Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
22 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 

O บุพเพสันนิวาส .. O








เพลง นางครวญ ..
ขิม



-1-
แต่ปางบรรพ์ ..

๑๔
O อาดูระพูนอยุธยา
ขณะวาระวอดวาย
วงศ์ราชและอาชญะสลาย
รณะพ่ายและถูกผลาญ

O สิ้นชาติและวาสนะเพราะขัต-
ติยะรัฐะสำราญ-
สำเริงกะเพลิงรชะผสาน-
รสะพาละแผดเผา


O ไร้สามารถเพียงพอจะต่อสู้-
เข่นฆ่าปวงศัตรู, เพียงหมู่เขลา-
พร้อมดวงจิตสั่นรัว..กับมัวเมา-
ด้วยรูปเยาว์อ่อนน้อย..นั่งคอยบุญ

O เมื่อ..คนด้อยกำลังขึ้นนั่งเมือง
ใจย่อมต้องเปล่าเปลือง..กับเคืองขุ่น
ถ้วนปวงความคิดเห็น..จักเป็นทุน-
ช่วยอุดหนุนเสื่อมทรามให้ตามมา

O แว่วอยู่..เสียงโห่ครื้น, เสียงปืนลั่น
พร้อมหัวใจ, ดวงขวัญ..หวาดหวั่น..ผวา
แววแตกตื่นโชนช่วงทั้งดวงตา
รับรู้วาระขื่นขม..เมืองล่มลาญ

O โอ้..เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม
บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ
ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร
ถูกพวกม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ

O ท่ามกลางมีดดาบเชือด..ลิ่มเลือดหลั่ง
คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ
หลังเปลวเพลิงโหมซ้ำเกินรำงับ
ร่างถมทับเป็นเถ้า…สิ้นเงาไท

O โอ..รอยเศร้าโชนช่วงในดวงเนตร
จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย
กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย
เหลืออาลัยเจ็บช้ำที่ดำรง

O จำพรากถิ่นร่อนเร่, ความเหว่ว้า-
ก็แทรกฝ่าลงพาด..ผู้ชาติหงส์
พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง
กับอีกผู้ซื่อตรง..มั่นคงนั้น

O คือหนึ่งแกล้วผู้กล้า..เมื่อปรากฏ
ทอนกำสรดห้วงใจ..สิ้นไหวหวั่น
เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์
ร่วมปกป้องคุ้มกัน..ตราบบรรลัย

O ลมเฉื่อยโชย..เห่โหมประโลมโศก
เหมือนโบยโบกศรัทธาให้อาศัย
หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ
โอบห้วงใจเยียวยาทุกอารมณ์

O พระเขนยเคยหนุน...เป็นดุ้นพฤกษ์
แกล้วนิ่งนึกกล้ำกลืน..แรงขื่นขม
โอ้..ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม
ความขืนข่ม..ฤๅจะกลบให้ลบเลือน

O หัวอกเอ๋ย..เคยหนักด้วยศักดิ์..ชาติ
ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน
เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน
กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย

O ทูลกระหม่อม..เคยห่มแต่..รมย์..รื่น
จากค่ำคืนจวบเช้าจนเข้าสาย
นางกำนัลโค้งหมอบคอยรอบราย
บัดนี้กลับเดียวดาย..อยู่ใต้จันทร์

O หมาย – เค้นชีพบีบชาติ..ลงลาดรับ
ไว้สำหรับรอบล้อม..ใจหม่อมฉัน
หมาย - รองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน
ทอนโศกศัลย์ห่างเห..รูปเทพินทร์

O กระท่อมทับเปรียบว่า..ดั่งปราสาท
เรไร..ดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์
ครวญขับกล่อมเจื้อยแจ้วให้แว่วยิน
เพื่อเจตจินต์ขื่นขม..รู้ - รมยา

O ดอกโกสุมกลีบก้านประสานประดุจ-
รูปมงกุฏผู้พิลาสในชาติสถา-
นะภาพแห่งศักดิ์สกุล..ผู้บุญญา
แทนรูปทรงสูงค่า..กลางป่าไพร

O โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ
ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล
สายลมแผ่ววาดวี..ผู้มีใจ
ราวบอกให้สุจริต..สัมฤทธิ์รู้

O บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ
เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่
อุบะกรองหอมร่ำ..สิ้นดำรู
ที่ยังอยู่เคียงใจ...ย่อมใจคน

O อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน
หมายลับล่วงเรื่องหลัง..สิ้นกังวล
วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว

O สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์
สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส
สิ้นประยูรวงศ์ราช..บำราศไป
สิ้นจากร้อนแรงไฟ..ของไพรี

O จนเข้าสาง..คะนึงย้อน..ยามก่อนเก่า
เคยอยู่เฝ้าแหนองค์ผู้ทรงศรี
ฤๅ..อำนาจเวรกรรมเข้าย่ำยี-
พาบัตรพลีโศกทุกข์ไปทุกรอย

O ป่านฉะนี้..ปิตุราชมาตุเรศ
จะเทวษกำสรด..ใจถดถอย
ฤๅ - ลำบากทดท้อ..เฝ้ารอคอย-
ห่วงละห้อยถึงบุตร..ก็สุดเดา

O สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า
แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า
เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา
ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน

O เหลือบชม้อยชม้ายสู่..ตาคู่หนึ่ง
แววซาบซึ้งตอบรับ..สิ้นสับสน
อุ่นหทัยเคียงข้างใครบางคน
พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย

O แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า
ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย
คงสำรวมใจอยู่ – ใจผู้ชาย-
ว่าอย่าหมาย..สูงส่ง..เกินวงศ์ตน

O เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่
ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน
ว่า - สิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน
สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้

O แล้วเลื่อนองค์แอบร่างอยู่กลางทรวง
แกล้วก็หน่วงกรป้องตระกองศรี
สะท้านด้วยแววตาและท่าที
อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ

O กลางลมแผ่วผ่านไหว..ยอดไม้แกว่ง
แม้นโศกแห่งเรื่องหลังจะยังเหลือ
หากอาวรณ์อบอุ่นได้จุนเจือ
สองใจเอื้อปลดปลง..หัก-วงกรรม

O อธิษฐาน..ร้อยวาสน์ให้พาดช่วง
ภพผ่านล่วงพบเจอ..จงเพ้อพร่ำ
ใจสองดวงรอคอย..ทุกรอยคำ
จนโน้มนำพาสู่..เป็นคู่เคียง

O ใจต่อใจ..ดั่งว่าร่วมสาธก
ท่ามกลางนกเขาไพร..ที่ให้เสียง
ลมอ่อยเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง
เงียบงันเพียงสองใจ..สั่นไหวรับ

O เรณูกลีบลดาชาติ..ฤๅอาจหอม-
เท่าใจหอมลึกล้ำเป็นลำดับ
วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ-
ว่า - แม้นดับชีพวาย..ไม่คลายคลอน

O แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร
ฤๅ..อาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน
ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร
ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง

O ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ..โปรดรับรู้
จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์
ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง
จะยังคงละห้อยเห็น...ไม่เว้นวาง



-2-
บุพสัญญา ..






O รอคอยจะพบกันในวันหน้า
เมื่อคุณค่าพ้องกัน..เกินกั้นขวาง
รสประณีตความร้อย...ในรอยทาง
ก็มอบวางชักนำ..เหยียบย่ำรอย

O แต่สิ้นชาติวาสนาชะตาคู่
เพียงรับรู้เปลี่ยวเปล่า..และเศร้าสร้อย
แสงชีวันทอดทอ...เพียงรอคอย
บรรจบด้วยขวัญน้อย..ทุกรอยใจ

O แม้นเพรงกรรมเชี่ยวกราก..จำพรากภพ
จักเกลื่อนกลบแรงถวิล..ฤๅสิ้นได้
สัญญาตรึงลงทรวง..ถ้วนปวงนัย-
ร่างมอดไหม้กี่ครั้ง..ก็ยังคง

O เที่ยวท่องล่องฟากฝั่ง..วัฏฏ์สังสาร
ล้วนหอมหวานเร้ารุม..ให้ลุ่มหลง
กี่รอบร่าง, ดวงจิต-ถึงปลิดปลง
จึงเสริมส่งหลุดพ้น..ด้วยตนเอง

O จากอุบัติ..ตั้งอยู่..จนรู้รส
ตราบเบิกบทเร้ารุมเข้ากุมเหง
จำเริญการหยอกยั่ว...ไม่กลัวเกรง
การรุดเร่งอารมณ์...อันสมยอม

O กำซาบรสรมย์แสนย์..อันแหนหวง-
ทอดทับทรวงสั่นสะท้านด้วยหวานหอม
โอนอบอุ่นซาบซ้ำ..ให้ด่ำดอม
ด้วยอารมณ์รอบล้อม..อยู่พร้อมแล้ว

O มาเถิดเจ้า..อกอ้อมรอน้อมอิง
จงผ่อนพิงหัวใจอันไหว..แผ่ว
รั้งรอฤๅเนตรปลาบ..จงวาบแวว
ให้รู้แนวสืบสม..อารมณ์นั้น

O พบเจอแล้วจำพราก..ซ้ำซากนัก
ยังคงถูกกุมกัก..เกินหักบั่น
คล้ายหัวใจตอบรับข้ามกัปกัลป์
เย้ยโทษทัณฑ์ทรมา..ด้วย-อาลัย

O กี่วงเวียนสงสารผันผ่านล่วง
ยังคล้องบ่วงรัดรึง..มาถึงได้
กี่ช่วงภพชาติดับ..เลือนลับไป
ยังอยู่ในสัญญาไม่ล้าเลือน

O มีคนพร้อมหัวใจ..แม้นไหวหวั่น-
หากดวงขวัญ..ยิ่งใหญ่ยากใครเหมือน
มีมาดมั่นในจิต..เกินบิดเบือน
เพื่อแล่นเลื่อนเสน่หา..สัญญาใจ

O เพื่อคอยเตือนดวงจิต..สัมฤทธิ์รู้
ว่าเพียงผู้เดียวนั้นที่ฝันใฝ่
บรรจบรูปแล้วยากเกินพรากไป
ตราบบรรลัยชีพม้วยลงด้วยกรรม

O เหมือนรอบบุญแรงบาปได้สาปส่ง
ตรึงจำนงคงอยู่ให้รู้สัม-
ผัส..อ่อนหวานน้อมแนบ..ที่แอบอำ-
ลงตอกย้ำอาลัยด้วยใครนั้น

O คล้ายติดตามมาทวง..บำบวงพากย์
ก่อนพลัดพรากเลือนลับ..แตกดับขันธ์
จึงเผยรูปรอยโจทก์..ชี้โทษทัณฑ์
ผูกรัดพันชีพเชื้อด้วยเยื่อใย

O ถวิลรูป..ฤๅเว้น-อยากเห็นหน้า
ละห้อยหาอาวรณ์..เกินผ่อนไหว
หรือบาปกรรมเคยสร้างแต่ปางใด
รุมเร้าใจตรึงมั่น..แต่สัญญา

O แม้นรอบกรรมวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก
จะเจือโศกเคล้าคลุกไปทุกหน้า
คงยอมรับชะตากรรม..ให้นำพา
ล่องลอยฝ่าอาวรณ์..อย่าผ่อนเลย

O หวังสบโทษทัณฑ์มี..เท่าที่สร้าง
พากย์เอ่ยอ้างเคยมี..จักคลี่เผย
เพื่อความอ่อนหวานละมุนอันคุ้นเคย-
จะรอให้ชิดเชยอย่างเคยมี

O ฤๅรับบุญร่วมบาตรแต่ชาติก่อน
จึงสุดผ่อนเพลาค่ารูปราศี
แรกบรรจบหัวใจจึงไหววี
พ้องความวาบหวามที่เคยมีมา

O คงตักบาตรร่วมขันแต่วันก่อน
ดาลถ้วนคำบวงอ้อนกลับย้อนหา
จำหลักความมุ่งมั่นลงสัญญา
เพื่อตรึงตราแต่ในน้ำใจเดียว

O จักรอคอยละห้อยเห็นอยู่เช่นนี้
รอ-ท่าทีแววตา..ละล้าเหลียว
รอ-ดวงใจปลิดปลิวด้วยนิ้วเรียว
เมื่อเจ้าเหนี่ยวเด็ดวางลง-กลางใจ

O รอคอยตราบ..พบกันในวันนี้
ก็วันที่รูปฝัน..พร้อมฝันใฝ่-
บรรจบหวานผ่านเจือ..สู่เนื้อใจ
ร่วมอาลัยผูกพันตามสัญญา

O รอคอยตราบ..พบกันในวันนี้
ในวันที่หวานละมุนและคุณค่า-
ได้เผยรูปย่างกราย..สบสายตา
ให้คุณค่าหวานล้ำ..เร่งกำลัง



-3-
คำข้าว และใจคน ..





O แต่..ร่วมบุญตักบาตร..อาวาสเหนือ
เพ่งจิตเพื่อรอบกุศลแต่หนหลัง
ได้สืบสานตอกย้ำเสริมกำลัง
ลงหยัดหยั่งทอนค่า..อัตตาตน

O ลงสองเข่ากรประนม..คอก้มต่ำ
บำบวงธรรมตรึกตรองครรลองผล
แว่วคำพระกล่าวกล่อม..เข้าล้อมลน
ก็แช่มชื่นเหลือล้นอยู่บนใจ

O เรียวนิ้วงามจับของประคองถวาย
แล้วหมอบกายหน้าก้ม, น้ำพรมใส่
เป็นน้ำมนต์บริกรรมพากย์ธรรมนัย
ป้องอาลัยอาวรณ์ให้ทอนแรง

O ราวหอมรื่นพัสตร์ห่ม..บังบ่มผิว
ร่ำลมริ้วผ่าวแนบ..เข้าแอบแฝง
นาสิกใกล้หอมอยู่..ฤๅรู้แปลง-
เปลี่ยนจากแหล่งพักตร์ละม่อม..กรุ่นหอมนั้น

O กลิ่นธูปและควันเทียน..ไหวเวียนอยู่
เมื่อตารู้..งามพิไลเริ่มไหวสั่น
ประกายวับวามอยู่เกินรู้-กัน
จนกราบพระคล้อยหัน..ก็พลันพบ

O งดงามนักเจ้าเอย..เมื่อเผยสู่
สบเนตรนิ่งงันอยู่เกินรู้หลบ
เกศินีนวลปรางสะอางครบ
จะเลือนลบจากใจอย่างไรพ้น

O แว่วพระสวดธรรมบท..ปรากฎเสียง
ความเรื่อยเรียงให้สดับ..อยู่สับสน
วงพักตร์หวาน, ธรรมนัย-แว่วไหววน
พร้อมอกหนึ่งอึงอล..อยู่บนยาม

O มาไหว้พระทำบุญ..เพื่อหนุนชาติ
หวังบำราศทุกข์โศกแห่งโลกสาม
ให้นัยธรรมหลอมเหลว..ส่วนเลวทราม
พาข่มข้ามขวากขวางที่วางรอ

O ด้วยศักดิ์ศรีชายผู้..ไม่คู้ต่ำ
ไม่อาจย่ำทางสู่..ท่านผู้ขอ
ตรองข้อธรรมร้อยเรียงย่อมเพียงพอ
เอาเติมต่อวิชชาเป็นอาภรณ์

O มาทำบุญถวายพระ..สังฆทาน
ให้พระผ่านนัยธรรมขึ้นย้ำสอน
แจ่มกระจ่างโศกสุขไปทุกตอน
แล้วรับพรรื่นล้ำ..พร้อมน้ำมนต์

O หอมกรุ่นรูปพัสตรา..เบื้องหน้านั้น
ก่อนค่อยผันพักตร์เหลียว..มาเกี่ยวผล-
จากรูปเผยสบต้อง..ตาของคน
ลุกลามอลวนไหวที่ในทรวง

O โพธิ์ยังคงระบัดใบ..เมื่อใจล่อง-
สู่พักตร์ผ่องเนตรวามที่ลามล่วง-
มาจับจองนัยคำ..ถ้อยบำบวง-
ให้โชนช่วงรอบกรรม..มุ่งบำเพ็ญ

O ศักดิ์สิทธิ์เสียจริงหนอ..คำขอนี้
จึงมือที่ผู้ใดมองไม่เห็น
คล้ายจับจูงชาติภพ..บรรจบ-เป็น-
นัยแฝงเร้นจดจ่อ...เฝ้ารอคอย

O อารามวัดเรือนไม้ที่ริมน้ำ
อีกครั้งที่รอบกรรมและคำถ้อย
พาบรรจบรูปแพงผู้แฝงรอย
ให้คนพลอยถวิลเห็นไม่เว้นวาย

O ใกล้เจดีย์โบสถ์เก่า..อันเก่าคร่ำ
คือคลื่นน้ำลมพลิ้วเป็นริ้วสาย
บนเรือนไม้นัยธรรม..แว่วรำบาย
ความมุ่งหมายพิสมัยแห่งใจคน

O รูปอดีตเจ้าหลวงนั้นตั้งเด่น
ที่บวงเซ่นเถ้าปวง..เริ่มร่วงหล่น
คือวัดโกษาวาส..ที่ชาติชน
เคยสืบผลธรรมพุทธโดยดุษณี

O ก้มกราบรูปองค์พระ..รูปพระพุทธ
เหลื่อมทองผุดผ่องตา..เรื้องราศี
พักตร์สงบงันอยู่..ช่วยชูชี-
วาตม์คนที่รุมร้อน..ได้ผ่อนลง

O ใกล้ใกล้ที่นั่งสงฆ์...ใกล้องค์พระ
แว่ววาทะกล่อมจิตให้คิดบ่ง-
เอาเสี้ยนแหลมแซมจิต..พาปลิดปลง
แล้วเสริมส่งรอบกรรมในสัมมา

O กราบองค์พระลมรื่นใจตื่นพร้อม
เมื่อคล้ายกรุ่นกลิ่นหอม...ละม่อมหน้า-
จะวาบไหวบริบทออกจดตา
ใจเอยแต่ละล้าเหลียวหาเงา

O เกษินีนวลปราง..หันข้างอยู่
คล้ายรอกู้ส่วนเสี้ยว..ความเปลี่ยวเหงา-
แห่งอาวรณ์รูปนั้นให้บรรเทา
ดูเถิด..คำพระเจ้า-ยืดยาวจริง

O แล้วก้มกราบรูปสงฆ์..บรรจงน้อม
ผมหล่นล้อมวงหน้า..จบหน้านิ่ง
เพียงชั่วยามรูปพิไล..หยุดไหวติง
กลับนานยิ่งในคะนึงของหนึ่งคน

O มาด้วยเพื่อนอีกสอง..ผู้ปองธรรม
เพื่อขัดค้ำครอบจิตจากพิษฉล
งามรูปลักษณ์กิริยาก็น่ายล
คล้าย-งามล้นล้ำล่วงถึงดวงใจ

O เงยหน้าเจ้า..หันหน้าเข้าหาเพื่อน
เนตรคล้อยเบือนสบกัน..ก็พลันไหว-
วาบหวามละลามล่วงสู่ทรวงใน
โอ้อกใครระทึกก้องดั่งกลองตี

O สบแล้วเมินเมียงหลบ..แล้วสบอีก
ด้วยสุดตาจะอาจปลีก...หลบหลีกหนี
ชั่วเงียบงันหัวใจ..กลับไหววี
ราวมือที่แฝงเร้น..บีบเค้นลง

O ช่างอ้อยสร้อยอ้อยอิ่ง..เสียยิ่งแล้ว
เนตรผ่องแผ้ว..แก้มคางเรียวร่างหงส์
ราวแทรกรูปดิ่งด่ำ..ให้ดำรง
แนบจำนงพาใจพลอยไขว่คว้า

O จนเสียงพระการุณ..บอกบุญ-แว่ว
เมื่อฝนหลั่งลงแล้ว..แน่แน่ว..ว่า-
งานสมโภชองค์พระ..สืบชะตา-
ยกช่อฟ้า..ขึ้นตั้งจะยังมี

O เชิญ..มาร่วมตักบาตรหนุนชาติภพ
คล้อยบรรจบคุณค่าและราศี
เสริมส่งวาสนาและบารมี
คล้ายวาทีตอบกลับ..จะรับคำ

O อีกเพียงสองสัปดาห์จะมาถึง
ให้รูปหนึ่งตักบาตรร่วมยาตรย่ำ-
พาจิตใจก้าวย่างสู่ทางธรรม
เพื่อโน้มนำสัมมา..จิตนารี

O มองหน้าแววอุทธัจก็ชัดแจ้ง
บรรโลมแต่งแก้มเนื้อจนเรื่อสี
ลมล่องน้ำหลากไหล..เงื่อนไมตรี-
ราวจะคลี่คลายบ่วง..คล้องดวงใจ

.... มีร่มบังกันให้พ้นไอแดด
ท่ามกลางแวดล้อมก้าวของบ่าวไพร่
ตาดแพรทองงามควรห่มนวลใย
จึงผ่องใสหยัดอยู่ไม่รู้จาง....

....มาร่วมบุญงานบวชฟังสวดพระ
หวังลดละ..ทุกข์ผองสิ้นหมองหมาง
แต่กราบก้มงามควรทุกส่วนนาง
ตราบเยื้องย่างสง่าล้วนให้ควรมอง....

O ราวว่าจินตภาพฟ้องให้มองเห็น
งามเกินเว้นตาพรับเมื่อจับจ้อง
กระโปรงผ้าสีพื้น, แพรผืนทอง-
คล้ายเหลื่อมสองภาพซ้อน..แต่ตอนนั้น

O เช้านี้ลมพลิ้วไหว..โลมไม้ดอก
คล้ายยั่วหยอกโยกให้..พุ่มไหวสั่น
ภุมรินเร่งรุดล้อมบุษบัน
เมื่อแรกวันเริ่มช่วงด้วย..ดวงไฟ

O อ้อยอิ่งกลาง-หมอกเช้าอันขาวขุ่น
คืออกอุ่นอาวรณ์-ผู้อ่อนไหว
ริ้วลมร่ำแผ่วผ่าน-ดอกมาลย์ไกว
เช่น-อาลัยถวิลอยู่..ไม่รู้วาง

O ร่อนเร่เสาะสุมาลย์อันหวานหอม
ผึ้งบินล้อมเรณู..แต่ตรู่สาง
ละม่อมรูปอิริยาและท่าทาง
ก็ล้อมขวางกักกันคอยบัญชา

O เฝ้าคอยมานับนานแต่กาลไหน
จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยหา
ห้วงคำนึงทั้งผอง, ในสองตา-
จึงเหมือนว่าประทับอยู่แต่ผู้เดียว

O หรือพิมพ์ลงสัญญาแต่คราที่-
ร่วมวาทีพร่ำพร้อง..รอข้องเกี่ยว
จะกี่ภพกี่ชาติ, สวาดิเกลียว-
จงรัดเหนี่ยวผูกกันนิรันดร

O อ่อนหวานศัพท์สำเนียงความเอียงอาย
เหมือนผุดพรายออกเผยจากเคยซ่อน
เติมแต่งรูปบัญชาให้อาวรณ์-
จำเริญตอนงดงามขึ้นล่ามดึง

O อุษากาลผ่านคล้อย..สูรย์ลอยเด่น
ค่อยแฝงเร้นความนัยส่งไปถึง
หวังอีกทรวงห่วงหา..จักตราตรึง
กับหวานซึ้งอาวรณ์..ที่ย้อนคืน

O รอเถิดรูปนิรมิตโศภิตผู้-
รอบแรงชู้โอบกระหวัด..อย่าขัดขืน
นัยหนึ่งเมื่อหยัดหยั่ง..จักยั่งยืน
อย่าคิดฝืนฝ่าหักแม้สักครา

O จะยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม
ภายใต้อ้อมแขนหวง..ผู้ห่วงหา-
ย่อมมีเพียงหอมหวานแห่งมารยา
รอเจ้าถาโถมลง..อย่างปลงใจ

O หมอกขุ่นขาวลับล่มกับลมร่ำ
เมื่ออกคร่ำครวญนั้น..คงสั่นไหว-
อยู่กับความปรารถนา..แรงอาลัย
ด้วยรูปพักตร์ผู้พิไล..ตรึงนัยน์ตา

O อ้อยอิ่งกลางแดดสาย..อบอายอุ่น
กับงามหนึ่งละเมียดละมุนด้วยคุณค่า
ลมโรยแผ่วพลิ้วสายปัดป่ายมา
คล้ายรอท่ารอทีผู้มีใจ

O หวังยิ่งกว่าภุมรินหลงกลิ่นหอม
คือ-หลงอ้อมแขนชู้..เกินกู้ไหว
หวังอาวรณ์เร้ารุม..เช่นขุมไฟ-
โหมเข้าใส่อกนั้น..ค่ำยันเช้า

O อย่าได้มีหมองหมาง..เป็นอย่างอื่น
ทุกตาตื่นหัวใจแต่ใฝ่เฝ้า
ถวิลหาอ้อมแขนห้อมแหนเงา
คอยโอบร่างรูปเยาว์..ค่ำเช้าเย็น

O รอคอยมานับนานแต่กาลไหน
จึงหัวใจแต่ละห้อยเฝ้าคอยเห็น
ห้วงคำนึงทั้งผอง, ล้วนผ่องเพ็ญ-
ของงามเด่นรูปพักตร์..เกินหักแล้ว


-4-
ดวงดอกฟ้า ..






O คล้ายในค่ำคืนยะเยียบ..แสนเงียบเหงา
เสียงผ่านโสตรุมเร้า..นั้น-เบาแผ่ว
เป็น - คำกรองครวญขับ..สำหรับแวว-
เนตรผ่องแผ้ว..อาจชะม้ายเหลือบชายมา

O หอมหวานแห่งอาลัย..รินไหลเซาะ
....ศุภสารเสนาะเสน่หา
จำลองใจมาในอักขรา
ด้วยจินตนาปรารภนิรันดร

....แสนระทมกรมสวาทระยำยับ
ดั่งสุเมรุทุ่มทับทรวงสมร
เพราะหมายโลมโฉมอินทร์อรชร
จึงรั้งรอนหักจิตเป็นนิจกาล

....คะนึงน้องดั่งปองปทุเมศ
ในขอบเขตมุจลินท์สระสนาน
แสนลำบากยากที่พ้นทรมาน
เพราะไม่หาญที่จะหักมาชมชู

....เชยสร้อยเสาวคนธ์โกมลมาศ
เมื่อลมลาดเพราะลอบเลียบอยู่
แต่ไกลไกลก็จะลักแลดู
แมลงภู่ร่อนร้องแต่เวียนชาย....

O หวังถึงจะเชยสร้อยสุคนธา
ปรารถนามณีสรวงที่ช่วงฉาย
ใจเอยเมื่อหาญกล้าขึ้นท้าทาย
จะยอมพ่ายแพ้ได้อย่างไรกัน

O มณีเดียวช่วงอยู่ไม่รู้ลับ
เพื่อรองรับอาลัยผู้ใฝ่ฝัน-
และหนึ่งความแหนหวงใต้ดวงวัน
ร่วมโอบขวัญรูปเยาว์..ฟังเว้าวอน

O เรื่องราวจากเพรงกาลอันนานเนิ่น
ผ่าน..เชื้อเชิญพร่ำพลอด..ความออดอ้อน
รติรสละเมียดละมุนอันสุนทร
ก็แทรกตอนดื่มด่ำลงรำบาย

....ถ้าเหาะได้เหมือนเหรันตยักษ์
เห็นจะหักได้สะดวกโดยง่าย
นี่สุดเอื้อมที่จะเอื้อมอาจกลาย
ปิ้มจะวายชีพเพราะถวิลมัว

....ถ้าสุมาลย์ร่วงหล่นพ้นสวรรค์
บ้างเล่าเถิดถ้ากระนั้นจะยังชั่ว
ถึงมิน้อมก้านให้ก็ไม่กลัว
ขอแต่ยั่วแย้มหน่อยพอแนมนวล

....สิอยู่ในมุจลินท์สินธุล้อม
เชิญประนอมไมตรีทรามสงวน
ซึ่งสุหร่ายภิปรายเปรียบมาทั้งมวล
ก็ไม่ควรแต่ว่าร้อนนั้นสุดแรง....

O หวังถึงดวงดอกฟ้า..น้อมมาสู่
รับนัยชู้จากชาย..รำบายแฝง-
ความอาวรณ์ใฝ่เฝ้า..ด้วยเจ้าแพง
อย่าหน่ายแหนงคมคำ..ที่รำพัน

O ฤๅเปรียบได้กับงาม..ของยามที่-
เงื่อนไมตรีจากเจ้า..รุมเร้าขวัญ
กลางอุสุมร้อนแรงของแสงวัน
พารอบฉันทาตื่นด้วยรื่นเย็น

O คืองามที่จะงาม..ทุกยามที่-
กอปรจริต..ท่วงทีอย่างที่เห็น
ทั้งแรงชู้ใฝ่เฝ้า..รุมเร้า-เป็น-
ความเอื้อเอ็นดูซึ้ง..รัดรึงทรวง

O หวังถึงเหินเหาะฟ้า..เอื้อมคว้าเอา-
งามรูปเยาว์, ฝ่าแถนทั้งแสนสรวง
ฤๅเปรียบปานอานุภาพอันทาบทวง
ด้วยรัก, หวงแหนนับ..ข้ามกัปกัลป์

.....เชิญรักอารมณ์ภิรมย์รัก
เชิญสมัครหมายขวัญมาน้อมขวัญ
เชิญสมานการโดยกระบวนบรรพ์
วานอย่าฉันทาเคียดรังเกียจกาย

.....เชิญเยื้อนเถิดอย่าถือประยูรยศ
เชิญประชดมุ่งมาดให้เหมือนหมาย
ขอเชิญน้องพร้องเสน่ห์สวาทชาย
กว่าจะวายทำลายชีพปลดปลง.....

O คำตัดพ้อต่อว่าแต่ครานั้น
หมายผูกพันพิสวาทด้วยชาติหงส์
หากครานี้ลึกล้ำด้วยจำนง
รอ-เสริมส่งคันธารสลงจดใจ

O ด้วยแรงรักปรารมภ์บรรสมสร้าง
จะกี่ขวากหลุมพรางฤๅขวางได้
เมื่อถวิลปรารถนา..แรงอาลัย
รอพร้อมให้สืบสมร่วมกลมเกลียว

O ใจเอย...ฤๅเคยคิด-สักนิดว่า-
เมื่อคุณค่าแฝงฝาก..เริ่มกรากเชี่ยว
เหลือแต่ต้องเตรียบใจด้วยนัยเดียว
รับทุกเสี้ยวส่วนงามที่ลามมา

O เห่เอย...เห่กล่อมละม่อมรูป
ความจะลูบโลมให้..อาลัยหา
กลางสนิทหลับฝัน..พี่สัญญา-
จะโอบรูปปรารถนา..ข้ามราตรี

O เห่เอย...เห่ช้าพญาหงส์
เจ้าสูงส่งด้วยสง่าและราศี
คำถนอมกล่อมชาติ..จักวาดวี
ให้ภิรมย์ดวงฤดีอย่ามีคลาย

O รอคอยจะพบกัน..ในวันพรุ่ง
เมื่อวันฟุ้งฟายดวงขึ้นช่วงฉาย
ถนอมเถิดรูปพิไลทั้งใจกาย
รอ-สองปลายสายสวาท..เข้า-พาดพัน


หมายเหตุ....
กลอนที่มีจุดนำหน้าทั้งหมด....เป็นเพลงยาว
ของพระยาตรัง...กวีในรัชสมัยรัชกาลที่ ๒




 

Create Date : 22 มีนาคม 2554
11 comments
Last Update : 3 เมษายน 2566 18:06:31 น.
Counter : 6082 Pageviews.

 

อ่า
ภาพสวยจังงงง ^__^

 

โดย: รสนิยม (รสนิยม ) 23 มีนาคม 2554 1:07:53 น.  

 

มารออ่านต่อค่ะ

 

โดย: medkhanun 23 มีนาคม 2554 7:39:20 น.  

 

มาแอบอ่านที่บล็อกนี้บ่อยๆค่ะ ...เลยขอแจ้งข่าวหน่อยนะ..พรุ่งนี้ ..เชิญชวนช่วยโลก กับโครงการ "ปิดไฟให้โลกพัก" วันที่ 26 มี.ค. นี้ ระหว่างเวลา 20.30-21.30 น.
อย่าลืมนะจ๊ะ

 

โดย: nuboonme 25 มีนาคม 2554 21:40:30 น.  

 

น่าเสียดายงานเก่าๆที่ถูกลบทิ้งไป
หากเก็บมากรองใหม่อย่างนี้จะมีงานงามอีกหลายชิ้นให้ชื่นชมกัน
ทุกบทที่บรรจงเขียนไว้เหมือนจบในแต่ละบทไม่ต่อเนื่อง
แต่เมื่อนำมาร้อยเรียงเข้าใหม่ด้วยกันอย่างนี้จำลองช่วงชีวิตได้หนึ่งช่วงเลย งดงามมากค่ะ

การทำงานเล็กๆให้เป็นงานใหญ่สักชิ้นเป็นเรื่องยากมาก
แต่เมื่องานสำเร็จลงแล้วคงอิ่มใจจนไม่อยากได้อะไรอีก
มีความเห็นว่าภาพบนสุดเหมาะกับบทเขียนและเพลงมากกว่า
ต้องการแยกภพชาติและกาลเวลาให้ชัดเจนใช่ไหมคะ

 

โดย: Peakroong 26 มีนาคม 2554 21:04:24 น.  

 

รสนิยม
สวัสดี...ภาพหาได้ตามเวปทั่วไปครับ...
แค่พิมพ์คำว่า อ.จักรพันธ์ โปษยกฤต ใน google



เม็ดขนุน...
จบแล้ว...



หนูบุญมี...
สวัสดีครับ



คุณปีกรุ้ง...
ครับ...เป็นเรื่องปกติที่งานเก่ามักมีข้อบกพร่องอยู่เสมอเมื่อเวลาผ่านไปแล้วกลับมาอ่านใหม่...การเอามาปรับปรุงจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ...

ที่จริงแล้ว...งานในนารีปราโมชแทบทั้งหมด เขียนให้กับคนในจินตนภาพที่ไม่มีตัวจริงมาตลอด...เมื่อจับมาร้อยเรียงต่อกันจึงสามารถทำให้เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องกันได้โดยไม่ต้องดัดแปลงมาก...นอกจากบทส่งบทรับที่จะต้องสัมผัสสระกัน

ผมแค่เขียนต่างเวลากันและต่างบริบทของปฏิสัมพันธ์เท่านั้นเอง...แต่ก็เป็นความรู้สึกที่มีให้คนคนเดียวกันมาตลอด

ทีนี้เมื่อเขาเดินออกมาสู่โลกแห่งความจริงแล้ว...งานที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้แทบทั้งหมดก็สามารถส่งมอบความหมายให้ได้เลยโดยตรง...ไม่ต้องเขียนใหม่อีก

 

โดย: สดายุ... 27 มีนาคม 2554 11:56:53 น.  

 

คุณสดายุ
ขอบคุณที่ชี้ให้เห็นความต่างของนฤมิตกรรมกับนวัตกรรมชัดเจนยิ่งขึ้นนะคะ
เห็นด้วยกับคุณ"อาชีพ จารอักษร" ที่เคยลงความเห็นไว้ในคอลัมน์หนึ่งว่า ความสำคัญและสาระที่ทำให้งานเขียนโดดเด่นคือที่มาของงานเขียน แต่คิดว่าอีกองค์ประกอบหนึ่งของที่มาก็คือจินตนภาพนี่เองทำให้งานมีเสน่ห์

(หนุ่มสาวที่พบรักในร่มพุทธศาสนาปัจจุบันหายากนะคะ
น่าจะเรียกว่าเป็นเพรงบุญมากกว่าเพรงกรรมหรือเพรงกาล)

 

โดย: Peakroong 27 มีนาคม 2554 17:59:15 น.  

 

คุณปีกรุ้ง...

สิ่งที่ทำให้งานเขียนโดดเด่นคือ...อารมณ์ที่ลงตัวกับเนื้อหาครับ...ไม่ใช่สาระเชิงอุดมคติที่จำต้องสำแดงความรู้สึกด้านดีอะไรพรรค์นั้นออกมาให้สังคมรับรู้เชิงโวหาร(สร้าง)ภาพพจน์ของผู้เขียน...

เพราะหากคนชอบสาระเช่นนั้นก็คงไปอ่านบทความทางวิชาการกันหมดแล้ว !

บทกลอนเพื่อชีวิตทั้งหลายจึง"ตายเร็ว"ที่สุดในการสังเกตุของผม...อยู่ได้ไม่ถึง 10-20 ปี

บท"เสียเจ้า"ของคุณอังคาร...จึงเป็นที่จดจำกล่าวขานกันมานับนาน...ทั้งๆที่โดยรูปแบบวรรณศิลป์แล้วไม่ได้โดดเด่นอะไรเลย...แต่ไปโดดเด่นที่อารมณ์ที่แสดงออกผ่าน"คำใหญ่คำโต"นั่นต่างหากทำให้บทนั้นโด่งดัง...

ทั้ง"ปรโลก".."โลกันต์".."ชั่วกัลปาวสาน".."ควักทิ้งทั้งแก้วตา"..ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ใช้คำเหล่านี้กันไม่เป็นครับ...เพราะการแสดงออกซึ่งอารมณ์รุนแรงสุดโต่งทำกันไม่เป็น..ซึ่งเรียกว่าสำแดงโวหารไม่เป็น...เพราะอ่านน้อย..รู้น้อย..จึงขาดความมั่นใจ...ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย

ทำไมผมจึงว่าบท "เสียเจ้า" ไม่งดงามในแง่วรรณศิลป์(ความไพเราะ)...เพราะการลงสัมผัสเลื่อนไปจนกระทั่งใช้คำแรกรับสัมผัสทำให้เสียจังหวะการอ่านไงครับ...รวมทั้งการใช้สรรพนามที่มีทั้ง"เจ้า" ทั้ง "สู"ปะปนกันอย่างสับสน...(ซึ่งคำว่า "สู"..ไม่น่าใช้กับผู้หญิงที่ตัวเองรัก)


เสียเจ้า

๑. เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง....มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า........ซบหน้าติดดินกินทราย ๚

๒. จะเจ็บจำไปถึงปรโลก...ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย......อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ ๚

๓. ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์....ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้..........ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ ๚

๔. แม้แต่ธุลีมิอาลัย........ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน..จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา ๚

๕. ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า...ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา......ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย ๚

อังคาร กัลยาณพงศ์

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2554 14:29:22 น.  

 

คุณสดายุ
คำใหญ่คำโตทำให้สัมผัสอารมณ์รุนแรงสุดโต่งจริงค่ะ
แต่ถ้าถามถึงบทกวีร่วมสมัยที่มาพร้อมๆกัน ในมุมมองของคนอ่าน
คงบอกว่าประทับใจในบทกวีของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์มากกว่า

ส่วนมุมมองของคนเขียนแล้วคงเหมือนที่คุณสดายุเคยเขียนไว้ในนี้
คนอ่านส่วนหนึ่งไม่แยกแยะงานเขียนกับชีวิตจริง ทำให้เหมือนขาดความมั่นใจจริงด้วยค่ะ น่าเสียดาย..

พอใจกับการอ่านและจินตนาการตามคนเขียนค่ะ
ถูกบ้างไม่ถูกบ้างก็พอใจเรา ใช่ไหมคะ

"วักทะเล เทใส่จาน รับประทานกับข้าวขาว"..เด็กรุ่นใหม่คงงง

 

โดย: Peakroong 28 มีนาคม 2554 17:25:44 น.  

 

คุณปีกรุ้ง...

ผมมีความเห็นว่า"คนเขียน"ที่"ไม่จริงใจกับตัวเอง"เหล่านั้นกำลังหลอกลวงคนอ่านเลยทำให้งานนั้นๆขาดความน่าสนใจ...

ไม่จริงใจกับตัวเองอย่างไร ?

ก็คือการเขียนสิ่งที่"ไม่รับใช้จิตวิญญาณตนเอง"...แต่พยายามเขียนในสิ่งที่"รับใช้สังคมหรืออุดมคติด้านดี" ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในตนอย่างแท้จริง...ซึ่งเป็นกันมาก...ที่ผมชอบเรียกว่าพวก "โวหารภาพพจน์"....

เมื่อตัวตนของตนเองไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับสิ่งที่เขียน..แต่พยายามเขียน.."ตามกระแส"..หรือ.."ตามแห่" เห็นเขาเขียนกันก็อยากเขียนบ้าง....งานที่ออกมามันก็ฝืนความรู้สึกคนอ่าน...

เหมือนคนที่เขียนบทกลอนเห็นอกเห็นใจชาวนา กรรมกร...แต่ไม่เคยรับรู้ว่าชีวิตเขาเหล่านั้นเป็นอยู่อย่างไรอย่างแท้จริง...แค่เห็นในข่าวทีวี หรือ หนังสือพิมพ์ แล้วจะมานั่งหลับตาเขียนบทกลอนสะท้อนสังคมอย่างไรได้....

กลอนการต่อสู้ทางชนชั้นแบบที่ จิตร ภูมิศักดิ์ หรือ นายผีเขียน นั้นเมื่อมองดูที่ตัวตนคนเขียนแล้ว..ก็เห็นถึงการจับอาวุธต่อสู้อำนาจรัฐจนตัวตายในป่าทั้งคู่..."ไม่เคยออกมามอบตัวเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยใส่สูทนั่งในสภาผู้แทนหน้าสลอนแต่อย่างใด"...

คนทั้งคู่จึงพูดได้ว่ามีจิตวิญญาณที่ซื่อตรงต่อบทกลอนที่เขียนเหล่านั้นอย่างแท้จริง....ไม่ใช่ฝืนเขียนแบบเด็กรุ่นกระเตาะเริ่มดัดจริตทั้งหลายที่ไม่เคยรู้จักความยากลำบากใดๆ...แล้วมาทำท่าขนลุกขนพองอยากล้มล้างอำนาจรัฐขึ้นมาเพียงไปฟังเขากล่อมหูมาจากเวทีราชประสงค์พวกนั้น....55

คุณเนาวรัตน์ ก็เป็นคนหนึ่งที่ผมชอบอ่านงานมาตั้งแต่เขียนช่วงรุ่นหนุ่มจาก.."คำหยาด" นั่นแล้ว เพียงแต่หลังๆผมเห็นพัฒนาการทาง"ง่ายๆมากขึ้นในการใช้คำและในแง่การลดสัมผัสลง" ที่เขียนให้เครือผู้จัดการ ก็ไม่ค่อยประทับใจเท่าไรในรูปแบบปัจจุบัน...

งานของหมี่เป็ด หรือ มนตรี ศรียงค์ รวมทั้งของ วรภ วรภา เป็นรูปแบบที่ผมชอบในปัจจุบันครับ

 

โดย: สดายุ... 28 มีนาคม 2554 18:13:16 น.  

 

รูปดาราที่คุณเอามาประกอบชื่ออะไร กลอนคุณแต่งเองหรือเปล่า ยาวอย่างนี้คงใช้เวลานานนะครับ

 

โดย: ท่าจีน IP: 125.26.54.217 28 มีนาคม 2554 21:21:38 น.  

 

รักครับ

 

โดย: อัมพร IP: 125.26.210.219 11 พฤษภาคม 2554 0:20:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.