ถนอมดวงตาอย่างไรให้ใช้ได้ยาวนาน
ทุกคนย่อมอยากมีสายตาที่มองเห็นแจ่มชัดไปจนตลอดอายุขัยแต่ด้วยความเสื่อมของร่างกายที่มาพร้อมกับวัยที่มากขึ้นส่งผลให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง สายตาเริ่มขุ่นมัวไปตามอายุการดูแลสุขภาพตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ดวงตามีสุขภาพแข็งแรงและใช้งานได้อย่างปกตินานที่สุดซึ่งการดูแลรักษาสุขภาพดวงตาเริ่มตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยสูงอายุ ดังนี้
วัยเด็ก
- สำหรับเด็กแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อยและต้องอยู่ในตู้อบให้ออกซิเจน จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาจากจักษุแพทย์ตามระยะเวลาที่กำหนดเพื่อประเมินโรคเส้นเลือดเติบโตผิดปกติที่จอประสาทตา (Retinopathy ofprematurity : ROP) ซึ่งหากเกิดขึ้น ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีด้วยเลเซอร์หรือการผ่าตัด ไม่เช่นนั้น อาจมีภาวะแทรกซ้อนจนถึงตาบอดได้
- เด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไป ถ้าหากยังไม่มองหน้าแม่หรือไม่ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม คล้ายมองไม่เห็น ต้องได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์
- เด็กในวัยเข้าเรียน ที่ดูหนังสือหรือโทรทัศน์ใกล้มากผิดปกติเอียงคอมอง หยีตามอง กระพริบตาบ่อย อาจมีปัญหาทางสายตาสั้น ยาว เอียงหรือสาเหตุอื่น สมควรได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์
วัยทำงานที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ
- ควรพักสายตาโดยมองไกลประมาณ 5 - 10 นาที ต่อการทำงานคอมพิวเตอร์ 1 ชั่วโมง เพื่อลดการเพ่งของสายตาจะช่วยคลายการปวดเมื่อยล้าตาและอาการตาแห้งได้
- ด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ไม่ควรมีแสงสว่างมาก เพราะจะรบกวนการมองจอคอมพิวเตอร์เช่น ไม่ควรวางจอคอมพิวเตอร์ของเราหันหลังให้กับหน้าต่าง
- ศีรษะของเราควรอยู่สูงกว่าจอคอมพิวเตอร์เล็กน้อยจะได้ไม่ต้องเงยหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เมื่อยล้าได้ง่ายหรืออย่างน้อยไม่ควรอยู่ต่ำกว่าจอแสดงผล
- ถ้ามีอาการตาแห้ง เช่น แสบเคืองตา ให้กระพริบตาบ่อยขึ้นเพื่อกวาดน้ำตามาเคลือบผิวตาหรือพักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ๆ ถ้ายังมีอาการมากการใช้น้ำตาเทียมหยอดตาจะช่วยบรรเทาอาการได้
- ผู้ที่มีปัญหาทางสายตา อาจทำให้ปวดเมื่อยล้าตาง่าย เช่นคนสายตาเอียง หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะมีปัญหาเวลามองใกล้การใส่แว่นตาที่เหมาะสมจะช่วยแก้ปัญหาได้
วัยผู้ใหญ่อายุ40 ปีขึ้นไป
- ควรตรวจวัดความดันลูกตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจหาต้อหินโดยเฉพาะผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวเป็นต้อหิน เพราะบางคนอาจเป็นต้อหินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รักษาเป็นเวลานานจะทำให้สายตาเสื่อมลงหรือบอดได้และภาวะตาบอดจากต้อหินนั้นไม่สามารถรักษาให้สายตากลับมามองเห็นได้
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวานควรตรวจจอประสาทตาเพื่อดูว่ามีเบาหวานขึ้นตาหรือไม่ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ที่สำคัญคือควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิตและไขมันในเลือดให้อยู่ในระดับปกติอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานขึ้นตาได้ดี
- ต้อกระจก พบได้ตั้งแต่อายุ 50 - 60 ปีขึ้นไป รักษาได้ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์แก้วตาเทียมทำให้การมองเห็นกลับมาใกล้เคียงหรือเหมือนปกติได้
- โรคจุดรับภาพเสื่อม ปัจจุบันมีการรักษาใหม่ๆ เช่นการฉีดยาชะลอการเกิดใหม่ของเส้นเลือดการตรวจพบโดยจักษุแพทย์ตั้งแต่ระยะแรกของโรคจะช่วยรักษาการมองเห็นไว้ได้ดีกว่าเดิมมาก
ข้อควรปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพตาให้ดี
- หมั่นตรวจตาเป็นประจำโดยจักษุแพทย์ในเด็กควรพบจักษุแพทย์อย่างน้อยในช่วง 3 - 5 ปีก่อนเข้าโรงเรียนและรับการตรวจเป็นประจำเมื่อมีปัญหาเรื่องสายตา ผู้สูงอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพตาปีละ 1 ครั้ง ส่วนในผู้ที่มีความเสี่ยงเฉพาะโรคตา เช่น โรคเบาหวาน หรือมีประวัติโรคตาในครอบครัวเช่น ต้อหิน จำเป็นต้องได้รับการตรวจตาบ่อยขึ้นตามแพทย์นัด
- สวมแว่นกันแดดเป็นประจำเมื่อออกแดดหรือต้องใช้สายตาในที่มีแสงมาก เพื่อป้องกันโรคต้อเนื้อ ต้อกระจก จอรับภาพเสื่อม
- สวมแว่นป้องกันการกระแทกที่ได้มาตรฐาน สำหรับผู้ทำงานที่มีความเสี่ยงเช่น ช่างเชื่อมโลหะ ช่างไม้ ผู้เล่นกีฬา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ