O หอมกลิ่นร่ำ ๒ .. O
VIDEO .. เช้าตรู่ เรือนริมน้ำ อยุธยา .. . . ๒๗๓. ภาพเบื้องหน้า .. งามพิสุทธิ์-ในชุดขาว ตาวับวาวชะเง้อคอย .. ชม้อยเหลียว ข้าวในขันอุ้มถือ .. ด้วยมือเรียว ความรื่นรมย์ก็กอดเกี่ยวทุกเสี้ยวใจ ๒๗๔. เพียงลมเช้าเฉื่อยโชย..อย่างโผยแผ่ว พายวาดแล้ว-อ่อยเอื่อย, เรือเรื่อยไหล คลื่นน้ำพลิ้วโยนระลอก..แผ่ออกไป พร้อมริ้ววงน้ำไหว..คือใจรอ ๒๗๕. บรรจงหยิบจับของประคองถวาย นอบน้อมกายมอบสู่ท่านผู้ขอ หมายนัยธรรมผ่านเสียง..จะเพียงพอ- ช่วยเติมต่อภูมิธรรมลงย้ำใจ ๒๗๖. ภาพ-พระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย- กับงามหนึ่งรูปรอย..ที่ค่อยไหว- ค้อมคอลงรับคำ..พากย์ธรรมนัย พาเงื่อนเหตุอาลัย..พลอยไหววน ๒๗๗. แสงเช้านั้นรองเรืองที่เบื้องหน้า เมื่อสบตาปลาบปลั่ง..อีกครั้งหน ช่อดอกไม้, ขันข้าว, เนตรวาวจน- สะท้อนพื้นสายชล-วาบ-วนเวียน ๒๗๘. แผ่วผ่านเสียงสาธุ..บรรลุโสต กลับอุโฆษยามสดับ..ถึงปรับเปลี่ยน- พาใจตรองข้อธรรม..ครวญคำเธียร ยกปัญญาตัดเตียน..บ่งเสี้ยนแซม ๒๗๙. ชื่นเช้ากับนัยธรรม..จากคำพระ เมื่อสุดผละแววตา..จากหน้า-แก้ม พาอ่อนหวานรำบายลงก่ายแกม ก่อนป่ายแต้มพักตร์พิไลติดนัยน์ตา ๒๘๐. จึงเช้าชื่น..ด้วยหมอก, ปวงดอกไม้- น้อมแนบไว้ด้วยละห้อยเฝ้าคอยหา ช่วงเช้านี้ลมเห่..กาลเวลา เกสรา-ภุมรินก็บินล้อม ๒๘๑. ไหว้พระ..อธิษฐานเพื่อกาลหน้า สืบคุณค่าตั้งรอ..ร่วมหล่อหลอม รูปหน้าหรือนัยธรรม..หนอ-ด่ำดอม จนดูเหมือนจำยอม...อย่างพร้อมใจ ๒๘๒. กราบพระ..บำบวงผ่านห้วงสินธุ์ หวังบรรลือแรงถวิล..จนสิ้นได้ จังหวะพายจ้ำจ้วง..หวัง-ทรวงใคร- จักหวามไหวตามระยะจังหวะแรง ๒๘๓. กราบพระ..บำบวงผ่านท่วงที แววตาที่อ่อนโยนเริ่มโชนแสง พร้อมความหวานหอมล้ำ..ที่สำแดง ลงเติมแต่งโลกธรรม..ล้อมรำบาย ๒๘๔. ภาพ-กุศลสืบสาน, ดอกมาลย์หอม ก็งามพร้อมแสงสรวงขึ้นช่วงฉาย ความอ่อนหวานอ่อนไหว..หัวใจชาย- ก็กำจายฝากคลื่น.แนบผืนน้ำ ๒๘๕. ร่ำรอภาพ-บุญกุศลให้วนกลับ เพื่อสำหรับปลาบปลื้ม..แสนดื่มด่ำ- จักวนรอบเวียนรับ..ลำดับกรรม เอาหยั่งย้ำอาวรณ์..แนบนอนทรวง ๒๘๖. ภาพสาวน้อย..ละม่อมหน้า..ที่ท่าน้ำ ค่อยตอกย้ำอกใจพลอยไห้หวง กราบพระดูแช่มช้อย, คำถ้อย-ปวง- หวังผ่านล่วงถึงใคร...หนอใจนั้น..? ๒๘๗. น้ำกระทบกราบเรือ, แสงเรื่อส่อง- ก็เหลื่อมต้องผ่านแต้มสองแก้มนั่น ตากระทบรูปเยาว์, เมื่อเช้าวัน- ก็เฝ้าฝันใฝ่อยู่...ไม่รู้แล้ว ๒๘๘. คล้ายเสียงธรรมล้อมโลก..เข้าโบกโบย เมื่อลมเช้าเฉื่อยโชย..ยังโผยแผ่ว ใจคนฤๅต้องสาป..เมื่อภาพแวว- ตาผ่องแผ้วผ่านนัย..รอไขว่คว้า ๒๘๙. ก่อนเสียงธรรมจางหายกับสายลม เมื่อปรารมภ์มุ่งมั่นขอฟันฝ่า หมายเอื้อมเหนี่ยวพวงพะยอมให้น้อมมา ร่วมรับรองคุณค่า..แรงอาลัย ๒๙๐. ลมเช้ายังเฉื่อยโชยอย่างโผยแผ่ว เมื่อดวงแก้วบนฟ้าทาบทา..สมัย ปลายปีกนกผกบินสู่ถิ่นไกล เมื่อหัวใจถวิลเห็นไม่เว้นวาง ๒๙๑. ภาพพระที่ท่าน้ำ, เรือลำน้อย- เหมือนดั่งคอยเฝ้าอุบัติขึ้นขัดขวาง พร้อมรูปมือเรียวงามอยู่ท่ามกลาง- ม่านหมอกพรางขุ่นขาวแห่งเช้าวัน ๒๙๒. ผมหล่นล้อมวงหน้า..เมื่อหน้าก้ม มือประนมคอค้อมอยู่พร้อมนั่น ด้วยรูปและโดยใจของใครกัน- แต่งเป็นสัญญาร่าง..ขึ้นขวางไว้ ๒๙๓. ภาพ-จีวร, ลำเรือ, แดดเรื่อส่อง, พักตร์ผุดผ่องรูปขวัญ, เช้าวันใหม่- ก็เคลื่อนบทบาทล้อมเข้าย้อมใจ กลางลมไหววาดวี..ในที่นั้น ๒๙๔. ภาพ-จีวร, ลำเรือ, ผิวเนื้อเนียน, เนตรวกเวียนเหลือบชะม้าย, น้ำส่ายสั่น- ก็เคลื่อนผ่านวูบไหวดั่งไฟควัน- แทรกส่วนสัญญารูป..โลมลูบใจ ๒๙๕. จนเสียงธรรมจางหายกับสายลม เหลือเพียง-เนตร, เส้นผม..เกินข่มไหว- เข้ารายล้อมดวงตา..เกินฝ่าไป- พ้นผ่านรูปเพ็ญพิไล..ของใครแล้ว ! . ... หัวใจที่ร่ำรอ .. . . ๒๙๖. ปล่อยเถิด .. ความในทรวงให้ร่วงหล่น ร่วงลงบนเปลี่ยวเหงาอย่างเบา .. แผ่ว ปล่อยนัยน์ตาอ่อนโยนได้โชนแวว- ความผ่องแผ้วพริ้มพรับ .. ให้รับรู้ ๒๙๗. ยิ้มรับภาพงดงาม .. อยู่ท่ามกลาง- การเร้นพรางอาวรณ์ .. แอบซ่อนอยู่ วันแล้วและวันเล่า-ที่เฝ้าดู- ความนัยชู้ .. จากชาย .. ผู้หมายเชย ๒๙๘. คล้ายว่าแรงสุมซ่อน .. อาวรณ์นั้น- จะไหวสั่นรูปรอย .. ให้ค่อยเผย- ผ่านแววตาอ่อนละมุน .. แสนคุ้นเคย แทนการเอ่ยถ้อยความออกตามใจ ๒๙๙. แววตากอปรคำนึงหวานซึ้งอยู่ ก็ทอดทอนัยสู่ .. จนรู้ได้- ว่า-วงรอบเสน่หาความอาลัย ค่อยเวียนรอบวนไหว .. ที่ใจคน ๓๐๐. ร้างรูปดาวบนฟ้า .. กล่อมราตรี เพียงเรื่อยรี้ลมล่วง .. โลมห้วงหน เหลือจันทร์แรมลอยเรียว -โดดเดี่ยวบน- ฟ้า, ใจคน..กลับช่วงกว่าดวงวัน ๓๐๑. เหมือนงดงามเรื่อเรื้อง .. ที่เบื้องหน้า หยัดหยั่งบางคุณค่า .. เบื้องหน้านั่น แล้วยอบทบาทสู่ .. ให้รู้กัน ลบเงียบงันวันวานให้ผ่านพ้น ๓๐๒. หลัง-ม่านหมอกบังพราง .. พ้นสางตรู่ ความนัยชู้ทั้งปวง .. ก็-ร่วงหล่น หลัง-วันเลื่อนลอยดวง, ในทรวงคน- ความนัยอบอุ่นล้น .. ก็หล่นรอ ๓๐๓. พร้อม-สายลมอุ่นอ้อนแสนอ่อนโยน, ดอกมาลย์โอนหอมยิ่งทุกกิ่งช่อ รูปธรรม..ใจแนบลงแอบ-ออ ก็อยู่ล้ออาลัย..คอยไขว่คว้า ๓๐๔. เตรียบความหมายนัยคำ .. หวังทำให้- บางอกใจวนวิ่งเสียยิ่งกว่า- เมื่ออกอุ่นอ้อมแขนห้อมแหนมา เนตรพรายพร่าสั่นไหว .. ด้วยนัยนั้น ๓๐๕. รื่นรมย์อยู่ดีไหม .. หัวใจเจ้า กับยั่วเย้าอารมณ์ให้ซมสั่น รื่นรมย์ทั้งหัวใจ-ของใครกัน ? กับรำพันเร้ารัว .. หยอกยั่วใจ ๓๐๖. เถิด-ให้เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว เก็บทุกแววหวานซ่อน .. อย่าอ่อนไหว อย่าพลั้งเผยแววตา .. ความอาลัย- เผลอออกให้เขาเห็น .. ความ เป็น มี ๓๐๗. ให้รับรู้ความนัย .. แต่ในฝัน ด้วยว่านั่น-คือหลักแห่งศักดิ์ศรี- ของอาวรณ์เชิงชู้ .. กุล-ผู้ดี จากใจที่แฝงเร้น .. ขีดเส้นทาง ๓๐๘. โอ ลวดลายชาติภพ .. บนคบสูง จะเหมือนยูงอกแอ่นรำแพนหาง- อยู่กับฝูง .. งดงามอยู่ท่ามกลาง- การลอบเร้นอำพราง .. ได้อย่างไร ? ๓๐๙. ยิ้มรับใจวุ่นวาย .. ที่คล้ายว่า- เผลอเผยอาวรณ์นั้น .. ด้วยหวั่นไหว รอการแกว่งสั่นรัว .. บางหัวใจ- จะแว่วให้รับรู้ .. ให้ดูแล ๓๑๐. แว่ว .. มาเถิดอกใจผู้ใฝ่ฝัน หากมุ่งมั่นร่วมเคียง .. อย่าเพียงแค่- เก็บซ่อนไว้ปิดกั้น .. ให้ผันแปร- แล้วเฝ้าแต่ซ่อนเร้น .. ความเป็นไป ๓๑๑. เพียงเพื่อความเงียบงันแห่งวันวาน จัก-เคลื่อนผ่านหวานหอม .. รายล้อมให้- การเผยรูป, สั่นรัวแห่งหัวใจ- ค่อยสั่นไหวเผยรอบ .. ให้ปลอบโยน ! ๓๑๒. กลางสายลมโผแผ่ว .. เหมือน-แว่วดัง- เสียงกดข่ม, เหนี่ยวรั้ง .. ค่อยพัง-โค่น แรงอาวรณ์, แหนหวง .. ใคร-ช่วงโชน- เหมือน-ถ่ายโอนออกมอบ .. ให้ครอบครอง ! . ... พศ.๒๔๒๘ .. . . ๓๑๓. บริบทงดงามแห่งยามเช้า หมอกทึมเทารอบเรือนค่อยเลือนล่อง แสงตรู่สางโอบเอื้อรูปเนื้อทอง- ที่เผยรูปผุดผ่อง ในห้องเดิม ๓๑๔. ห่างหายไปนับเดือน .. จากเรือนพ่อ โดยช่วงต่อสองกาล .. เคลื่อนผ่านเสริม อีกคลื่นความถี่แสง .. ซ้อนแสงเดิม- เข้าแต่งเติมโลกธรรมอยู่ตำตา ๓๑๕. แจ้งสิ้นถึง .. เงียบงามแห่งยามเพรง กับรุดเร่งทุกเรื่องที่เบื้องหน้า ความสับสนรอบด้านที่ผ่านมา อีกแววความปรารถนาในตานั้น ! ๓๑๖. ยิ้มรับความหวานหอมในอ้อมกอด ความ, คำ-ออดอ้อนใส่จนใจสั่น ยิ้มรับความอ่อนหวานที่ปานทัณฑ์- ล้อมรัดขวัญฝากรักเข้าปักทรวง ๓๑๗. ขณะความมืดดำ .. ยังร่ำไร ความรักแรงอาลัย .. อันใหญ่หลวง- ค่อยแทรกลงหลอมหลั่งใจทั้งดวง ให้แต่ห่วงละห้อยเห็น อยู่เช่นนั้น ๓๑๘. น้ำตาผู้บำราศ .. ค่อยหยาดรื้น พร้อมความอื้นโอดห่ม .. ให้ซมสั่น อาวรณ์ความอ่อนหวานแห่งวานวัน ที่จักล่ามรัดขวัญตราบวันวาย ๓๑๙. ลำแสงสุกสว่างที่กลางห้อง เคยครอบร่างเปิดช่องพาล่องหาย และเส้นทางเดียวกันพาผันกาย- คืนกลับให้เดียวดาย .. อยู่รายล้อม ! ๓๒๐. ลับสิ้นแล้วรูปชายผู้สายสวาดิ จักแคล้วคลาดสร้อยศัพท์ เคยขับกล่อม ต่อแต่นี้แรงถวิล .. จักยินยอม- แซ่เสียงห้อมห่มชู้ .. แทนผู้ตระกอง ๓๒๑. ก่อนแว่วเสียงอื้ออึง .. มาถึงที่ พ่อ, แม่, พี่ ตาพรับ .. คอยจับจ้อง แววตาแสนตื่นเต้น เขม้นมอง- รูปเนื้อทอง .. ที่ถลันเข้าอัญชลี ! ๓๒๒. เข้ากอดแม่ร่ำไห้ด้วยใจรัก คิดถึงนัก .. เมื่อพรากไปจากที่ หากหัวใจถวิลชู้ กลับรู้ดี- ว่ายามนี้เศร้าอยู่ .. ด้วยผู้ใด ๓๒๓. แล้วเรื่องราวทั้งปวงก็ล่วงสู่- ให้พ่อแม่ทั้งคู่ .. รับรู้ได้- ว่า .. ที่กายลับเลือนจากเรือนไป ผ่านลำแสงสุกใส .. จากไกลลิบ ๓๒๔. ผู้สูงวัยรับฟัง .. เรื่องทั้งหลาย ลมผ่านสายเย็นเยียบ .. คนเงียบกริบ บางครั้งคราวเหม่อลอย .. ด้วยถ้อยกระซิบ- พร้อมตาปริบปรอยอยู่ .. ไม่รู้ตัว ๓๒๕. ภาพในห้วงสัญญา .. ยังบ่าออก ล้วนภาพผู้กระซิบบอก .. คำหยอกยั่ว ใจผู้หลงยุคนั้น .. ใช่หวั่นกลัว หากสั่นรัวด้วยสวาดิที่พาดพัน ๓๒๖. เสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วยังแว่วอยู่ เมื่อบ่าวทาสรวมหมู่ .. พร้อมอยู่นั่น เดินกลัวกลัวกล้ากล้า .. เข้ามากัน ข้าวในขันคอยท่า .. รู้ปรารมภ์ ๓๒๗. แถบแพรขาวบางนุ่ม .. ห่มคลุมไหล่ เสียบแซมกลีบช่อไม้ที่ปลายผม สังวาลย์เพชรวางสาย .. ให้หมายชม- หรือ-เพื่อข่มขับมืด .. ให้จืดจาง ? ๓๒๘. ข้าวหอมกรุ่น, เช้าใหม่, รูปวัยเยาว์ สงฆ์ฝ่าสายลมเช้า .. ค่อยก้าวย่าง ละม่อมรูป, อิริยาและท่าทาง- หยิบ, ประจง-จับวาง หยัดร่างรอ ๓๒๙. ภัตตาหาร, ปรารถนา..ร่วมภาวะ ในวาระมอบสู่ท่านผู้ขอ ห้วงจิตใจดื่มด่ำ..นั้นร่ำรอ- การเกิดก่อนามรูป..โลมลูบใจ ๓๓๐. งามรูปทรงเกศินี..ในที่นั้น ช่อมาลย์พันผูกแซม..พักตร์แจ่มใส ผืนแพรบางหอมอวลอบนวลใย ห่วงกำไลสวมกรเจ้าอ่อนน้อย ๓๓๑. อธิษฐานนิรมิต..ด้วยจิตรู้- ธรรมพระผู้ล่มโลก..ปวงโศกสร้อย มือประคองค้อมคอ..เพียงรอคอย- ก่องดงามแช่มช้อย..ทุกรอยกรรม ๓๓๒. เช้านั้นเรื้องพันแสงโลมแหล่งหล้า พร้อมปัญญาอำไพเรื้องให้สัม- ผัสกล่อมเกลาทุกข์โศกปวงโลกธรรม อันคอยย้ำยุดอยู่..ไม่รู้ลา ๓๓๓. กรประคองน้อมกายถวายภัตต์ ก็โดยศรัทธ์ท่วมใจผู้ใฝ่หา หมายอำรุงบาทพิถีผู้ลีลา- ธรรมจักรยาตรา..สู่หล้าไกล ๓๓๔. น้อมใจลงจดจำพระธรรมพจน์ บริบทคอยสดับ..ก็ขับไข เข้าล่มลาญหม่นมัวในหัวใจ เผยร่องรอยสดใสผ่านนัยน์ตา ๓๓๕. ครั้งนั้นรูปละม่อม..เจ้าน้อมเศียร รับพากย์เธียรกล่อมสู่..เพื่อรู้ว่า- สุดเส้นทางตามตัด..คืออัตตา- ต้องถูกพล่าผลาญหมด..ทุกบทตอน ๓๓๖. ประนมกร, คอค้อมลงน้อมนบ ปรุงชาติภพจดจำในคำสอน ชั่วนิ่งนึก .. ใจล่วงสู่ช่วงตอน- ความเว้าวอนอ่อนหวานที่ผ่านมา ๓๓๗. ลมรุ่งเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยผ่าน เมื่อใจคราญแต่คอยละห้อยหา ตราบสบเลศวามช่วง .. อีกดวงตา หวามก็บ่าแรงล่วงถึงดวงใจ ๓๓๘. เบื้องหน้าคือ-รูปกาย .. ของชายซึ่ง- แววตาซึ้งสบแล้ว .. ฤๅ-แล้วได้ ? ฤๅมีกรรม .. ร่วมสร้างแต่ปางใด สบแล้วให้แต่คะนึงคิดถึงกัน ? ๓๓๙. จะชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน พบปะหน้าเมื่อใด .. ต้องไหวหวั่น ตาสบรูป .. ภพชาติต้องพาดพัน ชั่วสบพลัน-แรงชู้ .. ก็ จู่โจม ! ๓๔๐. หลัง-รูปชายยามเพรง .. ถูกเพ่งพิศ นฤมิตยามรุ่ง .. ก็ปรุงโฉม- ดลอาวรณ์ในรูป .. ล้อม-ลูบโลม- พาแรงโสมนัสช่วงกลางห้วงใจ ๓๔๑. ที่ตลาดน้ำ .. โลกใหม่ กับใครนั้น กลางช่วงวันแดดจ้า .. ท้องฟ้าใส รูปหน้าชายเคยพิศ .. ยังติดใน- ความทรงจำ .. เหมือนใคร .. เช้าใหม่นี้ ! ๓๔๒. ดูเอาเถิด .. แววตาเบื้องหน้าตน แม้น-ในท้องทางถนน .. ยังล้นปรี่- ด้วยอาวรณ์อาลัยเยื่อใยมี เหมือนผู้ที่เคยกอด .. อ้อนออด-คำ ! ๓๔๓. ดูแววตาพิสวงที่ตรงหน้า เพ่งมองมาเสียจน .. อีกคนขำ ดูท่าทีขัดเขิน .. แสร้งเมิน ทำ ความรื่นรมย์ก็ร่ายรำอยู่ตำตา ๓๔๔. งามรูปทรงเกศินี .. ในที่นั้น เช่นรูปฝันเผยรอย .. อยู่คอยท่า แพรบางนุ่มคลุมไหล่ .. แววในตา เหมือนทอดรอขวางหน้า .. เพื่อท้าทาย ! ๓๔๕. แรกละอองพันแสง .. แต้ม .. แต่งโลก- ย่อมล่มโศกอาดูรจนสูญสลาย แรกสบพิศเพ่งมา .. แววตาชาย- รู้-จับความเฉิดฉาย .. แนบสายตา ๓๔๖. จึงเช้านั้น .. สายตา, รูปหน้าสะคราญ สบ .. ประสาน .. ละเมียดละมุนด้วยคุณค่า เผยท่วงทีขัดเขิน .. เมียงเมินมา เหมือนเพรียกอารมณ์ชาย .. อย่าคลายคะนึง ! ๓๔๗. เจ้าของรูปเลือนลับ .. คล้ายกับว่า ชี้ .. บัญชาให้คอยละห้อยถึง ตาสบรูปวูบเดียวก็เหนี่ยวดึง- อารมณ์ซึ้งหวานหอม ขึ้นล้อมรอ ๓๔๘. สิ้นช่วงการมองเมิน .. ก่อน-เขิน .. หลบ- บันดาลภพชาติเกิด .. บรรเจิดต่อ ชั่วเพียงหวานรุมเร้า คอยเคล้าคลอ รูปลออก็สั่นรัวทั้งหัวใจ ๓๔๙. ขึ้นเรือน .. ทั้งแม่พ่อนั่งรออยู่ ก่อนเรื่องราวผ่านสู่ .. ว่า-ผู้ใหญ่- ของชายหนึ่งสู่ขอ .. ด้วยพอใจ- อิริยาละมุนละไมแห่งวัยเยาว์ ๓๕๐. บัดนั้น - ใจวูบวาบ .. ถึงภาพผู้- แอบมองอยู่จนเห็น หรือ .. เป็นเขา ? แววอ่อนโยนอ่อนหวาน .. แต่ผ่านเงา- ก็คอยเร้ารุมอยู่ .. ไม่รู้เลือน ๓๕๑. แล้วเรื่องราวชายผู้ .. มาสู่ขอ ก็มากพอรับรู้ .. ทั้งดูเหมือน- ว่าหัวใจแม่พ่อ .. เฝ้ารอเยือน- ด้วยยิ้มเปื้อนปนแล้ว .. ทั่วแววตา ๓๕๒. ทางหนึ่ง .. ให้พ่อแม่มาสู่ขอ ทางหนึ่ง .. ยืนเฝ้ารอเห็นต่อหน้า นิ่งนึกจนรู้ทัน .. ก็หันมา- รับรู้คำบิดา .. รับปรารมภ์ ! ๓๕๓. รูปสองชายต่างยาม .. ค่อยลามล้อม- เหลือภาพเดียวแนบน้อม .. เข้าห้อมห่ม- รอบสัญญาในจิตให้ติดจม- อยู่ในห้วงอารมณ์ .. ด้วยรมยา ๓๕๔. ทั้งแววตาท่าที .. ราศีผู้- เคยเคียงอยู่คู่ใจ .. กับใบหน้า- ของรูปผู้ยืนรอ .. จ้องต่อตา- นั้นเหมือนว่าร่างเดียว .. คนเดียวกัน . ... วังหน้าองค์สุดท้าย .. . . ๓๕๕. เหตุจาก .. ปฏิรูปการปกครอง จึงจำต้องรวบรัด .. การจัดสรร- เก็บภาษีที่เดียว .. จนเกี่ยวพัน- ถึงตัดบั่น .. แหล่งทุนเหล่าขุนนาง กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญพระโอรสในพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ที่สมเด็จเจ้าพระยา มหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) สนับสนุนให้ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือ วังหน้า ท่านเป็นพระบิดาของพระราชวรวงค์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (นมส.) ๓๕๖. กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ยากทนทานองค์ราช .. จึงบาดหมาง รายได้หนึ่งในสามต้องจำวาง- ให้ส่วนกลางเก็บเอา .. ส่งเข้าคลัง ๓๕๗. ปฏิกิริยาโต้ตอบ .. ย่อมตอบกลับ ไม่ยินดีน้อมรับ .. ในรับสั่ง ความขุ่นเคืองขุ่นข้อง .. แห่งสองวัง- ก็เหมือนคั่งค้างใน-หัวใจคน ๓๕๘. เมื่อประโยชน์, อำนาจ ต้องขาดสิทธิ์ ความสัมพันธ์ญาติมิตร จำปลิด .. ป่น ความกินแหนงแคลงใจ .. ยิ่งใหญ่จน- แม้เลือดข้นร่วมสาย .. ยังคลายจาง ! ๓๕๙. เมื่อสายเลือดร่วมเชื้อ .. แห่งเครือญาติ ถูกตัดขาดแบ่งแยกจนแตกข้าง บรรจบช่วงภัยอรินทร์ .. ล้อมถิ่นทาง ชาติเหมือนวางลงเพิ่มเป็นเดิมพัน ๓๖๐. จวบถึงกาลวังหน้า .. ชีวาสิ้น ความเดือดดิ้นในจิตก็บิดผัน ความขัดแย้ง .. ทั้งปวงในช่วงวัน- เหมือนถูกทอนถูกบั่น .. ในทันที ๓๖๑. สุดเส้นทางระแวดระวัง .. ถึงวังหน้า ให้ช่วงกาลเวลา .. ทำหน้าที่- พาขุ่นข้องลับเลยจากเคยมี- จนหลีกลี้เลือนพรากสิ้นจากใจ ๓๖๒. ครั้งนั้น .. รูปผ่องแผ้วเจ้าแว่วอยู่- หลังเรื่องราวผ่านหูจนรู้ได้- ว่าอำนาจหมุนเวียนย่อม .. เวียนไป- หลอกล่อให้ใจคน .. ดิ้นรนคว้า ! ๓๖๓. ครั้งนั้น .. ภัยภายนอกยังกลอกกลิ้ง หากภายในกลอกกลิ้งเสียยิ่งกว่า เมื่อผู้คน .. ด้อยชั้นทางปัญญา การศึกษา .. จึงต้องปรับเข้ารับรอง ๓๖๔. ด้วยสายตาผู้เคยผ่านโลกใหม่ ทั้งหัวใจ .. พร้อมสรรพการจับจ้อง โลกท่ามกลางคาบยามที่ตามมอง นั้น-ยังต้องพัฒนา .. อีกช้านาน ๓๖๕. เห็นถึงความเปลี่ยวเปล่า .. ยุคเก่าก่อน ที่สายลมเหนื่อยอ่อน .. พัดย้อน .. ผ่าน เห็นถึงการถนอมขวัญแห่งวันวาน ที่ยังหวานซึ้งอยู่ .. ไม่รู้เลือน ๓๖๖. ลับรอยรูปแห่งธรรม .. ในยามเช้า อีกรูปเงาก็กำจายลงป่ายเปื้อน- บนหัวใจ .. ทวงสิทธิ์คอยติดเตือน- เพื่อทุกการขยับเขยื้อน .. ยากเคลื่อนพ้น ! ๓๖๗. เห็นถึงกาลเบื้องหน้า .. ก่อนหน้าเขา ว่าเมืองเราเมืองนี้แทบปี้ป่น ด้วยอำนาจการเมือง .. เขาเปลื้องปรน- เปรอบำรุงกลุ่มคน .. พวกตนเอง ๓๖๘. จึงยังด้อยพัฒนา .. ยังล้าหลัง เมื่อคนยังตาปิด .. ไม่พิศเพ่ง- จนเห็นเลศกลทราม .. มัวคร้ามเกรง- การข่มเหง .. สิทธิ์ เสรีของชีวิต ๓๖๙. เห็นถึงระบอบอุปถัมภ์ .. ยังค้ำเมือง อำนาจเงินยักเยื้อง .. ปลดเปลื้องผิด เห็นโง่เขลาถูกชู .. ไม่รู้คิด ทั้งเห็นทิศเบื้องหน้า .. แสนพร่ามัว ๓๗๐. เมื่อเส้นขีด .. ถูกย่ำก้าวล้ำล่วง ก็เหมือนช่วงฝนทาจนฟ้าหลัว อกย่อมเหมือนเส้นไฟ.. วาบไหว .. รัว- เริ่มลั่นเสียงเย้ยยั่ว .. สิ้น-กลัวเกรง ๓๗๑. เห็นถึงกาลข้างหน้า .. เบื้องหน้านั้น เสียงหวาดหวั่นเคยฉุด .. ขวาง-รุดเร่ง จักเปลี่ยนช่วงเยี่ยงฝน .. ที่อลเวง- ร่วงฝ่าเพลงสายลมที่พรมพะนอ ! ๓๗๒. ถ้วนสิ้นความอยู่ดีของชีวิต คือมาตรวัดถูกผิด .. ให้คิดต่อ- ว่า ระบบหรือระบอบที่ชอบพอ- ใด-อาจก่อประโยชน์ผล .. ต่อคนไทย ? ๓๗๓. เห็นโลกที่ตรงหน้า .. ยังช้าเฉื่อย ดังสายน้ำอ่อยเอื่อย ค่อยเรื่อยไหล ขณะแววตาวาว .. คิดยาวไกล- ถึงบ้านเมืองทันสมัย .. แต่ไม่พัฒนา ! ๓๗๔. พัฒนาการก้าวล้ำ .. จักสัมฤทธิ์ จำต้องคิดต่อเนื่องไปเบื้องหน้า มุ่งไปสู่จุดหมาย .. ด้วยสายตา- ของผู้กอปรปัญญา .. นำหน้าชน ๓๗๕. เห็นประเทศเพื่อนบ้าน .. ล้ำผ่านไป จากสายตายาวไกล .. จึงได้ผล สุจริต .. โปร่งใส .. ที่ใจคน คือเบื้องต้นจุดเริ่ม .. ช่วยเสริมการณ์ ๓๗๖. เมื่อล้วนแต่หัวเก่า .. นั่งเฝ้าเมือง ย่อมเปล่าเปลืองทุกช่วงที่ล่วงผ่าน อุปถัมภ์ .. คือปลักความดักดาน- ค้ำจุนบัวใต้ธาร ครองบ้านเมือง ! ๓๗๗. เมื่อเส้นขีดกีดกัน .. ถูกบั่นขาด- โดยอำนาจเร้นแฝง .. คอยแต่งเรื่อง ในเส้นทางปกครอง .. จึ่งนองเนือง- ด้วยเลือดเนื้อเชื่อเชื่อง .. ต่อเนื่องมา . ... ราชวงศ์สุดท้ายของรัสเซีย .. . . ๓๗๘. แล้ว .. เรื่องในโลกใหม่ก็ไหววาบ ผุดเผยภาพต่อเนื่องอยู่เบื้องหน้า เมื่อรัสเซียเปลี่ยนผ่าน .. ครั้งนานมา มี-เข่นฆ่าล่มล้าง .. ชีพวางวาย พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2, จักรพรรดินีอะเลคซานดรา, แกรนด์ดัชเชสโอลกา แกรนด์ดัชเชสตะยานา, แกรนด์ดัชเชสมาเรีย, ->แกรนด์ดัชเชสอะนัสตาเซีย <-, ซาเรวิชอะเลคเซย์ ... ทั้งครอบครัวถูกสังหารอย่างทารุณในช่วง -> การปฏิวัติรัสเซีย <- ๓๗๙. ในเรื่องราวบันทึกเมื่อนึกย้อน คือช่วงตอน .. สังคมเก่า-ล่มสลาย ศักดินาถอดทิ้ง .. ชีพหญิงชาย- ถูกเข่นฆ่าล้มตาย ที่ปลายวัน ๓๘๐. ครั้งเป็นหน่อราชนั้น .. เคยผ่านข้าม- มาเยี่ยมเยือนเมืองสยาม, ในยามนั่น- ไทย-รัสเซียก้าวล้ำ .. ผูกสัมพันธ์ ผ่านสององค์ราชันย์ .. แต่นั้นมา ๓๘๑. ด้วยไม่อาจปรับตนให้พ้นผ่าน เมื่อช่วงกาล .. สืบเนื่องไปเบื้องหน้า กรอบความคิดยุดยื้อ .. เยี่ยงขื่อคา กระชากขา .. ครอบคิดให้ติดกรง ๓๘๒. ความเสื่อมแห่งอำนาจจึงพาดผ่าน เมื่อสังขารในจิตแผ่พิษสง มองว่าตนเยี่ยงหลักที่จักคง- อยู่ดำรงคู่โลกยากโยกคลอน ๓๘๓. ไม่รับรู้รับฟังใครทั้งสิ้น ว่าแผ่นดินทุกข์เข็ญเกินเร้นซ่อน ผู้ลำบากตรากตรำ .. เคยพร่ำวอน- บัดนี้ ค้อน, เคียว พร้อม มาล้อมวัง ! ๓๘๔. ที่สุด .. ความขื่นขมระงมศัพท์ ก็โหมแรงลงทับเพื่อดับหวัง ที่สุดแห่งอารมณ์ระทม .. ดัง ใดเล่าอาจหยุดยั้ง .. การพังทลาย ! ๓๘๕. แล้วอารมณ์แรงโกรธก็โลดเหลิง- เป็นเปลวเพลิงลามล่วงขึ้นช่วงฉาย แผดเผา .. พฤติ, วาทกรรมแห่งน้ำลาย, ความบิดเบือนทั้งหลาย .. ที่ปลายวัน ๓๘๖. พ่อแม่ลูก .. วงศ์กษัตริย์ .. เพียงหยัดร่าง เสียงปืนกลางห้องสลัว .. ก็รัวลั่น พร้อมเลือดสาด .. ร่างทรุด .. ลมหยุด .. พลัน- ที่ศักดินา .. ชนชั้น .. ล่ม อันตรธาน ! ๓๘๗. แล้ว .. สุดท้ายศักดิ์ศรีแห่งชีวิต- ก็ถูกปลิดร่วงลงสู่สงสาร อาจเหลือเพียง .. ความ, คำ .. เป็นตำนาน ให้กล่าวขานถึงบ้างในบางครั้ง ๓๘๘. หากยอมรับปรับปรุง .. ก่อนยุ่งเหยิง คาวเลือดเจิ่งเนืองนอง .. ฤๅต้องหลั่ง ? เมื่ออัตตาปรุงตอบ .. ความชอบชัง- จึงย่อมฝังลงจิต .. จนติดตาย ๓๘๙. ด้วยอำนาจจากไหน .. จึงได้สิทธิ์- ให้ชีวิตอื่นพยุง .. ความมุ่งหมาย ? กระนั้นสิทธิ์เดียวกันในบั้นปลาย- ไย .. ถูกเหนี่ยวทำลายจนวายวาง ? ๓๙๐. ครั้งนั้นรูปโสภิตเจ้าคิดนึก ว่า-ตื้นลึกเรื่องราวที่กล่าวอ้าง มักเผยความจริงแท้ลงแผ่กาง เมื่ออำนาจขัดขวาง .. ถูกล้าง .. ลบ ๓๙๑. เมื่ออำนาจคลุมแดน .. อย่างแน่นหนา แรงศรัทธาเชิดชู .. สุดรู้กลบ เสียงยกยอชื่นชมคอยสมทบ ย่อมตระหลบล้อมถิ่นทั้งดินแดน ๓๙๒. กระทั่งเสียงทุกข์ทนของคนยาก เริ่มผ่านปากเงียบเฉย .. ที่เงยแหงน- ร่วมกับปวงภพชาติผู้ขาดแคลน- จากหมื่นแสนเป็นล้าน .. เหยียบผ่านเมือง ๓๙๓. เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตขับ ก็ล่มลับบริบท .. ถูกปลดเปลื้อง- ด้วยเสียงปืนแผดหนุน .. ความขุ่นเคือง- ของเชื่อเชื่อง .. ทั้งปวงกลางช่วงยาม ๓๙๔. ทั้งน้ำตา .. หยาดเลือด .. ยากเหือดสาย เมื่อความตายเร่งรุด .. เกินหยุด-ห้าม กายยากแค้น, จิตทุกข์ .. ย่อมลุกลาม- เป็นไฟความโกรธแค้น .. ลวก - แผ่นดิน ! ๓๙๕. เสียงไพเราะดึงดีด .. สังคีตกล่อม- ก็ล่มพร้อมทุรยศจนหมดสิ้น ลับล่มถ้วนราศี .. แห่งชีวิน- ด้วยเลือดรินหลั่งหยด .. จน หมดตัว ! . . .. งานมงคล .. . . ๓๙๖. มโหรีปี่กลอง ร่วมฆ้องประโคม กระหึ่มโหมเสียงฝ่าพืดฟ้าหลัว ขณะใจรูปคราญ .. ซึ้งซ่านระรัว- กับแววหวานหยอกยั่ว .. อยู่ทั่วตา ๓๙๗. ผ้านุ่งแดงเข้มอ่อน .. ห่มอ่อนน้อย ผมยาวย้อยเคลียไหล่ล้อใบหน้า เข็มขัด, กำไลทองผุดผ่องตา ต่างหูเพชรสูงค่า .. น้ำพร่าพราย ๓๙๘. นวลวรรณาเกลี้ยงเกลา บนเยาวรูป ดวงตาวูบวับวามด้วยความหมาย ภาพในห้วงคำนึง .. เพียงหนึ่งชาย กับแววสายตาเห็น .. แสนเอ็นดู ๓๙๙. ถึงฤกษ์ผานาที .. เหมาะดีพร้อม มงคลสวมคล้องค้อมกระหม่อมคู่ มือประคองน้ำสังข์รดพรั่งพรู พร้อมรูปตรูเจ้าคอยชม้อยชม้าย ๔๐๐. สวยปีกผีเสื้อบินกลางถิ่นทุ่ง ขณะรุ้งทินกรเริ่มชอนฉาย ลำลมหอบอุ่นนักมาทักทาย แตะร่องรอยความหมายขึ้นว่ายวน ๔๐๑. แดดใสแผ่นฟ้าครามในยามนี้ เหลื่อมแสงสีอบอุ่นแทนฝุ่นฝน เมฆขาวแทนมืดดำฟ้าคำรน วิหคบนแทนวิชชุที่คุไฟ ๔๐๒. งามเงื่อนหางยูงฟ้าในป่าแดด ทอดลงแวดล้อมขวัญจนสั่นไหว สัมผัสแล้วอุ่นทั่วถึงหัวใจ ซ่านลงใส่ล้อมสิ้นจิตวิญญาณ ๔๐๓. ระยับแดดเหลือบแล้วที่แววขน เข้าปลาบปนเนตรแก้วจนแววหวาน- นั้น .. เผยออกสำทับอยู่นับนาน จนสุดต้านเงื่อนบ่วงได้ล่วงพ้น ๔๐๔. งามปีกผีเสื้อลายระบายป่า เพรียกคันธารูปสรวงให้ร่วงหล่น ปีกแห่งรักพลิ้วพรายลอยว่าย-วน ดั่งจำนนต่อหมายที่ว่ายเวียน ๔๐๕. โลมแดดอุ่นทินกร .. ให้ร้อนผ่าว- ล่มอบอ้าวสำหรับช่วยปรับเปลี่ยน สำทับหอมหวานรส .. ลงบดเบียน- หัวใจเพียรพร่ำชู้ .. อย่ารู้คลาย ๔๐๖. สวยปีกผีเสื้อบินล้อมถิ่นที่ ท่ามกลางเยื่อใยดีค่อยคลี่สาย ม้วนรัดล่ามอาลัยด้วยใจชาย ลงเงื่อนตายถวิลอยู่ แต่ผู้เดียว ๔๐๗. สุรโลก .. ชลอลงก็คงใช่ แต่เมื่อใครหนึ่งพ้องรับข้องเกี่ยว เนตรนั้นปล่อยปรารมภ์..รอกลมเกลียว เสมอเหนี่ยวเพรงภพ .. บรรจบวง . . .. ชั่วฟ้าดินสลาย .. พศ.๒๕๓๗ . . ๔๐๘. ไกลลิบระยิบช่วงบนสรวงนั้น มีใฝ่ฝันทุกหลืบร่วมสืบส่ง พร้อมแรงรักลึกล้ำเป็นจำนง- อย่างมั่นคงตรึงมั่นในสัญญา ๔๐๙. หอมรสรื่นรวยริน..ของกลิ่นโมก รำบายโบกแผ่วเบา..รุมเร้าหา ลำเพาพักตร์นวลลออ..ก็คลอตา- ด้วยสัญญากุมกัก..สุดหักล้าง ๔๑๐. ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว ก็ดูราววิบไหว..แสนไกลห่าง- จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง- คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม ๔๑๑. ลิบลิบดารดาษดวง..ในสรวงฟ้า เช่น..นัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม- ด้วยรูปรอยแสนอุทธัจ..ระบัด..แกม- บนริ้วแก้มแต้มหมาย..รำบายความ ๔๑๒. พร้อมแสงช่วงดวงดาว..เห็นวาววับ คล้ายเห็นแววระยิบระยับนั้น-พรับข้าม- คาบช่วงกาลผ่านนัยออกไหลลาม- พาอบอุ่นวาบหวาม..เข้าลาม..ลน ๔๑๓. จึง-น้อมรับระยับช่วง..แห่งดวงดาว อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน ราวโซ่ตรวนพันวน..เกินด้นดึง ๔๑๔. ระทึกและสั่นไหว..อกใครหนอ- หลังเติมต่ออาลัยส่งไปถึง ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน ๔๑๕. นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม- ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน- เพื่ออยู่รอ-สายตา..ผ่านมาเยือน รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน ๔๑๖. เลือดในอกผู้รอ..เมื่อหล่อเลี้ยง อบอุ่นย่อมคล้อยเคียง..ลำเลียงผ่าน ขัดเขินสักเพียงใด..หนอใจคราญ จักซึ้งซ่านเพียงไหน..หนอใจคน ๔๑๗. ชั่วเคลิ้มคล้อยคิดตาม..กับความว่า- อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์พาสับสน- บางความหมายหยิบยก..อาจวก-วน เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด ๔๑๘. ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม..ถ้อยความสื่อ ตรองเถิดหรือ..ความปวงจากดวงจิต- ล้วนเร่งรอบอาลัย..มาใกล้ชิด เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน ๔๑๙. แม้นหนทางขวางกั้น..ด้วยอรรณพ อาจบรรจบด้วยใคร..แต่ในฝัน ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว..ใต้เสี้ยวจันทร์ ด้วยใจหนึ่งใจนั้น..ดื้อรั้น-คอย ๔๒๐. ดึกสงัดพราวพร่าง..น้ำค้างหยด ลมตอบบท..แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย เมื่อดวงจิตพลั้งเผลอ..จนเหม่อลอย- ห่วงละห้อยถึงใคร..ผู้ไกลตา ๔๒๑. เหมือนฝัน..ฝันว่าฝน..นั้นหล่นสาย เนื้อ..อุ่นอาย, อิงแอบ..เข้าแนบหา นึก - แม้นโลกแหลกยับไปกับตา ยอม - ชีวาดับวาง..กับร่างนั้น ! จบบริบูรณ์
Create Date : 11 พฤษภาคม 2555
47 comments
Last Update : 31 ตุลาคม 2564 7:06:11 น.
Counter : 5180 Pageviews.
สวัสดีค่ะ...
มาอ่านเจ้าค่ะ... บทนี้คุ้นๆ อ่ะค่ะ
มีความสุขมากๆมีสุขภาพแข็งแรงค่ะ
ขอบคุณค่ะ