O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
Giovanni Marradi - Pure Heart
.. 1 O อัสดง .. สุริยาจะลาแล้ว เหลืองแสดแดงผ่องแผ้ว .. อาจแล้วหรือ ? ปีกนกกาง .. ลมชะ-ลอยกระพือ สุดท้ายคือหม่นหมองที่ครองแดน O ฟ้าจรดน้ำ .. ดวงรพินทร์ก็สิ้นช่วง ทิ้งโอภาสทั้งปวงเคยช่วงแสนย์ สิ้นคาบกาละทิวา, ที่มาแทน- คือราตรีห้อมแหน .. บนแผ่นฟ้า O เหลื่อมแสงเรื่อทอดสู่ .. สินธูผืน ให้ค่ำคืนแฝงเงาเคลื่อนเข้าหา พร้อมกับดวงรัชนี .. เลื่อนลีลา คือหอมการเวกแกม .. ลงแต้มทรวง O ลมพลิ้วผ่านรูปรอยก็คล้อยเคลื่อน เพ็ญบุหลันลอยเลื่อนขึ้นเยือนสรวง แสงเหลืองเย็นอ่อนโยน .. เมื่อโชนดวง- รูปหน้างามก็โชนช่วง .. ขึ้น-พ่วงพัน ! O อ่อนหวานถึงปานนั้น .. เจ้าขวัญน้อย แต่ร่วมร้อยอภิรมย์ .. เข้าบ่มฝัน อ่อนโยนเล่า-สำแดงออกแบ่งปัน ราวจะพันผูกใจ .. ด้วยนัยเดียว O อ่อนไหวถึงป่านนั้น .. หนอขวัญเจ้า แต่รุมเร้าความผอง .. หมายข้องเกี่ยว หวังเจ้าพ้องปรารมภ์ร่วมกลมเกลียว ก้าวย่างบนทางเที่ยว .. ก้อยเกี่ยวกัน O ลมพลิ้วผ่านรูปรอย .. ก็คล้อยเคลื่อน แทนแข-เลื่อนลอยดวง .. กลางทรวงนั่น เจ้าเอย-นี้ .. อ่อนไหว-ของใครกัน- คล้ายทอดลงล้อมกั้น .. ผูกพันพร้อม O ราตรีอวล-กลิ่นรื่น .. ล้อมคืนค่ำ ใจดื่มด่ำ .. ก็อวลศัพท์ขึ้นขับกล่อม เพื่อเรี่ยวแรงแห่งถวิล .. จักยินยอม- ร่วมโอบล้อมรสประทิ่นของกลิ่นมาลย์ O ลมแผ่ว .. คะนึงนั้น .. ก็ครันครบ เมื่อพระลบเคลื่อนล้อม, ความหอมหวาน- ราวเคลื่อนลงกอปรกิน-จิตวิญญาณ แล้วบรรสารรมย์รื่น .. ท่วมผืนใจ O คะนึงนึกรูปฝัน .. ในบรรจถรณ์ จะตอบรับอาวรณ์ด้วยอ่อนไหว ฤๅลอบเร้นวาบหวามด้วยความนัย ต้องเยี่ยงไร-ทำไฉนจะได้รู้ .. ? O กราบพระบำบวงผ่านปวงภาษ ตรองโอวาทศาสดา .. น้อมมาสู่- จิตใจที่ล้อมโลมด้วยโฉมตรู- ราวต้องเงื่อนบ่วงชู้ .. เกินรู้คลาย O กราบก้มประนมมือ, ความถือมั่น- ยิ่ง-บุหลันลอยดวงขึ้นช่วงฉาย ความอ่อนหวานเวียนวก .. ในอกชาย- ก็รำบายฝากไปถึงใครนั้น O คอค้อม, กรประนม .. ปรารมภ์ความ สืบส่งข้ามสู่ใจ .. ที่ไหวสั่น ให้รับรู้วอนเว้า, รูปเยาวพรรณ- เพื่อกล่อมขวัญเจ้านั้น .. ให้ฝันดี O แววตาพร้อมอาวรณ์แสนอ่อนโยน หวังแจ่มจ้าช่วงโชน .. อยู่โพ้นที่ พึงเผยเลศเผยนัย .. หัวใจมี- แล้ววาดวี .. คืนกลับ .. ให้รับรู้ !
.. 2 O แล้วรื่นรสรวยริน .. ของกลิ่นโมก- ก็บ่ายโบกหวานหอม .. รายล้อมสู่ โสมเลื่อนดวงครองค่ำ .. ความดำรู- ก็ครองใจถวิลชู้ .. สุดรู้-ล้าง ! O ลิบลิบกระพริบช่วงแห่งปวงดาว ก็ดูราววิบไหว .. แสนไกลห่าง- จากโลกหล้า, เปลื้องปรุงแสงรุ่งราง- คงอยู่ค้างฟ้าทะมื่นในคืนแรม O ลิบลิบดารดาษดวง .. ในสรวงฟ้า เช่นนัยน์ตาวามแสงเมื่อแต่งแต้ม- ด้วยรูปรอยรอบอุทธัจ .. ระบัด..แกม คาบนั้นแซมสอดหมาย .. รำบายความ O เพียงแสงช่วงปวงดาว .. เห็นวาววับ ย่อมเห็นงามระยิบระยับ .. เกินดับ-ห้าม โลกทั้งดวงดูเหมือน ..จะเลื่อนตาม และอบอุ่นวาบหวาม .. คล้ายลามลน O จึงน้อมรับระยับช่วง .. แห่งดวงดาว อันวาบวาวปลาบปลั่งอีกครั้งหน ความอ่อนหวานอ่อนไหวแห่งใจคน ราวโซ่ตรวนพันวน .. เกินด้นดึง O ระทึกและสั่นไหว .. อกใครหนอ- หลังเติมต่ออาลัยส่งไปถึง ร่วมครอบครองคุณค่าอันตราตรึง เสพหวานซึ้งซ้ำอยู่ไม่รู้เลือน O นึก-ระทึกวาบหวิวจนริ้วแก้ม- ราวเกลี่ยแกมเลือดฝาดเข้าปาดเปื้อน- เพื่ออยู่รอ-สายตา .. ผ่านมาเยือน รอ-ด้วยใจสั่นสะเทื้อนสะทกสะท้าน O เลือดในอกผู้รอ .. เมื่อหล่อเลี้ยง อบอุ่นย่อมคล้อยเคียง .. ลำเลียงผ่าน ขัดเขินสักเพียงใด .. หนอใจคราญ จะซึ้งซ่านเพียงไหน .. หนอใจคน O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม .. กับความว่า- อาจ-วุ่นว้านัยศัพท์..ที่สับสน- บางความหมายหยิบยก .. ย่อมวก-วน เพื่อแฝงนัยให้คนวก-วนคิด O ชั่วเคลิ้มคิดคล้อยตาม .. ถ้อยความสื่อ ตรองเถิดหรือ .. ความปวงจากดวงจิต- ล้วนเร่งรอบอาลัย .. มาใกล้ชิด เพื่อถือสิทธิ์ปักปลูกความผูกพัน O แม้นหนทางขวางกั้น..ด้วยอรรณพ อาจบรรจบด้วยใคร..แต่ในฝัน ยังยอมอยู่เปล่าเปลี่ยว..ใต้เสี้ยวจันทร์ ด้วยใจหนึ่งใจนั้น..ดื้อรั้น-คอย O ดึกสงัดพราวพร่าง .. น้ำค้างหยด ลมตอบบท .. แขเปลื้องแสงเงื่องหงอย แรงคำนึงโชนช่วง .. ใจล่วง-ลอย ถึงรูปรอยพักตร์พิไล .. ผู้ไกลตา O ในฝัน .. ฝันว่าฝน .. นั้นหล่นสาย เนื้อ, อุ่นอาย, อ้อมแขน .. ที่แม้นว่า- หากโลกนี้แหลกยับไปกับตา ยอม .. ชีวาดับล่วง .. กับทรวงนั้น !
Create Date : 09 มีนาคม 2555 |
|
7 comments |
Last Update : 3 เมษายน 2566 12:05:50 น. |
Counter : 6392 Pageviews. |
|
|
|
รูปสวย... เพลงเพราะ(มากๆ).... คำกลอนงดงาม.....
เฮ้อ... อะไรจะลงตัวขนาดนี้ สุดที่จะบรรยายจริงๆ
ต้องขอขอบคุณในฐานะท่านผู้ชม ที่ช่างจัดสรรได้อย่างลงตัวสดๆ ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ