Suite Francaise : นิยายที่ไม่มีวันจบกับความจริงที่บีบคั้นหัวใจยิ่งกว่า
หลังจากที่อ่านหนังสือในลิสของ TBR ได้ตามเป้า 4 เดือน 4 เล่มแล้ว ก็เลยแว่บออกมานอกลิสบ้างค่ะ ^^
เรื่อง : Suite Francaise เขียนโดย : Irene Nemirovsky แปลโดย : Sandra Smith

Suite Francaise หรือ French Continuation ((ไปเปิดดิกมาค่ะ)) เป็นนิยาย...ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องสุดท้ายของ Irene Nemirovsky หรือเปล่านะคะ เพราะเรื่องนี้เธอเขียนไม่จบ และเสียชีวิตไปเสียก่อน
ก่อนจะพูดถึงเรื่องราวในหนังสือ ขอพูดถึงผู้เขียน Irene Nemirovsky ก่อนนะคะ
Irene Nemirovsky เป็นชาวยิว-รัสเซียค่ะ เธอใช้ชีวิตช่วงต้นๆ อยู่ในรัสเซีย ครอบครัวของเธอร่ำรวย ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา พ่อของเธอเป็นนายแบงค์ จนกระทั่วช่วงที่มีการปฏิวัติคอมมิวนิสเกิดขึ้นในรัสเซีย สมบัติพัศสถานทั้งหมดของครอบครัวเธอถูกยึดไปหมด ครอบครัวของเธอหนีออกจากรัสเซีย หลังจากไปมาหลายที่ ก็ตกลงใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส
ช่วงที่อยู่ฝรั่งเศส ไอรีนเรียนและจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยซอร์บอร์น ... และกลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง แต่งงาน มีครอบครัวที่มีความสุข
จนกระทั่ง...วันที่เยอรมันบุกและเข้ายึดครองประเทศฝรั่งเศสในปี 1940 ซึ่งเป็นฉากในนิยายเรื่องนี้ด้วย
Suite Francaise เป็นนิยายที่ไอรีนเริ่มเขียนในปี 1941 ซึ่งตอนนั้นเธอและครอบครัวหนีออกจากปารีสมาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ... เยอรมันออกกฎมากมายต่อต้านชาวยิว เช่น ห้ามไม่ให้ทำงาน ห้ามเดินทาง ฯลฯ เธอและครอบครัวใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากๆ
นิยายเรื่องนี้เธอเขียนลงในสมุดบันทึกด้วยตัวที่เล็กจิ๋ว เนื่องจากกลัวเหลือเกินว่า กระดาษและหมึกจะหมดลง และเธอจะไม่มีอะไรให้เขียนอีก
เรื่อง Suite Francaise นี้ ไอรีนได้วางแผนที่จะทำเป็นนิยายเรื่องยาวที่มีความยาวในการตีพิมพ์ถึงพันหน้า โดยเธอวางแผนต้นฉบับเอาไว้ดังนี้
1. Strom 80 หน้า 2. Dolce 60 หน้า 3. Captivity 100 หน้า 4. Batter? 5. Peace? สองส่วนหลังนี้ เธอวางแผนเอาไว้ว่า จะมีอีก 50 หน้าค่ะ
ต้นฉบับของนิยายเล่มนี้ถูกลูกสาวของเธอเก็บเอาไว้มาเนิ่นนานโดยไม่กล้าอ่าน เพราะเกรงว่าจะเป็นสมุดบันทึก และเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด ... แต่ในที่สุดลูกสาวของไอรีนก็ได้อ่าน และส่งเรื่องนี้เข้าตีพิมพ์
......
ในหนังสือ Suite Francaise แบ่งออกเป็นส่วนๆ ดังนี้ค่ะ
1. Strom in June
เป็นส่วนเปิดเรื่องเพื่อแนะนำตัวละครที่หลากหลาย ทหารเยอรมันบุกเข้ามาในฝรั่งเศส และมีข่าวว่าจะบุกเข้ามาถึงปารีสในไม่ช้า ผู้คนมากมายที่กำลังสับสนและหวาดกลัว หนีภัยออกจากปารีส ((ในเรื่องใช้คำว่า exodus หรือการอพยพใหญ่นะคะ))
ตัวละครจะเยอะมากๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัว Pericard ซึ่งเป็นครอบครัวผู้มีอันจะกิน Gabriel Corte นักเขียนชื่อดัง Corbin นายแบงค์ใหญ่ คู่สามี Michaud ชนชั้นกลางที่เป็นลูกจ้างในแบงค์ ฯลฯ คนพวกนี้บ้างรู้จักกัน ส่วนใหญ่ไม่รู้จักกันมาก่อน ต่างกรูกันหนีออกจากปารีสไปพร้อมๆ กับชาวฝรั่งเศสคนอื่นๆ ระหว่างหนีบ้างก็มาเกี่ยวข้องกัน บ้างก็ไม่เกี่ยวข้องกัน
ไอรีน - ผู้เขียน ไม่ได้เน้นฉากความเป็นไปของสงครามมากเท่าไหร่ แต่จะเน้นไปที่ตัวละครแต่ละตัว ที่ต่างพยายามเอาตัวรอดในสถานการณ์ที่แสนวุ่นวาย สับสน และสิ้นหวัง
ไม่มีตัวละครตัวไหนดีเป็นฮีโร่ ไม่มีตัวละครตัวไหนเลวเป็นตัวร้าย แต่ทุกคนเป็น "มนุษย์" ที่มีความคิดและการกระทำของตัวเอง
อ่านแล้วเห็นภาพมากๆ เลยค่ะ
ตอนนี้จบลงเมื่อฝรั่งเศสและเยอรมันเซ็น Armistic หรือสัญญาหยุดยิง ... ฝรั่งเศสตกอยู่ในการยึดครองของเยอรมัน
2. Dolce
ส่วนนี้เริ่มต้นที่เยอรมันเข้ายึดครองฝรั่งเศสแล้วในปี 1941 ฝรั่งเศสถูกแบ่งออกเป็นส่วน Occupied Zone และส่วน Free Zone
ฉากของบทนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกเยอรมันยึดครอง ในเวลานั้น เมื่อทหารเยอรมันเข้ายึดครองเมืองไหน ทหารจะถูกแบ่งออกไปอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวฝรั่งเศสค่ะ
บทนี้ตัวละครจะมีการ link กับตัวละครจากบท Strom ด้วยค่ะ
บทนี้จะต่างจากบท Strom นิดหน่อยตรงที่ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่าง Lucile ... หญิงสาวที่แต่งงานกับสามีโดยที่ไม่ได้เต็มใจ ไม่ได้มีความรัก สามีของเธอเป็นนักโทษสงคราม เธออยู่กับแม่สามีที่ไม่รักและไม่ไว้ใจเธอ
Bruno เป็นทหารเยอรมันที่มาอาศัยอยู่กับครอบครัวของ Lucile เขาหนุ่มแน่น หล่อเหลา สุภาพ อ่อนโยน ... ก่อนจะมาเป็นทหารเขาแต่งงานแล้ว และอยากเป็นนักดนตรี
ความใกล้ชิด และความเข้ากันได้ ดึงให้ตัวละครสองตัวนี้มีใจให้กัน แต่มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่ยากลำบาก ... ชาวฝรั่งเศสส่วนใหญ่เป็นทหารเยอรมันเป็นศัตรู
((อ่านแล้วคิดถึง "คู่กรรม" อยู่หน่อยๆ เหมือนกันค่ะ))
บรรยากาศและเรื่องราวในส่วนนี้จะเน้นถึงความเป็นอยู่ของชาวฝรั่งเศสที่อยู่ในการยึดครองของเยอรมัน
มันมีทั้งความอบอุ่นและเศร้าหมอง ... ทหารเยอรมันเองก็เป็นคน เป็นเด็กหนุ่ม ... ดูๆ จะหลงทางไม่ต่างกับชาวฝรั่งเศสเองเช่นเดียวกัน
มีคำพูดหนึ่งที่ชอบมาก เป็นบทสนทนาระหว่าง Lucile และ Bruno ... บอกว่า การทำสงครามก็เหมือนกับการ sacifice to the spirit of the hive ...
บทนี้จบลงที่เยอรมันเตรียมบุกเข้าไปในรัสเซีย
..........
นิยายเรื่องนี้ขาดตอนลงแต่เพียงเท่านี้ค่ะ เพราะหลังจากนี้ วันที่ 13 ก.ค. 1942 Irene Nemirovsky - ผู้เขียน ซึ่งเป็น ยิว - รัสเซีย ถูกจับเข้าไปที่ค่ายกักกัน Pithiviers ก่อนจะถูกส่งไปที่ Auschwitz เธอเสียชีวิตที่นั่นเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 1942
ในหนังสือตอนท้ายจะเป็นส่วนของ Appendices ซึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วน
Appendix 1
ส่วนนี้แกะลายมือออกมาจากสมุดบันทึกของไอรีน เป็นการวางพล็อตของไอรีนค่ะว่า ตั้งใจจะเขียนเรื่อง Suite Francaise อย่างไร หลังจากที่เขียนส่วนของ Strom และ Dolce แล้วเธอตั้งใจจะเขียนในส่วนของ Captivity อย่างไร
อ่านแล้วก็รู้สึกเสียดายมากๆ ที่จะไม่มีวันได้อ่านส่วนนี้ เพราะอ่านพล็อตแล้ว ส่วน Captivity ท่าทางจะเข้มข้นมาก จนสองส่วนแรกเป็นแค่การปูเรื่องไปเลย ตัวละครจากทั้งสองส่วนจะกลับเข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่างหนาแน่น และมีบทบาทที่แยกออกมาเป็นเอกลักษณ์
ไอรีนเขียนบทกลอนหนึ่งขึ้นมา ราวกับว่า เธอรู้ตัวดีอยู่แล้วว่า อาจจะไม่ได้มีโอกาสเขียนเรื่องนี้จนจบ
To lift such a heavy weight Sisyphus, you will need all your courage. I do not lack the courage to complete the task But the end is far and time is short.
Appendix 2
ส่วนนี้เป็นจดหมายที่ไอรีนและผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายเขียนหากันตั้งแต่ปี 1936 ถึงปี 1945
มีตั้งแต่จดหมายของไอรีนถึงบก.ของเธอ บอกเล่าถึงความยากลำบากในการดำรงชีวิตช่วงสงคราม
จดหมายจากสามีของไอรีนถึงบก.และคนอื่นๆ หลังจากที่ไอรีนถูกจับไปแล้ว สามีและเพื่อนๆ ของเธอพยายามหาทางช่วยเธออกมาจากสถานกักกัน โดยที่ไม่รู้ว่า ชะตาชีวิตของเธอเป็นอย่างไร
จดหมายเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวของคนทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
หลังจากไอรีนถูกจับไปแล้ว ไม่นานไมเคิล...สามีของไอรีนก็ถูกจับและถูกฆ่าใน gas chamber
ลูกสาวสองคนของไอรีน เดนนิส และ อลิซาเบธ มีผู้ช่วยเหลือคอยหลบหนีไปเรื่อยๆ ... เดนนิสนี่เองที่เป็นคนเก็บตันฉบับของไอรีนเอาไว้ และได้นำมาตีพิมพ์เช่นนี้
.....
ส่วนสุดท้ายของหนังสือคือ Preface to the French edition บอกเล่าประวัติความเป็นมาของไอรีนทั้งหมด
.....
ความรู้สึกระหว่างอ่านส่วนของ "นิยาย" ... ชอบนะคะ ผู้เขียนเข้าใจโยงใยเรื่องราวของผู้คนมากมายเข้าด้วยกัน โดยอาศัยฉากจริงคือ "สงคราม" ผู้เขียนเน้นที่จะแสดง "ความเป็นมนุษย์" ของตัวละครแต่ละคนออกมาอย่างละเอียด
อ่านแล้วอินไปกับความรู้สึกของตัวละครจริงๆ โดยเฉพาะส่วนของ Dolce ที่จะ focus ไปที่ตัวละครเด่นๆ ไม่กระจายเหมือนอย่างส่วนของ Strom
ขอชมผู้แปล Sandra Smith ด้วยค่ะ ที่แปลได้อย่างลื่นไหลมากๆ ภาษาสวยงามและเรียบง่าย
อ่านส่วนของนิยายจบแล้ว ก็ไปอ่านส่วนของ Appendices ...
Appendix 1 อ่านแล้วทำให้รู้สึกเสียดายมากๆ เลย ถ้าหากไอรีนสามารถเขียนเรื่องนี้ได้สำเร็จ มันจะเป็นนิยายที่โดดเด่นมากขนาดไหน ไอเดียของเธอมีมากมาย มีส่วนที่เธออยากจะแก้ไข ขัดเกลา แต่เธอก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
ส่วนของ Appendix 2 ที่เป็นจดหมายจริงๆ บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ส่วนนี้บีบหัวใจมากๆ ค่ะ ... อ่านแล้วน้ำตาคลอเลย
แล้ว...จู่ๆ มันก็จบค่ะ จบอย่างดื้อๆ เสียอย่างนั้น ทำให้รู้สึกหลงทางเหมือนกับตอนอ่านเรื่อง Anne Frank : The diary of a young girl ... มันถูกตัดจบอย่างน่าเสียดาย อย่างไม่ถึงเวลาอันสมควรไปพร้อมๆ กับชีวิตของผู้เขียน
อ่านจบเล่มแล้วก็รู้สึกเศร้าลึกและหนักๆ อยู่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเป็นเพราะไม่รู้ว่านิยายเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร และรู้ว่าชะตากรรมของผู้เขียนเป็นอย่างไร
อ่านแล้วก็เกลียดสงครามจริงๆ ...
Create Date : 03 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 3 พฤษภาคม 2551 19:15:48 น. |
|
13 comments
|
Counter : 6691 Pageviews. |
 |
|
|