เรียนไปเที่ยวไป: เส้นทางบังคับภาคกลาง - Part IV: วัดไชยวัฒนาราม
เว้นวรรคการอัพช่วงหนึ่ง กลับมาเขียนต่อให้จบ และจะตั้งใจเขียนต่อให้จบทุกทริปจากการเรียนรู้ ซึ่งยังมีอีกหลายทริปเลยล่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
จุดหมายสุดท้ายของการเรียนรู้เมื่อวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม 2566 คือ วัดไชยวัฒนาราม ซึ่งโด่งดังและเป็นไฮไลท์ของการท่องเที่ยวเมืองเก่าอยุธยา เมื่อเกิดกระแสบุพเพสันนิวาสฟีเวอร์
ที่นี่ จะเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุด ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองทางทิศตะวันตก ฝั่งตรงข้ามเป็นที่ตั้งของพระตำหนักสิริยาลัย ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 และรัชกาลที่ 10 เมื่อดำรงพระอิศริยศเป็นมกุฎราชกุมาร ใช้ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ โปรดเกล้าให้สร้างพระตำหนักเรือนไทย เพื่อถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติต์ ในวโรกาสเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา
เมื่อเลือกทำเลได้แล้ว ก็เริ่มเรียนกันเลย เวลามีน้อย หลายคนยุกยิกอยากเดินไปถ่ายรูปแล้ว
เริ่มกันที่ชื่อก่อน "ไชยวัฒนาราม" แปลว่า ชัยชนะอันยั่งยืนถาวร
ทำไมจึงใช้ชื่อนี้ ก็ต้องว่ากันด้วยเรื่องประวัติการขึ้นครองราชบัลลังก์ของพระเจ้าปราสาททอง เมื่อครั้งที่ดำรงตำแหน่งที่สมุหพระกลาโหม ต่อจากพระเชษฐาธิราชและพระอาทิตยวงศ์ ก็มีผู้เพ็ดทูลว่าท่านซ่องสุมกำลัง หมายจะก่อการกบฏ เพราะมีอำนาจทางการทหารในมือมาก ลือกันไป ลืมกันมา ท่านก็เลยทำข่าวลือเป็นข่าวจริงซะเลย
เมื่อปราดาภิเษกแล้ว โดยธรรมเนียมก็ต้องบำรุงพุทธศาสนา แสดงพระราชอำนาจในทางธรรม จึงโปรดเกล้าให้สร้างวัด ณ นิวาสสถานเดิมของพระราชมารดา เมื่อปีพ.ศ.2173
รูปแบบผังก็เป็นขนบของสมัยอยุธยาตั้งแต่ตอนต้น - ตอนกลาง จนมาถึงตอนปลาย คือ มีพระอุโบสถอยู่ด้านหน้า มีพระเจดีย์เป็นประธาน โดยของวัดนี้ อาคารทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่บนฐานไพที มีระเบียงคด ล้อมรอบเจดีย์ประธาน และมีเมรุทิศ เมรุราย มองโดยรวมจะเป็นเป็นอาคาร 9 ยอด ที่มีเจดีย์ประธานทรงปรางค์ เป็นแกนกลาง เสมือนเป็นศูนย์กลางจักรวาลนั่นเอง
มีระเบียงคตล้อมองค์เจดีย์ประธาน สันนิษฐานว่าเป็นอาคารหลังคาคลุมเครื่องไม้ ซึ่งผุพังไปตามกาลเวลา โดยมีเจดีย์ประดับเมรุทิศเมรุราย เป็นเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมเพิ่มมุมไม้สิบสอง ประดับภาพเล่าเรื่องพุทธประวัติตอนต่าง ๆ เมื่อเดินเวียนประทักษินจะเดินเรื่องต่อกันจนจบ ซึ่งชำรุดเสียหายไปมากแล้ว ที่หลงเหลือให้เห็นและศึกษารูปแบบศิลปะอยุธยาตอนปลายได้ไม่กี่ภาพ
บริเวณโถงเจดีย์เมรุทิศและเมรุราย ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่อง ที่เรียกกันว่า "ทรงเครื่องต้นอย่างพระมหาจักรพรรดิ์" ซึ่งก็มีธรรมเนียมการสร้างพระพุทธรูปแบบนี้มานาน แต่ไม่นิยม มานิยมในช่วงอยุธยาตอนปลาย โดยสร้างตามพุทธประวัติตอนเทศนาโปรดท้าวมหาชมพูบดี
ช่วงผนังระเบียงคด ประดับแนวช่องแสง เป็นลายลูกมะหวดเหลี่ยม เป็นรูปแบบที่อาจารย์เน้นย้ำให้จดจำไว้ เพื่อแยกแยะรูปแบบศิลปกรรมสมัยอยุธยา ต้น-กลาง-ปลาย
จบการบรรยายเนื้อหาหลัก ๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับสถานที่แล้ว ก็เป็นช่วงเวลา "ตามอัธยาศัย" เราเดินวนรอบระเบียงคด เก็บภาพพระพุทธรูปที่เหลือบางส่วนไว้ ให้จินตการถึงส่วนที่หายไปเอาเอง
วนออกไปเดินชมภายนอกอีกรอบ เพื่อเก็บภาพประติมากรรมประดับพระเจดีย์ ซึ่งก็เหลือเพียงร่องรอยให้เดาเองว่าเป็นพุทธประวัติตอนใด
วนมาถึงเจดีย์ทรงระฆัง ซึ่งแตกต่างจากเจดีย์องค์อื่น ๆ โดยสิ้นเชิง สันนิษฐานว่า เป็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิ เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรหรือเจ้าฟ้ากุ้ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ต้องพระราชาอาญาเฆี่ยนจนสิ้นพระชนม์
ก่อนจะกลับขึ้นรถบัส ตามเวลานัดหมาย ...ก็ต้องเก็บภาพพระอาทิตย์ยามอัสดงกันซะหน่อย
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปกินข้าวมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารเดอริว่า อโยธยา (De Riva Ayothaya) ริมแม่นำเจ้าพระยา รับลมแม่น้ำยามค่ำคืน พร้อมฟังดนตรีสดไปด้วย
กินอิ่มกันแล้ว ก็ได้เวลาเข้าที่พัก โรงแรม Classic Aameo Ayutthaya
ส.ว.อย่างเรา อาบน้ำ บันทึกสั้นๆ บนหน้าเฟซแล้วก็นอนพัก เก็บแรงไว้ลุยกันต่อในวันรุ่งขึ้น ส่วนน้อง ๆ ก็มีนัดทบทวนคณิตศาสตร์กันที่ห้องใครสักคน ...
โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 15 ธันวาคม 2566 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มีนาคม 2567 20:14:23 น. |
Counter : 274 Pageviews. |
|
|
|