เรื่อง : The Doomsday Key (Sigma Force 6)เขียนโดย : James Rollinsสนพ. : Orion (21 Jan 2010)จำนวนหน้า : 512 หน้าภาษา : อังกฤษรายละเอียดจากปกหลังเกิดการฆาตกรรมสามศพในสามทวีป เหยื่อคือ อาจารย์ด้านพันธุ์ศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันในประเทศอเมริกา นักโบราณคดีแห่งวาติกันในกรุงโรม...ประเทศอิตาลี และ ลูกชายของวุฒิสมาชิกคนดัง...ในประเทศมาลี - ร่างกายของพวกเขาถูกตราด้วยสัญลักษณ์โบราณที่ลึกลับและน่าหวาดหวั่น ... เครื่องหมายไม้กางเขน (Cross) ของดรูอิด (Druid) นอกรีตเหยื่อฆาตกรรมที่แปลกประหลาดเหล่านี้นำเกรย์ เพียซ (Commander Gray Pierce) แห่งหน่วยซิกม่า (Sigma) สู่การตามล่าระดับนานาชาติ เพื่อจับกลุ่มที่มีอำนาจมหาศาลและกุมคลังอาหารของโลก เกรย์จะต้องไขปริศนาคำใบ้จากอดีตด้วยการช่วยเหลือจากคนที่เขาไม่อาจวางใจได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูพลางเอาชีวิตรอดจากนักฆ่าด้วยแต่...การกอบกู้โลกจะต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล และไม่ช้า เขาก็พบว่าตัวเองจะต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบาก.......เล่มนี้เป็นเล่มที่หกของซีรียส์ Sigma Force นะคะ เล่มอื่นๆ ก่อนหน้าคือ- Sandstorm (1)- Map of Bones (2) - Black Order (3)- The Judas Strain (4)- The Last Oracle (5)ขอบอกว่าปกหลังโปรยได้ธรรมดามากมายสำหรับเล่มนี้ ซึ่ง...สนุกมากๆๆ ค่ะ พี่จิมไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย ((แม้จะรู้สึกว่า The Last Oracle ดร็อปลงมาหน่อย The Doomsday Key ดึงขึ้นกลับไปสนุกมากๆ อีกแล้ว >_< ))ก่อนจะเข้าเรื่อง พี่จิมเกริ่นด้วยข้อเท็จริงทางประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์เช่นเคยค่ะข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์คือ- ในช่วงศตวรรษที่ 11 พระเจ้าวิลเลี่ยมแห่งอังกฤษได้สั่งให้มีการสำรวจประชากรในอาณาจักรอย่างละเอียด โดยให้เหตุผลว่าจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการเก็บภาษี โดยให้ชื่อว่า Domesday Book ((บันทึกประชากร)) แต่มีปริศนาเกี่ยวกับบันทึกนี้มากมาย คือ...มีการสั่งให้ทำขึ้นอย่างเร่งด่วน เป็นความลับ และ...บางพื้นที่ที่ถูกบันทึกมีเขียนคำว่า 'Wasted' เป็นภาษาละติน ซึ่ง...ทำให้บันทึกเล่มนี้ได้รับชื่ออีกชื่อว่า Doomesday Book ((บันทึกวันโลกาวินาศ))- ในช่วงศตวรรษที่ 12 บาทหลวงชาวไอริชคนหนึ่งชื่อ Mael Maedoc ซึ่งภายหลังได้รับการตั้งให้เป็น Saint Malachy เคยมีภาพทำนายขึ้นมาระหว่างการเดินทางแสวงบุญไปที่โรม ท่านได้บันทึกภาพทำนายเอาไว้ เป็นรหัสทำนายของโป๊บ 112 องค์ บันทึกนี้ได้หายไปและถูกค้นพบอีกครั้ง ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่วาติกัน ... คำทำนายของท่านเป็นจริงอย่างน่าประหลาดจนถึงโป๊บองค์ปัจจุบัน โป๊บเบเนดิกซ์ที่ 16 ซึ่งเป็นองค์ที่ 111 ... คำทำนายบอกว่า...โป๊บองค์ต่อไปคือ 'ปีเตอร์แห่งโรมัน' ซึ่งจะเป็นผู้ได้เห็นวันสิ้นสุดของโลกข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ระหว่างปี 2006-2008 ประชากรผึ้งประมาณ 1/3 ได้หายไปจากประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และประเทศในทวีปยุโรป รังผึ้งว่างเปล่าคล้ายกับว่าเหล่าผึ้งได้บินจากไปและจะไม่มีวันบินกลับมาอีกแล้ว เหตุการณ์นี้ได้รับการเรียกขานว่า Colony Collapse Disorder ...มีข่าวประโคมถึงความลึกลับนี้มากมาย แต่ไม่มีการไขความจริงให้คนทั่วไปได้รับรู้คำตอบอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว มันน่ากลัว แต่...เป็นความจริงไอซ์ว่าเกริ่นแค่นี้ก็ทำให้ตื่นเต้นที่จะอ่านยิ่งกว่าปกหลังหลายเท่า >_<....เรื่องมันเริ่มต้นจากการฆาตกรรมล้างบางศูนย์ทดลองปลูกข้าวโพดที่ได้รับการตัดต่อทางพันธุกรรมของบริษัท Viatus ในประเทศมาลี ... เจสัน กอร์แมน...ลูกชายของวุฒิสมาชิกที่เข้าไปดูแลงานที่นั่นถูกสังหารโหด พร้อมด้วยตราประทับรูปเครื่องหมายไม้กางเขนของพวกนอกรีต ((Pagan Cross) หน้าตาเป็นเหมือนกากบาทอยู่ในวงกลมค่ะ)) บนหน้าผากก่อนตายเจสันได้อีเมล์ส่งผลการวิจัยส่วนหนึ่งไปให้พ่อของเขา ซึ่งพ่อของเขาได้ส่งต่อให้ ดร. มัลลอยด์...อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาในพรินซ์ตัน เพนท์เตอร์ โครว์ (Painter Crowe) ผู้อำนวยการของ Sigma จึงได้ส่งมังค์ (Monk) ไปสัมภาษณ์ ดร. มัลลอยด์ แต่กลับพบว่า ... มังค์ไปถึงสายเกินไป ดร. มัลลอยด์ ซึ่งได้ค้นพบความผิดปกติทางพันธุกรรมของตัวอย่างข้าวโพดถูกฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว ศพของเขามีตราประทับแบบเดียวกันขณะเดียวกันนั้นเองในวาติกัน...ประเทศอิตาลี บาทหลวงจีโอวานี่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีถูกฆ่าทิ้ง โดยที่ผู้ที่ได้พบเห็นเขาเป็นคนสุดท้ายและถูกลูกหลงเข้าขั้นโคม่าไปด้วยคือ วิโก้ เวโรน่า (Vigor Verona) ... ลุงของราเชล (Rachel Verona) ซึ่งเป็น Carabinieri ((ตำรวจที่สืบสวนด้านศิลปวัฒนธรรมโดยเฉพาะ)) ... บาทหลวงจีโอวานี่ถูกฆ่าพร้อมกับตราประทับเช่นกัน นอกจากนั้นเขายังตายโดยการปกป้องและส่งของสิ่งหนึ่งให้กับวิโก้ และราเชลก็เก็บมาได้ มันคือถุงหนังซึ่งมีรูป Pagan Cross ด้านหนึ่งและรูป Spiral อีกด้านหนึ่ง ข้างในบรรจุของซึ่งเป็นกุญแจไขความลับสำคัญเอาไว้ราเชลที่ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร ได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากเกรย์ซึ่งเป็นแฟนเก่าหน่วยซิกม่าจึงแยกกันสืบคนละทาง เกรย์กับโควาสกี้ไปอิตาลี / เพนท์เตอร์กับมังค์ไปสวีเดน ... ถิ่นของบริษัท Viatus โดยที่ไม่รู้เลยว่า ต่างคนต่างสืบคดีที่เกี่ยวข้องกันอยู่ และถูกชักใยโดยศัตรูเก่า ... The Guild แน่นอนว่า...ความจริงเบื้องหลังทุกอย่าง มีอนาคตของโลกเป็นเดิมพันการดำเนินเรื่องก็จะเป็นการดำเนินเรื่องสลับกันไประหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฝั่งของเกรย์และฝั่งของเพนท์เตอร์ ก่อนจะมาบรรจบกันตอนท้าย คล้ายๆ กับซีรียส์ซิกม่าเล่มก่อนๆ นะคะถึงแม้ว่าหนังสือในชุดของ Sigma จะค่อนข้างมี step คล้ายๆ กัน แต่...รายละเอียดที่น่าสนใจต่างกัน และพี่จิมก็ยังหักมุมให้คนอ่านเดาไม่ถูกเป็นระยะๆ ฉากในเรื่องนี้จะเน้นที่ยุโรปแฮะ อิตาลี สวีเดน อังกฤษ และฝรั่งเศส ((มีอเมริกาตอนต้นๆ เรื่องหน่อย))อ่านแล้วสนุกและตื่นเต้นมากๆ ค่ะ ทั้งประวัติศาสตร์ ตำนาน ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ก็น่าสนใจทั้งนั้นประวัติศาสตร์และตำนานหลักๆ ก็เกี่ยวข้องกับ Doomsday Book และคำทำนายของเซ็นต์มาลาคีนะคะ นอกจากนั้นก็จะมีเกี่ยวกับพวก Celtic และ Neolithic ในประเทศอังกฤษวิทยาศาสตร์เน้นไปที่การตัดต่อพันธุกรรมเลยค่ะ พวกอาหาร GM หรือ Genetically Modified Food มีอะไรน่ากลัวเยอะมาก ในเล่มจะมีพูดถึงการนำเอาพวกแบคทีเรียที่มีความอดทนสูงต่อสภาวะอากาศที่รุนแรง มาตัดต่อกับพืชต่างๆ ผลิตผลที่ได้ก็เช่น ข้าวโพดที่ต่อต้านแมลง ข้าวโพดที่เติบโตในที่แล้งได้ดี ฯลฯ ... แต่...บางอย่างก็มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนที่บริโภคเข้าไป เช่น ในปี 2001 มีบริษัทที่ผลิตข้าวโพดซึ่งกินเข้าไปแล้วจะทำให้เป็นหมันได้ ... เพื่อลดประชากรของมนุษย์ ... ประเทศซิมบับเวและแซมเบียถึงกับประกาศห้ามนำเข้าอาหารที่ได้รับการตัดต่อพันธุกรรมทุกชนิดเลยทีเดียวCode breakingงานนี้โค้ตจะเกี่ยวกับพวก Celtic Cross และเครื่องหมายของ Pagan อื่นๆ ค่ะ ทั้งหมดนี้ประสานร้อยเรียงขึ้นมาเป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน ครบทุกรสชาติจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัย การไขรหัส ปัญหาการเมืองระหว่างองค์กร และมีความรักแทรกเข้ามาด้วยที่ประทับใจและทึ่งมากๆ กับหนังสือของพี่จิมทุกเล่ม ((ที่ไม่ใช่แนวแฟนตาซีในนามปากกา James Clemens)) ทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงหมดค่ะ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ สถานที่ เครื่องมือเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ พี่จิมทำการบ้านมาดี ข้อมูลแน่นและไม่มั่ว ((นานๆ ทีก็มีพลาดบ้างนิดหน่อย ฮา)) อ่านแล้วหวือหวาตื่นตาตื่นใจดีมากๆตัวละครมีการพัฒนาจากเล่มก่อนหน้าขึ้นมาเรื่อยๆ มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามา ตัวละครเก่าเติบโตขึ้น ... ถึงจะอ่านแยกเล่มได้ แต่ไอซ์ก็ขอแนะนำให้อ่านเรียงเล่มตามลำดับนะคะ จะได้อถรรสมากกว่าค่ะ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็น่าสนใจ อ่านแล้วรู้สึก "แคร์" ตัวละครมาตั้งแต่เล่มแรก พี่จิมบรรยายตัวละครได้ดีและมีพัฒนาการค่ะ ^^ตอนนี้ชุดซิกม่า 6 เล่ม ไอซ์ยกให้เล่มนี้สนุกพอๆ กับ Maps of Bones ค่ะ เรียงตามความชอบส่วนตัวของไอซ์ตามนี้เลย- Map of Bones (2) - The Doomsday Key (6)- Black Order (3)- The Judas Strain (4)- Sandstorm (1)- The Last Oracle (5)แต่ก็รับรองว่า เล่มที่สนุกน้อยที่สุดของพี่จิม ก็ยังมาตรฐานสูงกว่านักเขียนแนวๆ นี้อีกหลายคนค่ะ ((ยกหางกันสุดฤทธิ์ 555))หนังสือของ James Rollins ไม่ได้มีแค่ความบันเทิง แต่บรรจุด้วยสาระน่าคิดจากข้อมูลที่ทำการบ้านมาอย่างดี ประสานระหว่างประวัติศาสตร์ ตำนาน วิทยาศาสตร์ กับการ "บู๊" ได้อย่างลงตัว สำนวนดี การดำเนินเรื่องกระชับ พล็อตแน่น มีอะไรให้เซอร์ไพร์ซอยู่เรื่อยๆ ตลอดเรื่อง... เป็นงานของนักเขียนน้อยคนมาก ที่ไอซ์เฝ้ารอให้ออกแต่ละเล่มอย่างใจจดใจจ่อค่ะ ^^เชียร์เล่มนี้และทุกเล่มในชุด Sigma ค่ะ แต่ผลงานเก่าๆ ของพี่จิมก็สนุกนะคะ แต่จะเน้นแนวบู๊ๆ มากกว่า ...แน่นอนว่า ท้ายเล่มนี้พี่จิมก็แนะนำตำราสำหรับผู้สนใจอยากไปค้นคว้าหาความรู้ต่อดังนี้ค่ะ- The History of the Celtic Cross -> The Golden Thread of Time- The History of Neolithic England -> Kingdom of the Ark- Saints -> How the Irish Saved Civilization และ The Quest for the Celtic Key - Genetically Modified Food -> Seeds of Deception และ Seeds of Destruction - Bees -> A Spring without Bees......และ...ระหว่างอ่านเรื่องนี้ ไอซ์อ่านไปเปิดหาข้อมูลไปค่ะ มีอะไรที่น่าสนใจและน่านำไปค้นข้อมูลต่อเยอะมากๆ เลย ขอบันทึกไว้เตือนความจำตัวเองนะคะ- Domesday Book - Saint Malachy Prophecy - Druid - Black Madona - Peat Bog - Stone Circle - Akershus Castle- Extremophile พวกแบคทีเรียหรือสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโตได้ใน extreme condition จึงถูกนำมาใช้ในการตัดต่อเสริมพันธุกรรมของพืชทางเกษตร เพื่อให้สามารถปลูกได้ในสถานที่ซึ่งแห้งแล้ง หรือมีแมลงมาก ฯลฯ- Bardsey Island สถานที่ฝังศพของเมอร์ลิน?- Curse of Ham- Fomorian- Clairvaux Abbey ที่ฝังศพของเซนต์มาลาคี?- Club of Rome- Svalbard Seed Vaultสปอยล์ The Doomsday Keyอ่านจบแล้วมานึกว่าอยากจะทำเรื่องย่อเก็บไว้สักหน่อย เพราะเวลาจะอ่านเล่มต่อไปจะได้ไม่ต้องนึกนาน แต่...พอมานั่งมองจอแล้ว นึกไม่ออกว่าจะย่อยังไงเลยทีเดียว เนื้อหามันเยอะมากกกกกก >_<- เรื่องของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้เกิดการฆาตกรรมสามศพนั้นก็เป็นเหตุจากบริษัท Viatus ซึ่งมี Ivan Karlsen เป็นเจ้าของ ... ความจริงอิวานมีเจตนาที่ดี ((ล่ะมั้ง)) คือ เขาเห็นว่าการเติบโตของประชากรโลกไม่สัมพันธ์กับปริมาณอาหารบนโลก จากโมเดลต่างๆ พบว่า หากปล่อยให้ประชากรเพิ่มไปเรื่อยๆ แบบนี้ อนาคตประชากรมนุษย์จะต้องสาปสูญไปถึง 90% ดังนั้น...เขาจึงเสนอวิธีการคล้ายๆ กับ Eugenic ... กำหนดจำนวนประชากร ด้วยการตัดต่อพันธุกรรมของเมล็ดพืช เช่น ข้าวโพด- แบคทีเรียหรือเชื้อราที่นำมาใช้ในการตัดต่อพันธุกรรมข้าวโพดนี้ มาจาก bog mummy ที่ค้นพบจากหมู่บ้านซึ่งได้รับการระบุในบันทึก Domesday ว่าเป็น wasted นั่นเอง ... สมัยก่อนนั้นเกิดโรคระบาดจากราชนิดนี้ คือทำให้อาหารที่กินไปไม่ได้รับการย่อยและดูดซึม ยิ่งกินยิ่งหิวโหย คนทั้งหมดหิวตาย โดยมีเห็ดเติบโตอยู่ในอวัยวะในช่องท้อง- คนที่ค้นพบเชื้อที่ว่าก็คือบาทหลวงจีโอวานนี่นั่นเอง เขาเป็นนักโบราณคดีที่ obsess เกี่ยวกับ Black Madona ...- พวกเกรย์ที่สืบๆ ไปก็เลยได้สืบถึงประวัติศาสตร์สมัยก่อนที่เกาะ Bardsey ซึ่งก่อนโน้นมีพวก Fomorian ซึ่งเคยทำสงครามกับพวก Celtic มีอิทธิฤทธิ์ในการเศกโรคระบาด ... ภายหลังสงครามสงบก็เลยถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้กับพวก Celtic- The Doomsday Key คือยารักษาโรคระบาดนี้- Black Madona เหมือนกับเทพธิดาที่มีพลังในการรักษา- นิยายในเล่มสรุปว่า ความจริงแล้วพวกที่เคยต่อสู้กับพวก Celtic จริงๆ แล้วเป็นชาวอียิปต์ที่อพยพมาอยู่แถวนี้ ((มีหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์)) ดังนั้น Black Madona ก็เป็นเจ้าหญิงอียิปต์ และ The Doomsday Key ที่เป็นยารักษานั้น จริงๆ แล้วก็เป็นสูตรที่ใช้ในการรักษาศพของมัมมี่- Celtic Cross จริงๆ แล้วคล้ายคลึงกับเครื่องมือในการวัดทางวิศวกรรม ... คล้ายๆ กับ theodolite ... ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่ามาจากอียิปต์ เพราะอียิปต์ก็มีความชำนาญด้านนี้ เอิ๊ก- Pagan Cross ซึ่งมีลักษณะเหมือนวงกลมที่ถูกแบ่งออกเป็นสีส่วนด้วยกากบาท มองได้อีกอย่างว่าเป็นเครื่องหมาย quartered earth ซึ่งก็หมายถึงโลกนั่นเอง ส่วน spiral คือ "การเดินทางของวิญญาณ" - ของในซองหนังที่ราเชลพบก็คือ นิ้วของมัมมี่เจ้าหญิงอียิปต์ ซึ่งเนื่องจากเธอมีผิวสีเข้ม จึงน่าจะเป็นที่มาของ Black Madona....ในส่วนของตัวละครในเรื่อง - จากเล่มที่แล้วที่ ซิกม่าโดนบุกยึดและทำลาย Sean McKnight ถูกฆ่าไป TT^TT Sigma ก็มีคนมาควบคุมใหม่ ทำให้เพนท์เตอร์ทำงานลำบากมากมาย- มังค์กลับมาเป็นปกติและเริ่มปฏิบัติการได้แล้ว ((ต้นๆ เรื่องยังไม่ได้ แต่สถานการณ์บังคับ))- คู่หูของมังค์คือ John Creed ซึ่งไอซ์ชอบเลยล่ะ ... พี่จิมดันให้ตายซะตอนหลังได้ ทำเอาอึ้ง- เล่มนี้เพนท์เตอร์ลุย field work เต็มตัว ชอบมากๆ ค่ะ เขาช่างฉลาด ว่องไว และก็เท่ห์สุดๆ - ความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์กับราเชลดูเหมือนจะจบลงในเล่มนี้ เพราะท้ายๆ เป็นการสั่งลาล่ะ- ได้รู้จัก Seichan มากขึ้น ((เป็นตัวละครที่ชอบอยู่แล้วนะคะ)) เธอเข้าร่วมทีมกับเกรย์ โดยมี cover ว่าต้องการกลับคืนไปสู่ Guild เพื่อสืบหาตัวจริงของผู้นำกิลด์ ... มาเฉลยตอนหลังว่า จริงๆ แล้วเพนท์เตอร์เป็นคนส่งเธอเข้าไปเองแหละ และตอนสุดท้ายเธอที่หลงรักเกรย์อยู่ก็มีความสัมพันธ์กับเกรย์และได้เข้ามาทำงานในซิกม่าด้วย ... เล่มต่อไปเธอคงจะมีบทบาทในฝ่ายดีมากขึ้นล่ะมั้ง- ชอบทั้งเพนท์เตอร์และเกรย์ค่ะ เท่มากๆ ทั้งคู่เลย ชอบมากเป็นพิเศษเวลาที่เพนท์เตอร์ออกฟิวด์เวิร์ค ^^- ปิดท้ายด้วยเพนท์เตอร์ได้ศพของคนที่เป็น Echelon คนหนึ่งในกิลด์ ... พอโกนผมออก ตรงศีรษะด้านหลังมีสัญลักษณ์ประหลาดอยู่ด้วย คล้ายๆ กับ Freemason แต่ก็ไม่ใช่ ((ดูแล้วคล้ายๆ กับ Freemason ผสมกับธงของมุสลิมเลยอ่า)) ก็ต้องรอไขปริศนากันต่อไป- อยากอ่าน The Devil Colony ซึ่งเป็น Sigma เล่ม 7 แล้วค่ะ หวังว่าพี่จิมจะรักษาระดับความสนุกให้สูงขึ้นไปอีกน้า >_<แถมท้ายด้วยรายชื่อผลงานของพี่จิมทั้งหมดเลยนะคะในนามปากกา James Rollins- Subterranean ... เล่มนี้เป็นเล่มแรกที่อ่าน และทำให้ติดตามงานของพี่จิมมาตลอดค่ะ อ่านมาตั้งแต่ออกใหม่ๆ เลยล่ะ >_<- Excavation- Deep Fathom ... เพิ่งนึกออกว่ายังไม่ได้อ่านเล่มนี้เลย หาหนังสือไม่ได้ T^T- Amazonia- Ice Hunt- Sandstorm (Sigma 1)- Map of Bones (Sigma 2) ... มีแปลเป็นไทยแล้ว ใช้ชื่อ "สมบัตินักบุญ" - Black Order (Sigma 3) ... มีแปลเป็นไทยแล้ว ใช้ชื่อ "รหัสพระกาฬ"- The Judas Strain (Sigma 4)- The Last Oracle (Sigma 5)- The Doomsday Key (Sigma 6)- Altar of Eden ... เพิ่งออกปกแข็งอะค่ะ รอปกอ่อนอยู่ >_<- Jake Ransom and the Skull King's Shadow ... อันนี้เป็นวรรณกรรมวัยรุ่นล่ะ ยังไม่ออกปกอ่อนเช่นกันค่ะ- The Devil Colony ... ซิกม่าเล่ม 7 จะออกปกแข็ง วันที่ 3 ส.ค. ปีนี้ เมื่อไหร่จะได้อ่านก็ไม่รู้ แง้ในนามปากกา James Clemens* ซีรียส์ Banned & the Banished มี 5 เล่มจบ- Wit'ch Fire - Wit'ch Storm- Wit'ch Star- Wit'ch Gate - Wit'ch War สนุกมากกกกกกกค่ะ อ่านแล้ววางไม่ลงเลย >_<* อีกซีรียส์คือ Godslayerเพิ่งออกมาสองเล่มคือ- Hinterland- Shadow Fall ไอซ์ยังไม่ได้อ่านสองเล่มนี้นะคะ ซื้อมาดองไว้ รอให้ออกครบก่อน ซึ่ง...ไม่รู้ว่าจะออกเมื่อไหร่ อยากให้พี่จิมเขียนหนังสือเร็วกว่านี้อีก >_<ดู Index รายชื่อหนังสืออื่นๆ ที่ไอซ์ได้รีวิวไปแล้วตามลิงก์ข้างล่างค่ะ - หนังสือภาษาอังกฤษIndex Bookshelf : English Books- หนังสือแปลIndex Bookshelf : Translated Books- หนังสือภาษาไทยIndex Bookshelf : Thai Books Create Date : 09 พฤษภาคม 2553 Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 13:22:28 น. 13 comments Counter : 6913 Pageviews. ShareTweet
สปอยล์ The Doomsday Keyอ่านจบแล้วมานึกว่าอยากจะทำเรื่องย่อเก็บไว้สักหน่อย เพราะเวลาจะอ่านเล่มต่อไปจะได้ไม่ต้องนึกนาน แต่...พอมานั่งมองจอแล้ว นึกไม่ออกว่าจะย่อยังไงเลยทีเดียว เนื้อหามันเยอะมากกกกกก >_<- เรื่องของเรื่องทั้งหมดที่ทำให้เกิดการฆาตกรรมสามศพนั้นก็เป็นเหตุจากบริษัท Viatus ซึ่งมี Ivan Karlsen เป็นเจ้าของ ... ความจริงอิวานมีเจตนาที่ดี ((ล่ะมั้ง)) คือ เขาเห็นว่าการเติบโตของประชากรโลกไม่สัมพันธ์กับปริมาณอาหารบนโลก จากโมเดลต่างๆ พบว่า หากปล่อยให้ประชากรเพิ่มไปเรื่อยๆ แบบนี้ อนาคตประชากรมนุษย์จะต้องสาปสูญไปถึง 90% ดังนั้น...เขาจึงเสนอวิธีการคล้ายๆ กับ Eugenic ... กำหนดจำนวนประชากร ด้วยการตัดต่อพันธุกรรมของเมล็ดพืช เช่น ข้าวโพด- แบคทีเรียหรือเชื้อราที่นำมาใช้ในการตัดต่อพันธุกรรมข้าวโพดนี้ มาจาก bog mummy ที่ค้นพบจากหมู่บ้านซึ่งได้รับการระบุในบันทึก Domesday ว่าเป็น wasted นั่นเอง ... สมัยก่อนนั้นเกิดโรคระบาดจากราชนิดนี้ คือทำให้อาหารที่กินไปไม่ได้รับการย่อยและดูดซึม ยิ่งกินยิ่งหิวโหย คนทั้งหมดหิวตาย โดยมีเห็ดเติบโตอยู่ในอวัยวะในช่องท้อง- คนที่ค้นพบเชื้อที่ว่าก็คือบาทหลวงจีโอวานนี่นั่นเอง เขาเป็นนักโบราณคดีที่ obsess เกี่ยวกับ Black Madona ...- พวกเกรย์ที่สืบๆ ไปก็เลยได้สืบถึงประวัติศาสตร์สมัยก่อนที่เกาะ Bardsey ซึ่งก่อนโน้นมีพวก Fomorian ซึ่งเคยทำสงครามกับพวก Celtic มีอิทธิฤทธิ์ในการเศกโรคระบาด ... ภายหลังสงครามสงบก็เลยถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ให้กับพวก Celtic- The Doomsday Key คือยารักษาโรคระบาดนี้- Black Madona เหมือนกับเทพธิดาที่มีพลังในการรักษา- นิยายในเล่มสรุปว่า ความจริงแล้วพวกที่เคยต่อสู้กับพวก Celtic จริงๆ แล้วเป็นชาวอียิปต์ที่อพยพมาอยู่แถวนี้ ((มีหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์)) ดังนั้น Black Madona ก็เป็นเจ้าหญิงอียิปต์ และ The Doomsday Key ที่เป็นยารักษานั้น จริงๆ แล้วก็เป็นสูตรที่ใช้ในการรักษาศพของมัมมี่- Celtic Cross จริงๆ แล้วคล้ายคลึงกับเครื่องมือในการวัดทางวิศวกรรม ... คล้ายๆ กับ theodolite ... ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่ามาจากอียิปต์ เพราะอียิปต์ก็มีความชำนาญด้านนี้ เอิ๊ก- Pagan Cross ซึ่งมีลักษณะเหมือนวงกลมที่ถูกแบ่งออกเป็นสีส่วนด้วยกากบาท มองได้อีกอย่างว่าเป็นเครื่องหมาย quartered earth ซึ่งก็หมายถึงโลกนั่นเอง ส่วน spiral คือ "การเดินทางของวิญญาณ" - ของในซองหนังที่ราเชลพบก็คือ นิ้วของมัมมี่เจ้าหญิงอียิปต์ ซึ่งเนื่องจากเธอมีผิวสีเข้ม จึงน่าจะเป็นที่มาของ Black Madona....ในส่วนของตัวละครในเรื่อง - จากเล่มที่แล้วที่ ซิกม่าโดนบุกยึดและทำลาย Sean McKnight ถูกฆ่าไป TT^TT Sigma ก็มีคนมาควบคุมใหม่ ทำให้เพนท์เตอร์ทำงานลำบากมากมาย- มังค์กลับมาเป็นปกติและเริ่มปฏิบัติการได้แล้ว ((ต้นๆ เรื่องยังไม่ได้ แต่สถานการณ์บังคับ))- คู่หูของมังค์คือ John Creed ซึ่งไอซ์ชอบเลยล่ะ ... พี่จิมดันให้ตายซะตอนหลังได้ ทำเอาอึ้ง- เล่มนี้เพนท์เตอร์ลุย field work เต็มตัว ชอบมากๆ ค่ะ เขาช่างฉลาด ว่องไว และก็เท่ห์สุดๆ - ความสัมพันธ์ระหว่างเกรย์กับราเชลดูเหมือนจะจบลงในเล่มนี้ เพราะท้ายๆ เป็นการสั่งลาล่ะ- ได้รู้จัก Seichan มากขึ้น ((เป็นตัวละครที่ชอบอยู่แล้วนะคะ)) เธอเข้าร่วมทีมกับเกรย์ โดยมี cover ว่าต้องการกลับคืนไปสู่ Guild เพื่อสืบหาตัวจริงของผู้นำกิลด์ ... มาเฉลยตอนหลังว่า จริงๆ แล้วเพนท์เตอร์เป็นคนส่งเธอเข้าไปเองแหละ และตอนสุดท้ายเธอที่หลงรักเกรย์อยู่ก็มีความสัมพันธ์กับเกรย์และได้เข้ามาทำงานในซิกม่าด้วย ... เล่มต่อไปเธอคงจะมีบทบาทในฝ่ายดีมากขึ้นล่ะมั้ง- ชอบทั้งเพนท์เตอร์และเกรย์ค่ะ เท่มากๆ ทั้งคู่เลย ชอบมากเป็นพิเศษเวลาที่เพนท์เตอร์ออกฟิวด์เวิร์ค ^^- ปิดท้ายด้วยเพนท์เตอร์ได้ศพของคนที่เป็น Echelon คนหนึ่งในกิลด์ ... พอโกนผมออก ตรงศีรษะด้านหลังมีสัญลักษณ์ประหลาดอยู่ด้วย คล้ายๆ กับ Freemason แต่ก็ไม่ใช่ ((ดูแล้วคล้ายๆ กับ Freemason ผสมกับธงของมุสลิมเลยอ่า)) ก็ต้องรอไขปริศนากันต่อไป- อยากอ่าน The Devil Colony ซึ่งเป็น Sigma เล่ม 7 แล้วค่ะ หวังว่าพี่จิมจะรักษาระดับความสนุกให้สูงขึ้นไปอีกน้า >_<
เชียร์พี่เจมส์ด้วยคน เล่มที่สนุกน้อยก็ยังสนุกกว่าเล่มสนุกมากของคนอื่นเพียบบบบบ