:: กะก๋าแนะนำหนังสือ - The Story of Art : ว่าด้วยเรื่องศิลปะ ::
:: The Story of Art : ว่าด้วยเรื่องศิลปะ ::เขียน : E. H. Gombrich แปล : รติพร ชัยปิยะพร
หนังสือประวัติศาสตร์ศิลป์เล่มหนาเกือบ 700 หน้านี้ อ่านสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะผู้เขียนเลือกวิธีการเล่าเรื่องด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มีภาพตัวอย่างประกอบตลอดทั้งเล่ม ถึงแม้จะตีพิมพ์มายาวนานหลายสิบปีแล้ว แต่ยังคงใช้อ้างอิงศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลปะได้อย่างน่าสนใจ
เนื้อหาภายในเล่มเน้นความสำคัญของประวัติศาสตร์ศิลปะในโลกตะวันตกมากเป็นพิเศษ แต่หลักหรือแนวคิดที่ E. H. Gombrich แสดงทรรศนะเอาไว้ สามารถใช้เป็นแนวทางศึกษางานศิลปะสากลได้อย่างแน่นอน
การมองหาความงามในงานศิลปะ ยากที่จะหาคำจำกัดความหรือยึดโยงทฤษฎีใดเพียงทฤษฎีเดียวได้ เพราะศิลปะไม่ใช่เรื่องของรสนิยม หรือความชอบเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัย “ความใส่ใจในรายละเอียด” อาศัยการตีความหมายในงานศิลปะชิ้นนั้น ว่าส่งผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกของผู้ชมได้มากน้อยเพียงใด
ความแตกต่างในงานศิลปะคือ “แนวคิด” ไม่ใช่มาตรฐานด้านทักษะฝีมือ ในยุคโบราณมนุษย์ใช้ศิลปะเพื่อติดต่อสื่อสารกับ พระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ บ้างก็ใช้ประกอบพิธีกรรม บูชาความเชื่อบางอย่าง ภาพวาดง่าย ๆ เชิงสัญลักษณ์ รูปปั้น งานแกะสลัก ล้วนมีความหมายที่ต้องตีความซ่อนอยู่เสมอ
การเรียนรู้ในเรื่องราวศิลปะจึงไม่มีวันจบสิ้น มีสิ่งใหม่ให้ค้นพบอยู่เสมอ มีการค้นพบความจริง ความเชื่อ ที่ศิลปินคนหนึ่งทุ่มเทสร้างผลงานขึ้นด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของเขา ความสนุกในการค้นพบเรื่องราวใหม่ ๆ ในงานศิลปะจะเกิดขึ้น เมื่อเราเปิดใจยอมรับความแตกต่าง ตั้งใจดูภาพหรือผลงานต่าง ๆ แล้วลองหยุดคิดด้วยตนเองว่าผลงานชิ้นนี้ยิ่งใหญ่และได้รับการยอมรับด้วยเหตุผลใด มันเชื่อมโยงกับความรู้สึกของเราขณะที่มองเห็นอย่างไร โดยไม่ถูกชื่อเสียงของศิลปิน คำวิจารณ์ของนักวิจารณ์ระดับโลก หรือ ใคร ๆ เขาก็บอกว่าดี มาเป็นตัวชี้นำความคิดของเรา
หนังสือเริ่มต้นพูดถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งมีร่องรอยหลงเหลือเพียงภาพวาดในถ้ำ เครื่องประดับ เครื่องใช้ไม้สอย หรือแม้แต่เครื่องรางต่าง ๆ ให้เราได้เรียนรู้
จากนั้นจึงอธิบายถึงงานศิลปะอียิปต์ ซึ่งนับเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก อักษรคูนิฟอร์มบันทึกเรื่องราวในยุคสมัยนั้นอย่างละเอียด รูปวาดเทพต่าง ๆ สื่อความหมายแทนตัวอักษรและคำพูด ทำให้เราได้รู้ถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในยุคนั้น
ศิลปะในยุคแรก ๆ ไม่ได้รับใช้การเมืองหรือศาสนา แต่เป็นบันทึกประจำวัน บันทึกแบบแผนความเชื่อของคนในชุมชนนั้น ๆ ต่อมาจึงขยับขยายผลงานต่าง ๆ ทั้งสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ บ้านเรือน ตลอดอาคารทางศาสนา รูปแบบและวิธีคิดในงานศิลปะจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
ยุคกรีก โรมัน นอกจากความยิ่งใหญ่ด้านการทหาร ด้านศิลปะก็ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ความสมจริงสมจังเป็นตัววัดคุณภาพของศิลปินผู้สร้างสรรค์งาน โดยมีความสมบูรณ์แบบตามอุดมคติเป็นตัวตั้ง ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด งานแกะสลักหินอ่อน หรือ สถาปัตยกรรมในยุคนี้ เต็มไปด้วยรายละเอียด ต้องใช้ทักษะเชิงช่างชั้นสูง ใช้เวลาในการสร้างผลงานอย่างยาวนาน จนเกิดผลงานอันน่าทึ่งและน่าอัศจรรย์ใจ
แล้วศิลปะก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปรับใช้ความเชื่อทางศาสนาในที่สุด โดยเฉพาะศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ ต่างใช้ผลงานด้านศิลปะในการสร้างความเชื่อ สร้างความศรัทธาให้กับศาสนิกชนจำนวนมาก การถือกำเนิดขึ้นของพระพุทธรูป การนำเรื่องราวในไบเบิลมาเขียนเป็นรูป มีการสร้างประติมากรรมจำนวนมาก ตามแต่การตีความของศิลปินคนนั้น ทำให้ศาสนากลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการหล่อหลอมความคิด ควบคุมความเชื่อของคนเป็นจำนวนมาก ให้คล้อยตามไปในทิศทางที่ศิลปิน ชนชั้นปกครองและศาสนจักรต้องการ
อีกทางหนึ่งศิลปินจีน และศิลปินเปอร์เซียในยุดอดีต เลือกการนำเสนอผลงานศิลปะ ผ่านแนวคิดด้านธรรมชาติเป็นหลัก เนื่องจากไม่สนับสนุนการบูชารูปเคารพตามความเชื่อในหลักศาสนา ความงาม ความจริง ผสานกับจินตนาการของศิลปิน ก่อเกิดงานในรูปแบบเฉพาะตัวที่สวยงามและแตกต่าง ขณะเดียวกันรูปแบบเฉพาะตัวนั้นก็กลายเป็นกรอบ ซึ่งทำให้ศิลปินจำนวนมากต้องเดินตามรอยบรมครู สร้างงานแนวขนบ จนไม่ค่อยเกิดการสร้างสรรค์งานในรูปแบบใหม่ด้วยเช่นกัน
ยุคกลางของยุโรป เกิดสงครามต่าง ๆ ขึ้นเป็นระยะ ก่อเกิดการสร้างสรรค์และทำลายผลงานศิลปะชิ้นสำคัญอยู่ตลอดเวลา บทบาทของศิลปินแนบแน่นอยู่กับการทำงานให้คริสตจักร หรือไม่ก็รับใช้กษัตริย์ เจ้าเมือง และมหาเศรษฐี จากยุคกอธิค เข้าสู่ยุคเรอเนสซองส์ ศิลปะที่ดูหรูหราโอ่อ่า รูปแบบการก่อสร้าง การออกแบบ การวาดภาพ และงานประติมากรรม ดูลุ่มลึก มีระยะ มีแสงเงาที่จัดจ้าน ความชำนาญด้านวิทยาศาสตร์ ความรู้ในวิทยาการด้านต่าง ๆ ส่งผลให้ศิลปินสามารถสร้างงานที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น สวยงามมากขึ้นกว่าในอดีตอย่างเห็นได้ชัด
ยุคศตวรรษที่ 16 ราฟาเอล , มีเกลันเจโล , เลโอนาโด ดาวินซี สร้างผลงานระดับโลกเอาไว้มากมายให้คนรุ่นหลังได้ทึ่งในพรสวรรค์และความสามารถ ศิลปินอิตาลีภูมิใจในการนำเสนอกายวิภาคที่สมจริง กล้ามเนื้อเป็นมัด ภาพริ้วผ้าอาภรณ์ที่พลิ้วไหวอย่างลื่นไหล ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของตัวแบบที่สวยงามสอดคล้องกลมกลืน
เรื่องราวของศิลปะในยุคนี้ มักนำเสนอผ่านเรื่องราวจากไบเบิล หรือไม่ก็เป็นเรื่องราวของเทพต่าง ๆ
เทคนิคการก่อสร้างและการออกแบบอาคาร พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้โลกได้รู้ได้เห็นถึงสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่อลังการเป็นจำนวนมาก
ศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางงานศิลปะที่สำคัญของยุโรป พระราชวังหลายแห่งกลายเป็นต้นแบบพระราชวังในประเทศอื่น ๆ แถบยุโรป มาเน่ต์เปิดโลกศิลปะสมัยใหม่ด้วยผลงานภาพแนวสัจนิยม ก่อนที่กลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์จะสร้างความตื่นตะลึงครั้งใหญ่ ด้วยการพลิกโฉมงานจิตรกรรมรูปแบบใหม่ซึ่งฉีกหนีผลงานคลาสสิกแบบเดิม ๆ ในอดีต “ชั่วขณะแห่งความประทับใจ” ทำให้นักวิจารณ์ศิลปะในยุคนั้นตกตะลึงพรึงเพริด โมเน่ต์ , เรอนัวร์ , ปีซาโร , เซซาน กลายเป็นหัวแถวของศิลปินหัวก้าวหน้า ก่อนที่แวนโกะห์ และ โกแกง จะสร้างงานชิ้นเอกให้โลกจดจำในเวลาต่อมา
โลกแห่งศิลปะเคลื่อนตัวไปเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ศิลปินไม่ได้สร้างงานแค่เหมือนที่ตาตัวเองเห็น แต่ผลงานทำหน้าที่มากกว่านั้น ทั้งถ่ายทอดความรู้สึก สร้างความสั่นสะเทือนทางอารมณ์ สร้างความสั่นไหวทางความคิด สร้างความเชื่อ ความศรัทธา ตีแผ่ยุคสมัยและความจริงบางด้านที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็น แต่ศิลปินมองเห็น และเลือกที่จะแสดงแนวคิดนั้น ผ่านงานศิลปะของตนเอง
ศิลปะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลา ศิลปินผู้รังสรรค์งานก็เช่นกัน เกิดขึ้นใหม่ในทุกวัน ต้องท้าทายตนเอง คิดค้นวิธีการใหม่ ๆ ในการนำเสนอผลงาน รวมทั้งผู้ชมที่มีส่วนร่วมในการผลงานของศิลปิน ก็ต่างต้องหยุดมอง ชื่นชม ตีความ พยายามทำความเข้าใจ เพื่อรักษาเกลียวคลื่นแห่งความต่อเนื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
Create Date : 17 มีนาคม 2563 |
Last Update : 16 มกราคม 2564 7:37:45 น. |
|
29 comments
|
Counter : 1367 Pageviews. |
|
|
|
|
หนังสือ 700 หน้า อ่านลื่นไหล
คงเพราะก๋าชอบในงานศิลปด้วยมั้งคะ
ทุกยุคทุกสมัยก็แตกต่างกัน แล้วแต่ความชอบนะคะ
พี่ชอบดูศิลปะโบราญ พี่ว่าขลังดี .... ทั้งภาพถ่ายและภาพวาด
......
รักษาสุขภาพด้วยนะคะก๋า
โควิด กับฝุ่นทางเหนือแย่พอๆกันนะคะ