O บุพเพสันนิวาส .. O
เพลง นางครวญ .. ขิม
-1- แต่ปางบรรพ์ ..
๑๔ O อาดูระพูนอยุธยา ขณะวาระวอดวาย วงศ์ราชและอาชญะสลาย รณะพ่ายและถูกผลาญ
O สิ้นชาติและวาสนะเพราะขัต- ติยะรัฐะสำราญ- สำเริงกะเพลิงรชะผสาน- รสะพาละแผดเผา
๘ O ไร้สามารถเพียงพอจะต่อสู้- เข่นฆ่าปวงศัตรู, เพียงหมู่เขลา- พร้อมดวงจิตสั่นรัว..กับมัวเมา- ด้วยรูปเยาว์อ่อนน้อย..นั่งคอยบุญ
O เมื่อ..คนด้อยกำลังขึ้นนั่งเมือง ใจย่อมต้องเปล่าเปลือง..กับเคืองขุ่น ถ้วนปวงความคิดเห็น..จักเป็นทุน- ช่วยอุดหนุนเสื่อมทรามให้ตามมา
O แว่วอยู่..เสียงโห่ครื้น, เสียงปืนลั่น พร้อมหัวใจ, ดวงขวัญ..หวาดหวั่น..ผวา แววแตกตื่นโชนช่วงทั้งดวงตา รับรู้วาระขื่นขม..เมืองล่มลาญ
O โอ้..เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร ถูกพวกม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ
O ท่ามกลางมีดดาบเชือด..ลิ่มเลือดหลั่ง คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ หลังเปลวเพลิงโหมซ้ำเกินรำงับ ร่างถมทับเป็นเถ้า
สิ้นเงาไท
O โอ..รอยเศร้าโชนช่วงในดวงเนตร จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย เหลืออาลัยเจ็บช้ำที่ดำรง
O จำพรากถิ่นร่อนเร่, ความเหว่ว้า- ก็แทรกฝ่าลงพาด..ผู้ชาติหงส์ พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง กับอีกผู้ซื่อตรง..มั่นคงนั้น
O คือหนึ่งแกล้วผู้กล้า..เมื่อปรากฏ ทอนกำสรดห้วงใจ..สิ้นไหวหวั่น เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์ ร่วมปกป้องคุ้มกัน..ตราบบรรลัย
O ลมเฉื่อยโชย..เห่โหมประโลมโศก เหมือนโบยโบกศรัทธาให้อาศัย หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ โอบห้วงใจเยียวยาทุกอารมณ์
O พระเขนยเคยหนุน...เป็นดุ้นพฤกษ์ แกล้วนิ่งนึกกล้ำกลืน..แรงขื่นขม โอ้..ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม ความขืนข่ม..ฤๅจะกลบให้ลบเลือน
O หัวอกเอ๋ย..เคยหนักด้วยศักดิ์..ชาติ ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย
O ทูลกระหม่อม..เคยห่มแต่..รมย์..รื่น จากค่ำคืนจวบเช้าจนเข้าสาย นางกำนัลโค้งหมอบคอยรอบราย บัดนี้กลับเดียวดาย..อยู่ใต้จันทร์
O หมาย เค้นชีพบีบชาติ..ลงลาดรับ ไว้สำหรับรอบล้อม..ใจหม่อมฉัน หมาย - รองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน ทอนโศกศัลย์ห่างเห..รูปเทพินทร์
O กระท่อมทับเปรียบว่า..ดั่งปราสาท เรไร..ดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์ ครวญขับกล่อมเจื้อยแจ้วให้แว่วยิน เพื่อเจตจินต์ขื่นขม..รู้ - รมยา
O ดอกโกสุมกลีบก้านประสานประดุจ- รูปมงกุฏผู้พิลาสในชาติสถา- นะภาพแห่งศักดิ์สกุล..ผู้บุญญา แทนรูปทรงสูงค่า..กลางป่าไพร
O โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล สายลมแผ่ววาดวี..ผู้มีใจ ราวบอกให้สุจริต..สัมฤทธิ์รู้
O บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่ อุบะกรองหอมร่ำ..สิ้นดำรู ที่ยังอยู่เคียงใจ...ย่อมใจคน
O อัสสาสะในครานิทราสนิท พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน หมายลับล่วงเรื่องหลัง..สิ้นกังวล วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว
O สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์ สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส สิ้นประยูรวงศ์ราช..บำราศไป สิ้นจากร้อนแรงไฟ..ของไพรี
O จนเข้าสาง..คะนึงย้อน..ยามก่อนเก่า เคยอยู่เฝ้าแหนองค์ผู้ทรงศรี ฤๅ..อำนาจเวรกรรมเข้าย่ำยี- พาบัตรพลีโศกทุกข์ไปทุกรอย
O ป่านฉะนี้..ปิตุราชมาตุเรศ จะเทวษกำสรด..ใจถดถอย ฤๅ - ลำบากทดท้อ..เฝ้ารอคอย- ห่วงละห้อยถึงบุตร..ก็สุดเดา
O สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน
O เหลือบชม้อยชม้ายสู่..ตาคู่หนึ่ง แววซาบซึ้งตอบรับ..สิ้นสับสน อุ่นหทัยเคียงข้างใครบางคน พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย
O แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย คงสำรวมใจอยู่ ใจผู้ชาย- ว่าอย่าหมาย..สูงส่ง..เกินวงศ์ตน
O เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่ ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน ว่า - สิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้
O แล้วเลื่อนองค์แอบร่างอยู่กลางทรวง แกล้วก็หน่วงกรป้องตระกองศรี สะท้านด้วยแววตาและท่าที อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ
O กลางลมแผ่วผ่านไหว..ยอดไม้แกว่ง แม้นโศกแห่งเรื่องหลังจะยังเหลือ หากอาวรณ์อบอุ่นได้จุนเจือ สองใจเอื้อปลดปลง..หัก-วงกรรม
O อธิษฐาน..ร้อยวาสน์ให้พาดช่วง ภพผ่านล่วงพบเจอ..จงเพ้อพร่ำ ใจสองดวงรอคอย..ทุกรอยคำ จนโน้มนำพาสู่..เป็นคู่เคียง
O ใจต่อใจ..ดั่งว่าร่วมสาธก ท่ามกลางนกเขาไพร..ที่ให้เสียง ลมอ่อยเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง เงียบงันเพียงสองใจ..สั่นไหวรับ
O เรณูกลีบลดาชาติ..ฤๅอาจหอม- เท่าใจหอมลึกล้ำเป็นลำดับ วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ- ว่า - แม้นดับชีพวาย..ไม่คลายคลอน
O แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร ฤๅ..อาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง
O ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ..โปรดรับรู้ จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์ ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง จะยังคงละห้อยเห็น...ไม่เว้นวาง
-2- บุพสัญญา ..
O รอคอยจะพบกันในวันหน้า เมื่อคุณค่าพ้องกัน..เกินกั้นขวาง รสประณีตความร้อย...ในรอยทาง ก็มอบวางชักนำ..เหยียบย่ำรอย
O แต่สิ้นชาติวาสนาชะตาคู่ เพียงรับรู้เปลี่ยวเปล่า..และเศร้าสร้อย แสงชีวันทอดทอ...เพียงรอคอย บรรจบด้วยขวัญน้อย..ทุกรอยใจ
O แม้นเพรงกรรมเชี่ยวกราก..จำพรากภพ จักเกลื่อนกลบแรงถวิล..ฤๅสิ้นได้ สัญญาตรึงลงทรวง..ถ้วนปวงนัย- ร่างมอดไหม้กี่ครั้ง..ก็ยังคง
O เที่ยวท่องล่องฟากฝั่ง..วัฏฏ์สังสาร ล้วนหอมหวานเร้ารุม..ให้ลุ่มหลง กี่รอบร่าง, ดวงจิต-ถึงปลิดปลง จึงเสริมส่งหลุดพ้น..ด้วยตนเอง
O จากอุบัติ..ตั้งอยู่..จนรู้รส ตราบเบิกบทเร้ารุมเข้ากุมเหง จำเริญการหยอกยั่ว...ไม่กลัวเกรง การรุดเร่งอารมณ์...อันสมยอม
O กำซาบรสรมย์แสนย์..อันแหนหวง- ทอดทับทรวงสั่นสะท้านด้วยหวานหอม โอนอบอุ่นซาบซ้ำ..ให้ด่ำดอม ด้วยอารมณ์รอบล้อม..อยู่พร้อมแล้ว
O มาเถิดเจ้า..อกอ้อมรอน้อมอิง จงผ่อนพิงหัวใจอันไหว..แผ่ว รั้งรอฤๅเนตรปลาบ..จงวาบแวว ให้รู้แนวสืบสม..อารมณ์นั้น
O พบเจอแล้วจำพราก..ซ้ำซากนัก ยังคงถูกกุมกัก..เกินหักบั่น คล้ายหัวใจตอบรับข้ามกัปกัลป์ เย้ยโทษทัณฑ์ทรมา..ด้วย-อาลัย
O กี่วงเวียนสงสารผันผ่านล่วง ยังคล้องบ่วงรัดรึง..มาถึงได้ กี่ช่วงภพชาติดับ..เลือนลับไป ยังอยู่ในสัญญาไม่ล้าเลือน
O มีคนพร้อมหัวใจ..แม้นไหวหวั่น- หากดวงขวัญ..ยิ่งใหญ่ยากใครเหมือน มีมาดมั่นในจิต..เกินบิดเบือน เพื่อแล่นเลื่อนเสน่หา..สัญญาใจ
O เพื่อคอยเตือนดวงจิต..สัมฤทธิ์รู้ ว่าเพียงผู้เดียวนั้นที่ฝันใฝ่ บรรจบรูปแล้วยากเกินพรากไป ตราบบรรลัยชีพม้วยลงด้วยกรรม
O เหมือนรอบบุญแรงบาปได้สาปส่ง ตรึงจำนงคงอยู่ให้รู้สัม- ผัส..อ่อนหวานน้อมแนบ..ที่แอบอำ- ลงตอกย้ำอาลัยด้วยใครนั้น
O คล้ายติดตามมาทวง..บำบวงพากย์ ก่อนพลัดพรากเลือนลับ..แตกดับขันธ์ จึงเผยรูปรอยโจทก์..ชี้โทษทัณฑ์ ผูกรัดพันชีพเชื้อด้วยเยื่อใย
O ถวิลรูป..ฤๅเว้น-อยากเห็นหน้า ละห้อยหาอาวรณ์..เกินผ่อนไหว หรือบาปกรรมเคยสร้างแต่ปางใด รุมเร้าใจตรึงมั่น..แต่สัญญา
O แม้นรอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก จะเจือโศกเคล้าคลุกไปทุกหน้า คงยอมรับชะตากรรม..ให้นำพา ล่องลอยฝ่าอาวรณ์..อย่าผ่อนเลย
O หวังสบโทษทัณฑ์มี..เท่าที่สร้าง พากย์เอ่ยอ้างเคยมี..จักคลี่เผย เพื่อความอ่อนหวานละมุนอันคุ้นเคย- จะรอให้ชิดเชยอย่างเคยมี
O ฤๅรับบุญร่วมบาตรแต่ชาติก่อน จึงสุดผ่อนเพลาค่ารูปราศี แรกบรรจบหัวใจจึงไหววี พ้องความวาบหวามที่เคยมีมา
O คงตักบาตรร่วมขันแต่วันก่อน ดาลถ้วนคำบวงอ้อนกลับย้อนหา จำหลักความมุ่งมั่นลงสัญญา เพื่อตรึงตราแต่ในน้ำใจเดียว
O จักรอคอยละห้อยเห็นอยู่เช่นนี้ รอ-ท่าทีแววตา..ละล้าเหลียว รอ-ดวงใจปลิดปลิวด้วยนิ้วเรียว เมื่อเจ้าเหนี่ยวเด็ดวางลง-กลางใจ
O รอคอยตราบ..พบกันในวันนี้ ก็วันที่รูปฝัน..พร้อมฝันใฝ่- บรรจบหวานผ่านเจือ..สู่เนื้อใจ ร่วมอาลัยผูกพันตามสัญญา
O รอคอยตราบ..พบกันในวันนี้ ในวันที่หวานละมุนและคุณค่า- ได้เผยรูปย่างกราย..สบสายตา ให้คุณค่าหวานล้ำ..เร่งกำลัง
-3- คำข้าว และใจคน ..
O แต่..ร่วมบุญตักบาตร..อาวาสเหนือ เพ่งจิตเพื่อรอบกุศลแต่หนหลัง ได้สืบสานตอกย้ำเสริมกำลัง ลงหยัดหยั่งทอนค่า..อัตตาตน
O ลงสองเข่ากรประนม..คอก้มต่ำ บำบวงธรรมตรึกตรองครรลองผล แว่วคำพระกล่าวกล่อม..เข้าล้อมลน ก็แช่มชื่นเหลือล้นอยู่บนใจ
O เรียวนิ้วงามจับของประคองถวาย แล้วหมอบกายหน้าก้ม, น้ำพรมใส่ เป็นน้ำมนต์บริกรรมพากย์ธรรมนัย ป้องอาลัยอาวรณ์ให้ทอนแรง
O ราวหอมรื่นพัสตร์ห่ม..บังบ่มผิว ร่ำลมริ้วผ่าวแนบ..เข้าแอบแฝง นาสิกใกล้หอมอยู่..ฤๅรู้แปลง- เปลี่ยนจากแหล่งพักตร์ละม่อม..กรุ่นหอมนั้น
O กลิ่นธูปและควันเทียน..ไหวเวียนอยู่ เมื่อตารู้..งามพิไลเริ่มไหวสั่น ประกายวับวามอยู่เกินรู้-กัน จนกราบพระคล้อยหัน..ก็พลันพบ
O งดงามนักเจ้าเอย..เมื่อเผยสู่ สบเนตรนิ่งงันอยู่เกินรู้หลบ เกศินีนวลปรางสะอางครบ จะเลือนลบจากใจอย่างไรพ้น
O แว่วพระสวดธรรมบท..ปรากฎเสียง ความเรื่อยเรียงให้สดับ..อยู่สับสน วงพักตร์หวาน, ธรรมนัย-แว่วไหววน พร้อมอกหนึ่งอึงอล..อยู่บนยาม
O มาไหว้พระทำบุญ..เพื่อหนุนชาติ หวังบำราศทุกข์โศกแห่งโลกสาม ให้นัยธรรมหลอมเหลว..ส่วนเลวทราม พาข่มข้ามขวากขวางที่วางรอ
O ด้วยศักดิ์ศรีชายผู้..ไม่คู้ต่ำ ไม่อาจย่ำทางสู่..ท่านผู้ขอ ตรองข้อธรรมร้อยเรียงย่อมเพียงพอ เอาเติมต่อวิชชาเป็นอาภรณ์
O มาทำบุญถวายพระ..สังฆทาน ให้พระผ่านนัยธรรมขึ้นย้ำสอน แจ่มกระจ่างโศกสุขไปทุกตอน แล้วรับพรรื่นล้ำ..พร้อมน้ำมนต์
O หอมกรุ่นรูปพัสตรา..เบื้องหน้านั้น ก่อนค่อยผันพักตร์เหลียว..มาเกี่ยวผล- จากรูปเผยสบต้อง..ตาของคน ลุกลามอลวนไหวที่ในทรวง
O โพธิ์ยังคงระบัดใบ..เมื่อใจล่อง- สู่พักตร์ผ่องเนตรวามที่ลามล่วง- มาจับจองนัยคำ..ถ้อยบำบวง- ให้โชนช่วงรอบกรรม..มุ่งบำเพ็ญ
O ศักดิ์สิทธิ์เสียจริงหนอ..คำขอนี้ จึงมือที่ผู้ใดมองไม่เห็น คล้ายจับจูงชาติภพ..บรรจบ-เป็น- นัยแฝงเร้นจดจ่อ...เฝ้ารอคอย
O อารามวัดเรือนไม้ที่ริมน้ำ อีกครั้งที่รอบกรรมและคำถ้อย พาบรรจบรูปแพงผู้แฝงรอย ให้คนพลอยถวิลเห็นไม่เว้นวาย
O ใกล้เจดีย์โบสถ์เก่า..อันเก่าคร่ำ คือคลื่นน้ำลมพลิ้วเป็นริ้วสาย บนเรือนไม้นัยธรรม..แว่วรำบาย ความมุ่งหมายพิสมัยแห่งใจคน
O รูปอดีตเจ้าหลวงนั้นตั้งเด่น ที่บวงเซ่นเถ้าปวง..เริ่มร่วงหล่น คือวัดโกษาวาส..ที่ชาติชน เคยสืบผลธรรมพุทธโดยดุษณี
O ก้มกราบรูปองค์พระ..รูปพระพุทธ เหลื่อมทองผุดผ่องตา..เรื้องราศี พักตร์สงบงันอยู่..ช่วยชูชี- วาตม์คนที่รุมร้อน..ได้ผ่อนลง
O ใกล้ใกล้ที่นั่งสงฆ์...ใกล้องค์พระ แว่ววาทะกล่อมจิตให้คิดบ่ง- เอาเสี้ยนแหลมแซมจิต..พาปลิดปลง แล้วเสริมส่งรอบกรรมในสัมมา
O กราบองค์พระลมรื่นใจตื่นพร้อม เมื่อคล้ายกรุ่นกลิ่นหอม...ละม่อมหน้า- จะวาบไหวบริบทออกจดตา ใจเอยแต่ละล้าเหลียวหาเงา
O เกษินีนวลปราง..หันข้างอยู่ คล้ายรอกู้ส่วนเสี้ยว..ความเปลี่ยวเหงา- แห่งอาวรณ์รูปนั้นให้บรรเทา ดูเถิด..คำพระเจ้า-ยืดยาวจริง
O แล้วก้มกราบรูปสงฆ์..บรรจงน้อม ผมหล่นล้อมวงหน้า..จบหน้านิ่ง เพียงชั่วยามรูปพิไล..หยุดไหวติง กลับนานยิ่งในคะนึงของหนึ่งคน
O มาด้วยเพื่อนอีกสอง..ผู้ปองธรรม เพื่อขัดค้ำครอบจิตจากพิษฉล งามรูปลักษณ์กิริยาก็น่ายล คล้าย-งามล้นล้ำล่วงถึงดวงใจ
O เงยหน้าเจ้า..หันหน้าเข้าหาเพื่อน เนตรคล้อยเบือนสบกัน..ก็พลันไหว- วาบหวามละลามล่วงสู่ทรวงใน โอ้อกใครระทึกก้องดั่งกลองตี
O สบแล้วเมินเมียงหลบ..แล้วสบอีก ด้วยสุดตาจะอาจปลีก...หลบหลีกหนี ชั่วเงียบงันหัวใจ..กลับไหววี ราวมือที่แฝงเร้น..บีบเค้นลง
O ช่างอ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง..เสียยิ่งแล้ว เนตรผ่องแผ้ว..แก้มคางเรียวร่างหงส์ ราวแทรกรูปดิ่งด่ำ..ให้ดำรง แนบจำนงพาใจพลอยไขว่คว้า
O จนเสียงพระการุณ..บอกบุญ-แว่ว เมื่อฝนหลั่งลงแล้ว..แน่แน่ว..ว่า- งานสมโภชองค์พระ..สืบชะตา- ยกช่อฟ้า..ขึ้นตั้งจะยังมี
O เชิญ..มาร่วมตักบาตรหนุนชาติภพ คล้อยบรรจบคุณค่าและราศี เสริมส่งวาสนาและบารมี คล้ายวาทีตอบกลับ..จะรับคำ
O อีกเพียงสองสัปดาห์จะมาถึง ให้รูปหนึ่งตักบาตรร่วมยาตรย่ำ- พาจิตใจก้าวย่างสู่ทางธรรม เพื่อโน้มนำสัมมา..จิตนารี
O มองหน้าแววอุทธัจก็ชัดแจ้ง บรรโลมแต่งแก้มเนื้อจนเรื่อสี ลมล่องน้ำหลากไหล..เงื่อนไมตรี- ราวจะคลี่คลายบ่วง..คล้องดวงใจ
.... มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่ ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง....
....มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง....
O ราวว่าจินตภาพฟ้องให้มองเห็น งามเกินเว้นตาพรับเมื่อจับจ้อง กระโปรงผ้าสีพื้น, แพรผืนทอง- คล้ายเหลื่อมสองภาพซ้อน..แต่ตอนนั้น
O เช้านี้ลมพลิ้วไหว..โลมไม้ดอก คล้ายยั่วหยอกโยกให้..พุ่มไหวสั่น ภุมรินเร่งรุดล้อมบุษบัน เมื่อแรกวันเริ่มช่วงด้วย..ดวงไฟ
O อ้อยอิ่งกลาง-หมอกเช้าอันขาวขุ่น คืออกอุ่นอาวรณ์-ผู้อ่อนไหว ริ้วลมร่ำแผ่วผ่าน-ดอกมาลย์ไกว เช่น-อาลัยถวิลอยู่..ไม่รู้วาง
O ร่อนเร่เสาะสุมาลย์อันหวานหอม ผึ้งบินล้อมเรณู..แต่ตรู่สาง ละม่อมรูปอิริยาและท่าทาง ก็ล้อมขวางกักกันคอยบัญชา
O เฝ้าคอยมานับนานแต่กาลไหน จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยหา ห้วงคำนึงทั้งผอง, ในสองตา- จึงเหมือนว่าประทับอยู่แต่ผู้เดียว
O หรือพิมพ์ลงสัญญาแต่คราที่- ร่วมวาทีพร่ำพร้อง..รอข้องเกี่ยว จะกี่ภพกี่ชาติ, สวาดิเกลียว- จงรัดเหนี่ยวผูกกันนิรันดร
O อ่อนหวานศัพท์สำเนียงความเอียงอาย เหมือนผุดพรายออกเผยจากเคยซ่อน เติมแต่งรูปบัญชาให้อาวรณ์- จำเริญตอนงดงามขึ้นล่ามดึง
O อุษากาลผ่านคล้อย..สูรย์ลอยเด่น ค่อยแฝงเร้นความนัยส่งไปถึง หวังอีกทรวงห่วงหา..จักตราตรึง กับหวานซึ้งอาวรณ์..ที่ย้อนคืน
O รอเถิดรูปนิรมิตโศภิตผู้- รอบแรงชู้โอบกระหวัด..อย่าขัดขืน นัยหนึ่งเมื่อหยัดหยั่ง..จักยั่งยืน อย่าคิดฝืนฝ่าหักแม้สักครา
O จะยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม ภายใต้อ้อมแขนหวง..ผู้ห่วงหา- ย่อมมีเพียงหอมหวานแห่งมารยา รอเจ้าถาโถมลง..อย่างปลงใจ
O หมอกขุ่นขาวลับล่มกับลมร่ำ เมื่ออกคร่ำครวญนั้น..คงสั่นไหว- อยู่กับความปรารถนา..แรงอาลัย ด้วยรูปพักตร์ผู้พิไล..ตรึงนัยน์ตา
O อ้อยอิ่งกลางแดดสาย..อบอายอุ่น กับงามหนึ่งละเมียดละมุนด้วยคุณค่า ลมโรยแผ่วพลิ้วสายปัดป่ายมา คล้ายรอท่ารอทีผู้มีใจ
O หวังยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม คือ-หลงอ้อมแขนชู้..เกินกู้ไหว หวังอาวรณ์เร้ารุม..เช่นขุมไฟ- โหมเข้าใส่อกนั้น..ค่ำยันเช้า
O อย่าได้มีหมองหมาง..เป็นอย่างอื่น ทุกตาตื่นหัวใจแต่ใฝ่เฝ้า ถวิลหาอ้อมแขนห้อมแหนเงา คอยโอบร่างรูปเยาว์..ค่ำเช้าเย็น
O รอคอยมานับนานแต่กาลไหน จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยเห็น ห้วงคำนึงทั้งผอง, ล้วนผ่องเพ็ญ- ของงามเด่นรูปพักตร์..เกินหักแล้ว
-4- ดวงดอกฟ้า ..
O คล้ายในค่ำคืนยะเยียบ..แสนเงียบเหงา เสียงผ่านโสตรุมเร้า..นั้น-เบาแผ่ว เป็น - คำกรองครวญขับ..สำหรับแวว- เนตรผ่องแผ้ว..อาจชะม้ายเหลือบชายมา
O หอมหวานแห่งอาลัย..รินไหลเซาะ ....ศุภสารเสนาะเสน่หา จำลองใจมาในอักขรา ด้วยจินตนาปรารภนิรันดร
....แสนระทมกรมสวาทระยำยับ ดั่งสุเมรุทุ่มทับทรวงสมร เพราะหมายโลมโฉมอินทร์อรชร จึงรั้งรอนหักจิตเป็นนิจกาล
....คะนึงน้องดั่งปองปทุเมศ ในขอบเขตมุจลินท์สระสนาน แสนลำบากยากที่พ้นทรมาน เพราะไม่หาญที่จะหักมาชมชู
....เชยสร้อยเสาวคนธ์โกมลมาศ เมื่อลมลาดเพราะลอบเลียบอยู่ แต่ไกลไกลก็จะลักแลดู แมลงภู่ร่อนร้องแต่เวียนชาย....
O หวังถึงจะเชยสร้อยสุคนธา ปรารถนามณีสรวงที่ช่วงฉาย ใจเอยเมื่อหาญกล้าขึ้นท้าทาย จะยอมพ่ายแพ้ได้อย่างไรกัน
O มณีเดียวช่วงอยู่ไม่รู้ลับ เพื่อรองรับอาลัยผู้ใฝ่ฝัน- และหนึ่งความแหนหวงใต้ดวงวัน ร่วมโอบขวัญรูปเยาว์..ฟังเว้าวอน
O เรื่องราวจากเพรงกาลอันนานเนิ่น ผ่าน..เชื้อเชิญพร่ำพลอด..ความออดอ้อน รติรสละเมียดละมุนอันสุนทร ก็แทรกตอนดื่มด่ำลงรำบาย
....ถ้าเหาะได้เหมือนเหรันตยักษ์ เห็นจะหักได้สะดวกโดยง่าย นี่สุดเอื้อมที่จะเอื้อมอาจกลาย ปิ้มจะวายชีพเพราะถวิลมัว
....ถ้าสุมาลย์ร่วงหล่นพ้นสวรรค์ บ้างเล่าเถิดถ้ากระนั้นจะยังชั่ว ถึงมิน้อมก้านให้ก็ไม่กลัว ขอแต่ยั่วแย้มหน่อยพอแนมนวล
....สิอยู่ในมุจลินท์สินธุล้อม เชิญประนอมไมตรีทรามสงวน ซึ่งสุหร่ายภิปรายเปรียบมาทั้งมวล ก็ไม่ควรแต่ว่าร้อนนั้นสุดแรง....
O หวังถึงดวงดอกฟ้า..น้อมมาสู่ รับนัยชู้จากชาย..รำบายแฝง- ความอาวรณ์ใฝ่เฝ้า..ด้วยเจ้าแพง อย่าหน่ายแหนงคมคำ..ที่รำพัน
O ฤๅเปรียบได้กับงาม..ของยามที่- เงื่อนไมตรีจากเจ้า..รุมเร้าขวัญ กลางอุสุมร้อนแรงของแสงวัน พารอบฉันทาตื่นด้วยรื่นเย็น
O คืองามที่จะงาม..ทุกยามที่- กอปรจริต..ท่วงทีอย่างที่เห็น ทั้งแรงชู้ใฝ่เฝ้า..รุมเร้า-เป็น- ความเอื้อเอ็นดูซึ้ง..รัดรึงทรวง
O หวังถึงเหินเหาะฟ้า..เอื้อมคว้าเอา- งามรูปเยาว์, ฝ่าแถนทั้งแสนสรวง ฤๅเปรียบปานอานุภาพอันทาบทวง ด้วยรัก, หวงแหนนับ..ข้ามกัปกัลป์
.....เชิญรักอารมณ์ภิรมย์รัก เชิญสมัครหมายขวัญมาน้อมขวัญ เชิญสมานการโดยกระบวนบรรพ์ วานอย่าฉันทาเคียดรังเกียจกาย
.....เชิญเยื้อนเถิดอย่าถือประยูรยศ เชิญประชดมุ่งมาดให้เหมือนหมาย ขอเชิญน้องพร้องเสน่ห์สวาทชาย กว่าจะวายทำลายชีพปลดปลง.....
O คำตัดพ้อต่อว่าแต่ครานั้น หมายผูกพันพิสวาทด้วยชาติหงส์ หากครานี้ลึกล้ำด้วยจำนง รอ-เสริมส่งคันธารสลงจดใจ
O ด้วยแรงรักปรารมภ์บรรสมสร้าง จะกี่ขวากหลุมพรางฤๅขวางได้ เมื่อถวิลปรารถนา..แรงอาลัย รอพร้อมให้สืบสมร่วมกลมเกลียว
O ใจเอย...ฤๅเคยคิด-สักนิดว่า- เมื่อคุณค่าแฝงฝาก..เริ่มกรากเชี่ยว เหลือแต่ต้องเตรียบใจด้วยนัยเดียว รับทุกเสี้ยวส่วนงามที่ลามมา
O เห่เอย...เห่กล่อมละม่อมรูป ความจะลูบโลมให้..อาลัยหา กลางสนิทหลับฝัน..พี่สัญญา- จะโอบรูปปรารถนา..ข้ามราตรี
O เห่เอย...เห่ช้าพญาหงส์ เจ้าสูงส่งด้วยสง่าและราศี คำถนอมกล่อมชาติ..จักวาดวี ให้ภิรมย์ดวงฤดีอย่ามีคลาย
O รอคอยจะพบกัน..ในวันพรุ่ง เมื่อวันฟุ้งฟายดวงขึ้นช่วงฉาย ถนอมเถิดรูปพิไลทั้งใจกาย รอ-สองปลายสายสวาท..เข้า-พาดพัน
หมายเหตุ.... กลอนที่มีจุดนำหน้าทั้งหมด....เป็นเพลงยาว ของพระยาตรัง...กวีในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒
Create Date : 22 มีนาคม 2554 |
|
11 comments |
Last Update : 3 เมษายน 2566 18:06:31 น. |
Counter : 6082 Pageviews. |
|
|
|
ภาพสวยจังงงง ^__^