่างมักมีสองด้านเสมอ. ความคิด ทัศนคติ อุดมการณ์และวิจารณญาณแต่ละคนแตกต่างกัน
หากเราใช้ความรู้สึกเราเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินสิ่งที่ไม่ใช่เรา ผู้อื่นคือตัวปัญหาทันที
แม่เอื้อยยอมรับว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว. เปิดกว้างทางความคิด และมีอิสระในการตัดสินใจ เด็กของเขาจึงเติบโตมากับความเชื่อมั่นในตนเองที่สูงมาก
โดยเฉพาะเรื่องคู่ครองนี่ ลองผิด ลองถูกกันได้ตามชอบใจ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนเสมอไป.
หญิงไทยสมัยนี้ก็ค่อนข้างจะกลมกลืนเลียนแบบยุโรปบ้างแล้วนะ. ไม่ค่อยเห็นเด็กสมัยใหม่แต่หัวใจคร่ำครึแล้ว
ในโอกาสว่างๆแชร์ความคิดแลกเปลี่ยนกันค่ะคุณสดายุ
โดย: เอื้อย IP: 61.19.86.2 วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:16:44:11 น.
ผมมองที่ "ผลลัพธ์ที่มองเห็นจับต้องได้" นะครับ ..
ไม่ค่อยใช้ความรู้สึกตัวเองตัดสินเท่าไร ..
คนทั้งโลกคงมองเห็นว่า ยุโรปแทบจะทั้งทวีป (อาจมีประเทสที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ที่ลงท้ายชื่อประเทศด้วย "สถาน"ทั้งหลาย และยุโรปตะวันออกบางประเทศเท่านั้นที่ยกเว้น เช่น อัลบาเนีย ) เป้นประเทศพัฒนาแล้ว ..
ขณะที่ในเอเชียกลับกัน ..
มีเพียง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ เท่านั้นที่เป็นประเทศพัฒนาแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าการเมือง สังคม จารีตประเพณี ของยุโรปตะวันตกต้องสอดรับกับธรรมชาติของความเป็นมนุษย์มากที่สุด มันถึงมี วิวัฒนาการ ไปข้างหน้า .. นับจากยุค เรเนซอง อันเป็นยุคตาสว่างในยุโรป
"ผลที่จับต้องได้" ครับที่ผมมอง
ลาลูแบร์ มาสยามสมัยพระนารายณ์ จำง่ายๆว่าสมัย พศ.2222 ...
จนบัดนี้ เรายังตามฝรั่งเศสไม่ทันเหมือนเดิม .. แสดงว่ามีความ"ไม่สามารถในกระบวนการพัฒนาการ" ดำรงอยู่แน่นอนครับ
แลกเปลี่ยนความเห็นกันนะครับ แม่เอื้อย
โดย:
สดายุ...
วันที่: 3 กรกฎาคม 2560 เวลา:19:29:19 น.
สดายุ..
ว่าด้วย .".ลาลูแบร์ มาสยามสมัยพระนารายณ์ "
ได้เขียนบันทึกใน" จดหมายเหตุพงศาวดาร ราชอาณาจักรสยาม" ว่า.... "ชาวสยามคล้ายคลึงกับชาวประเทศเพื่อนบ้าน ชาวสยามมีรูปพรรณทางใบหน้าแบบชาวชมพูทวีป ผิวผสมแดงกับน้ำตาลไหม้ ซึ่งไม่เหมือนกับชาวต่างชาติข้างเหนือของทวีปอาเซีย และยังมีจมูกสั้น ตอนปลายจมูกมีลักษณะมนเหมือนชาวประเทศเพื่อนบ้าน กระดูกโหนกแก้มโปน และยื่น หางตาเชิดชัน ใบหูใหญ่กว่าชาวยุโรป ท่าทางมีลักษณะห่อตัวเหมือนลิงทะโมน และยังมีอิริยาบทอีกหลายอย่าง ที่คล้ายสัตว์จำพวกนี้ "
หากดูจากการที่ แม่คอยอบรม มินตรา ว่า
- อย่าทำตัวเป็นลิงทะโมน
- นั่งตัวตรงตรง หน้าเชิดไว้
- จะเดินจะเหิร อย่าเป็นม้าดีดกะโหลก
-อย่า พูดคำหัวเราะคำระริกระรี้
แม่อ่านบันทึกของลาลูแบร์ จนต้องมาแก้ไข ตรงตัวมินตรานี่เอง
ก็นับว่ามินตรา มีความ "สามารถในกระบวนการพัฒนาการ" ดำรงอยู่แน่นอน !
เดี๋ยวนี้เวลาเจอหนุ่มคนไหน ที่มาดดีดีหน่อย
มินตราก็จะทักทายด้วย faire la bise แบบชาวฝรั่งเศส เลยค่ะ 555
โดย: บุษบามินตรา IP: 212.47.252.101 วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:4:07:09 น.
มินตรา ..
มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ได้ออกเดินทางจากท่าเรือเมือง เบรสต์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2230 มาทอดสมอที่กรุงสยาม เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2230 เดินทางกลับเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2231
ในขณะที่การทลายคุกบัสตีย์ในการปฏิวัติฝรั่งเศสเกิดขึ้นเมื่อ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 1789 หรือตรงกับ พศ.2332 คือหลังเสียกรุงศรีอยุธยาให้พม่าครั้งที่ 2 มา 22 ปี ก็ตรงกับ รัชกาลที่ 1 (ขอแก้ไขที่มอง พศ. ผิดไปร้อยปี 55)
แปลว่า .. ลาลูแบร์ กลับจากสยามไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ได้ 101 ปี ก็มีเหตุการณ์ล้มระบอบกษัตรย์ในฝรั่งเศส
หลังจากนั้น มีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 (พศ.2335) และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงถูกประหารชีวิตในปีถัดมา
พระนารายณ์เป็นกษัตริย์ในราชวงศ์ปราสาททอง ..
และเรายังต้องผ่าน"ราชวงศ์บ้านพลูหลวง"มา 1 ราชวงศ์
แล้วต่อด้วย เจ้าตากสินอีก 15 ปี เต็มๆ
ยุคเรืองปัญญา (เรเนซอง) เริ่มต้นแล้วตั้งแต่ปลายยุคกรุงธนบุรี ต่อต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ .. นับว่าเร็วมาก
ผมยังเห็นภาพชาวบ้านชาวสยามในยุครัชกาลที่ 5 หลังจากที่เริ่มมีกล้องถ่ายรูปมาตั้งแต่ รัชกาลที่ 4 บ้าง .. รวมทั้งบ้านเรือน และชุมชน .. ว่าเป็นอย่างไร (ยุคนี้คนไทยมีประมาณ 10 ล้านคนแล้ว)
แต่นึกภาพไม่ออกว่าสมัยพระพุทธยอดฟ้าจะมีถึง 5 ล้านคนไหม และสภาพบ้านเรือน ชุมชน จะเป็นอย่างไร ในยุคที่ รอแบ็สปีแยร์ ใส่สูทพร้อมวิกผม ปราศรัยปลุกระดมผู้คนในปารีส ก่อการปฏิวัติ
ช่างแตกต่างกันมากจริงๆ ระหว่าง 2 นครา
โดย:
สดายุ...
วันที่: 4 กรกฎาคม 2560 เวลา:13:13:30 น.
ไม่ยอมค่ะคุณสดายุ คริๆ
โดย: เก้ง IP: 223.24.94.72 วันที่: 21 มีนาคม 2562 เวลา:16:27:14 น.
งั้นผมยอมเอง
โดย:
สดายุ...
วันที่: 24 มีนาคม 2562 เวลา:9:57:15 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
สดายุ..
"O อย่าลืมว่ามีใจ .. หนึ่งใจห่วง
เต็มอยู่ทุกคาบช่วง .. คือหวงแหน
คงยากหารูปรส .. เข้าทดแทน
ให้เหมือนแม้นใครนี้ .. ผู้มีใจ"
หากเปลี่ยนเป็น "ให้เหมือนแม้นใคร.. นั้น.."
คนนี้.. ก็จะ O ยอมเถิด เจ้า .. O กับเค้าด้วยนะ 555
ไพเราะมากทั้ง คำ ทั้งความ จนต้องเข้ามาช่วยกัน. .."หวิว-สั่นสะท้าน !" ด้วย