:: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก ::
:: โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก ::
เขียน : วีรพร นิติประภา
ผมไม่ค่อยอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงลูก เพราะไม่เชื่อในวิธีเลี้ยงดูลูกว่าเลี้ยงแบบเดียวกันแล้วจะได้ผลเหมือนกัน เด็กแต่ละคนมีธรรมชาติซึ่งแตกต่างกัน ความแตกต่างนั่นแหละ คือ ความสวยงามของการเติบโต
ผมค่อย ๆ สร้างรูปแบบการเลี้ยงดูลูกของตัวเอง ผ่านการเรียนรู้ถูกผิด ผ่านการลองถูกลองผิด แม้บางครั้งอาจมีคนไม่เห็นด้วยกับวิธีการเลี้ยงลูกของผม ผมก็ไม่เคยสนใจ ผมเชื่อในแนวทางที่เลือก เชื่อในวิธีการเติบโตท่ามกลางความสุข และผมไม่เคยสนใจเลยว่าลูกจะต้องเป็นเด็กเก่งที่สุด เป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย เป็นเด็กมากความสามารถ เป็นเด็กอัจฉริยะ หรือ จะสู้ใครได้หรือไม่ได้
ผมสนใจแค่ทำยังไงให้ลูกมีความสุขในการเล่น มีความสุขในการเรียนรู้และสนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เขาชอบ มีอิสระในการคิดและตัดสินใจเรื่องที่เขาต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง ยิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น วิธีคุย วิธีคิด กับลูกยิ่งเปลี่ยนไป ยิ่งต้องอาศัยความเข้าใจมากขึ้น การพูดคุยมากขึ้น ปล่อยให้ลูกได้อยู่กับพื้นที่ส่วนตัวและมีเวลาอยู่กับตัวเขาเองมากขึ้น
ผมไม่ได้โอบกอดลูกมานานแล้ว ไม่ใช่รักเขาน้อยลง แต่ลูกรู้ดีว่าความรักแสดงออกได้หลายรูปแบบ วิธีของพ่อก็เป็นแบบของพ่อ วิธีแสดงความรักของแม่ก็เป็นแบบของแม่
เหตุผลเดียวที่ผมซื้อหนังสือ “โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก” คือ นักเขียนชื่อ “วีรพร นิติประภา” เจ้าของรางวัลซีไรต์สองสมัย ผมติดตามอ่านงานเขียนของพี่แหม่มมาทั้งสามเล่ม ประทับใจในสำนวนภาษา และ เทคนิคการเขียน ทั้งสองเล่มซึ่งได้รับรางวัลซีไรต์ เป็นนิยาย แต่เล่มนี้เป็นเหมือนหนังสือแนวคิดในการเลี้ยงลูก
“แนวคิด” ไม่ใช่ “วิธี" เลี้ยงลูก หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้บอกสอนวิธีเลี้ยงลูกเพื่อให้ลูกเป็นดั่งใจพ่อแม่ แต่หนังสือเล่มนี้กำลังชี้ชวนว่าควรเลี้ยงลูกยังไงให้เขามีความสุข และเติบขึ้นมาเป็นคนเต็มคน ไม่ต้องทนทุกข์ผ่านวิธีการเลี้ยงดูซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวัง ไม่ต้องเจ็บปวดท่ามกลางความรักที่เรียกร้อง และความกดดันอันเกิดจากการเรียนรู้ซึ่งปราศจากความสุข
ผมอ่านไปเรื่อย ๆ จนจบเล่ม เห็นด้วยกับพี่แหม่มในหลายเรื่อง ชอบใจในหลายประโยค อดคิดไม่ได้ว่าผมก็เลี้ยงลูกมาในแนวทางนี้โดยตลอด
ผมไม่เคยถามลูกว่ามีความสุขไหม ? ไม่เคยถามว่ารักพ่อกับแม่ไหม ? ไม่เคยบอกว่าเรียนอันนี้สิ ขอบสิ่งนี้สิ อยากทำอะไรทำ อยากเป็นอะไรเป็น ชีวิตเป็นของลูก เขาควรได้ตัดสินใจเลือก และอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเลือก
เวลาอยากดูว่าเด็กคนไหนมีความสุขหรือไม่ ผมชอบดูที่แววตาเด็ก แววตาจะบอกทุกสิ่งทุกอย่าง อยากรู้ว่าลูกรักพ่อหรือแม่หรือไม่ ให้ดูว่าเขาอยากเดินมาหา อยากเดินมาคุยกับคุณหรือเปล่า พ่อแม่ถาม ลูกตอบ นั่นเรียกว่า “พูด” “คุย” คือ เขาอยากเดินมาเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ให้ฟัง ลูกมีปัญหาอะไรเขาอยากระบายให้พ่อแม่ฟัง “การพูดคุย” จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีความรัก ความเข้าใจ มีความไว้ใจ
และความรัก ความเข้าใจ ความไว้ใจ จะเกิดขึ้นท่ามกลางความสุข ไม่ใช่ความสุขเพราะเด็กคนนั้นรวย เรียนเก่ง มากความสามารถ ได้เรียนโรงเรียนหรู หรือ ใช้ของแพง ๆ แต่ความสุขนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กคนนั้นได้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความอบอุ่น ได้คิด ได้ทำ ได้ตัดสินใจ ได้รับผิดชอบชีวิตตัวเอง อย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงทำได้และควรทำ
ลูกควรรับรู้ได้ว่า หากเมื่อใดเจ็บปวด ผิดหวัง ล้มเหลว ไม่ว่าเรื่องใดในชีวิต พ่อกับแม่ยังอยู่เคียงข้างอย่างเข้าใจเสมอ รักลูกโดยไม่ต้องมีเหตุผลใดมากกว่ารัก เพราะลูกเกิดจากความรักและการให้อิสรภาพในการเติบโต อย่างที่เขาต้องการจริง ๆ ไม่ง่ายหรอกครับ ที่จะหาจุดที่พอดีที่สุดในการเลี้ยงลูก แต่ละบ้านมีความคิด ความเชื่อไม่เหมือนกันในวิธีเลี้ยงดู มีความคาดหวัง มีการผลักดันในการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนกัน ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ได้ผลที่สุด เพราะเด็กทุกคนแตกต่างกัน เขาไม่จำเป็นต้องถูกผลิตซ้ำมาเพื่อให้เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องถูกส่งลงสนามแข่งขันอย่างกดดันและคลั่งบ้าเพราะกลัวแพ้ กลัวสู้คนอื่นไมได้ ในความแตกต่างมีความงดงาม ในความงดงามมีการเติบโต ไม้ต่างสีต่างพันธุ์จะเติบโตไปตามรูปแบบของตัวเอง ลูกก็เช่นกัน --- เขาควรมีโอกาสได้เติบโตอย่างที่ตนเองต้องการ ไม่ใช่เติบโตด้วยคำบงการ ควรเติบโตด้วยความสุข ไม่ใช่ความกดดันและความทุกข์
บางที...ลูกก็เหมือนกระจกเงาบานใหญ่ ที่กำลังสะท้อนความเป็นพ่อเป็นแม่ออกมา
เราเป็นอย่างไร ลูกก็เป็นอย่างนั้น ลูกเป็นอย่างไร บางทีก็สะท้อนวิธีการเลี้ยงดูที่ผ่านมาของเรา
พ่อแม่ที่หลงลืมการโอบกอดตัวเอง หรือกอดตัวเองไม่เป็น ก็ยากจริง ๆ ที่จะโอบกอดลูกด้วยความรักและความเข้าใจ
Create Date : 21 มกราคม 2564 |
|
33 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2565 6:59:44 น. |
Counter : 703 Pageviews. |
|
|