โอ๊ย ! ... ปวดหลัง
อาการปวดหลังเป็นอาการที่พบบ่อย หลายท่านมักมีแนวทางปฏิบัติเบื้องต้น ที่ไม่ถูกต้อง ในที่นี้ ขอกล่าวถึงแนวทางปฏิบัติโดยสังเขป สำหรับอาการปวดหลังจากสาเหตุที่พบบ่อย และในสถานะต่าง ๆ กัน ปวดหลังจากการบาดเจ็บ กรณีที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น ลื่นล้มจนลุกยืนเดินไม่ได้ ควรไปพบแพทย์อย่างไม่รีรอ เพื่อเอกซเรย์ดูว่ามีกระดูกสันหลังหักหรือเคลื่อนที่หรือไม่ แต่ถ้าการบาดเจ็บนั้นไม่รุนแรง ลุกยืนเดินได้ตามปกติ ก็ให้ปฏิบัติดังนี้
- นอนพัก
- ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่กระทบกระแทกภายใน 24 ชั่วโมงแรก ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้ว อาการปวดหลังไม่ทุเลา หรือกลับปวดมากขึ้นภายใน 1สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์ ทั้งนี้เพราะอาจเกิดกล้ามเนื้อหลังอักเสบได้ในภายหลัง ซึ่งควรได้รับการรักษาด้วยยา กายภาพบำบัด และการบริหารร่างกายด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะปวดหลังเรื้อรังต่อไป
ปวดหลังจากการยกของหนัก การออกแรงยกของหนักเกินกำลัง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ปวดหลังได้ หากมีอาการปวดเฉพาะบริเวณกล้ามเนื้อหลัง มีหลักปฏิบัติดังนี้คือ ให้นอนพัก ใช้หมอนรองใต้เข่า และรับประทานยาแก้ปวด เมื่อปฏิบัติตามนี้แล้ว ภายในสามวันหากอาการไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์ แต่ถ้ามีอาการปวดเสียวลงขา ควรรีบไปพบแพทย์อย่างไม่รีรอ เพราะอาจเป็นอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน กดทับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงส่วนขา หลักในการปฏิบัติเบื้องต้นคือ นอนพักให้เต็มที่ ระวังอย่าให้ท้องผูก เวลาไอหรือจามควรแอ่นหลังไว้ อย่าก้มเด็ดขาด หลีกเลี่ยงการนั่งนาน และการเดิน หลักการรักษา นอกจากใช้ยารับประทานแล้ว การรักษาด้วยกายภาพบำบัดส่วนใหญ่ได้ผลดี แต่ถ้าไม่ดีขึ้น อาจต้องได้รับการพิจารณาผ่าตัดต่อไป
ในรายที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังแตก จะมีอาการปวดหลังมาก แม้กระทั่งเวลานอน จะปวดทั้งหลัง และขา แต่บางครั้งอาจปวดหลังไม่มาก แต่ปวดขามาก มีอาการชาหรือปัสสาวะลำบากร่วมด้วย ผู้ป่วยในกลุ่มนี้ต้องได้รับการผ่าตัดในรายที่ทำกายภาพบำบัดได้ผลดี ควรบริหารร่างกายด้วยการออกกำลังให้กล้ามเนื้อหลังและท้องแข็งแรง หลีกเลี่ยงการยกของหนัก อย่าก้มเด็ดขาด ถ้าจะหยิบของให้นั่งลงยอง ๆ ก่อนหยิบ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นซ้ำอีก ปวดหลังจากการทำงาน ถ้าท่านต้องขับรถวันละหลาย ๆ ชั่วโมง นั่งทำงานตลอดทั้งวัน พักผ่อนไม่เพียงพอ เคร่งเครียด และไม่ได้ออกกำลังกาย จะทำให้เกิดภาวะการตึงตัวของกล้ามเนื้อหลังเป็นสาเหตุให้มีอาการปวดหลังได้
มีวิธีแก้ไขให้ยึดถือปฏิบัติดังนี้ - ปรับเบาะรถให้พอเหมาะกับท่าน อาจต้องใช้หมอนช่วยหนุนหลัง
-ปรับลักษณะโต๊ะ เก้าอี้ที่ทำงานให้เหมาะสม เวลานั่งให้หลังพิงพอดี เท้าทั้งสองข้างวางบนพื้น
-โต๊ะทำงานไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป
-เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ
-พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ
-ออกกำลังกายมากขึ้นและสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ เดิน เต้นแอร์โรบิก วิ่ง
-ถ้าท่านน้ำหนักมาก ควรลดน้ำหนักด้วย
ถ้าเป็นสตรี ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 1/2 นิ้ว สำหรับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังกายข้างต้นได้ ควรบริหารร่างกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อหลัง และออกกำลังให้กล้ามเนื้อหลัง และกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงขึ้น
ปวดหลังในผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุ กระดูกสันหลังมักเสื่อมตามวัย จะมีอาการปวดหลังได้ในตอนเช้า ๆ หลังแข็ง เวลาเดินไกลจะปวดตึงหลังและสะโพก บางรายอาจปวดตึงลงขาข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง ซึ่งพบได้ในกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงขา กรณีนี้ควรไปพบแพทย์ เพื่อเอกซเรย์ประเมินว่า กระดูกสันหลังเสื่อมมากหรือน้อย หรือมีกระดูกสันหลังเคลื่อนจากภาวะกระดูกสันหลังเสื่อมหรือไม่ หรือเป็นมะเร็งในกระดูก โดยเฉพาะในรายที่ปวดมากเฉพาะตอนกลางคืนจนนอนไม่ได้ หรือมีกระดูกสันหลังบาง มีการยุบตัวของกระดูกถึงแม้จะไม่มีการบาดเจ็บถ้าประเมินแล้วพบว่าเป็นจากกระดูกสันหลังเสื่อม การรักษาทางกายภาพบำบัดจะช่วยได้มาก ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการบำบัดประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ ในรายที่เป็นมากอาจต้องบำบัดเป็นเดือน และควรใส่เสื้อประคองหลังไว้ ในรายที่มีกระดูกสันหลังเคลื่อน หรือกระดูกยุบตัว หลีกเลี่ยง การก้ม ๆ เงย ๆ นั่งยอง ๆ ห้ามยกของหนัก ในกรณีที่กระดูกสันหลังเสื่อมมากจนทำให้ช่องไขสันหลังตีบแคบ ถ้าหากการบำบัดด้วยกายภาพไม่ได้ผล อาจต้องได้รับการพิจารณาผ่าตัด
ปวดหลังในเด็กวัยรุ่น วัยรุ่นที่มีอาการปวดหลัง ควรสังเกตดูลักษณะของกระดูกสันหลังว่าคดหรือไม่ สังเกตง่าย ๆ จากขอบกางเกง หรือกระโปรงเวลาใส่ว่าเบี้ยวหรือไม่ หรือลองให้ก้มหลังดู สังเกตแนวกระดูก และความโค้งของหลังทั้งข้างซ้ายและขวาว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าไม่เท่ากันแสดงว่ากระดูกสันหลังคด ควรไปปรึกษาแพทย์แพทย์จะพิจารณาว่าจำเป็นต้องใส่อุปกรณ์เสริมช่วยหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คดมากขึ้น โดยเฉพาะภายในช่วงอายุที่กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และควรได้รับการแนะนำให้บริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง กีฬาที่เหมาะสม คือ การว่ายน้ำ การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง การนอน : - ที่นอนควรแข็ง ไม่ยุบตรงกลางบริเวณเอว - ควรนอนหงาย งอสะโพกและเข่า หลังแบนเรียบติดที่นอนหมอนรอง ใต้เข่า - นอนตะแคง เข่างอ หลังตรง - ไม่ควรนอนคว่ำ การลุกจากที่นอน : - ให้งอเข่าขึ้นก่อนตะแคงตัวในขณะเข่างอ ใช้ข้อศอก และมือยันตัวขึ้นในขณะที่ ห้อยเท้าทั้งสองข้างลงจากเตียง ดันตัวขึ้นตรง การนั่ง : - เก้าอี้ที่เหมาะสม เวลานั่งให้หลังชิดพนัก ที่รองนั่งรองตลอดต้นขา เท้าวางบน พื้นพอดี - ควรนั่งให้เข้าสุดที่รองสะโพก หลังพิงชิดกับพนัก เท้าวางลงบนพื้นเต็มที่
นั่งขับรถยนต์ - เลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยียบครัทช์ เข่าอยู่สูงกว่าสะโพก บริเวณหลังควรมีหมอนรองตรงช่วงเอว การยกของ - ให้ย่อตัวลง หลังตรงตลอดเวลา ลุกขึ้นด้วยกำลังขานั่งขับรถยนต์ - เลื่อนที่นั่งให้ใกล้พวงมาลัย เมื่อเวลาเหยีบบครัทช์เข่าสูงกว่าสะโพก หลังควรมี หมอนรองตรงช่วงเอว การยืนนาน ๆ - ควรมีที่รองเท้า เพื่อยกเท้าขึ้นพักสลับข้างก้น การไอจาม
- ยืดหลังตรงหรือแอ่นขณะไอจาม อย่าก้มหลัง การดันรถ - ใช้สะโพกดันรถ การฉุดลาก
- หันหลังให้ของที่จะฉุดลาก ให้ลากไปข้างหน้า
Create Date : 04 มีนาคม 2554 |
Last Update : 4 มีนาคม 2554 9:43:23 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1456 Pageviews. |
|
|
|
|