|
||||||
เดินชมกรุง... "เจริญกรุง" @ กรุงเทพมหานคร จากที่ค้างไว้เมื่อ entry ก่อน บอกว่าไปเดินชมถนนเจริญกรุงส่วนหนึ่งมาใช่มั้ยคะ กิจกรรมการเดินชมกรุงนี้จัดโดย อ.นัท จุลภัสสร กับ อ.ตุ้ย ภากร จริง ๆ มีผู้รู้หลายท่านเลยล่ะที่จัด เราเองก็เพิ่งทราบจากการตาม facebook page “รอบรั้วอาราม เรือนโบราณ อาคารเก่า” ว่ามีกิจกรรมเดินชมกรุงและเรียนรู้ร่องรอยประวัติศาสตร์แบบนี้ด้วย สมัครไปเลยค่ะไม่รอช้า การเดินชมกรุงครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกค่ะ ครั้งแรกของเราในการทำกิจกรรมนี้คือเดินเส้นถนนพระสุเมรุ ว่าจะเขียนบล็อกเก็บไว้เหมือนกันค่ะ แต่รายละเอียดช่างเยอะเหลือเกิน "ถนนเจริญกรุง" นี่เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจมากและมีประวัติมายาวนาน ที่แห่งนี้คึกคักมาตั้งแต่ปลายสมัยธนบุรีจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ช่วงนั้นมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายมาก และการสัญจรยังคงใช้ทางน้ำ ซึ่งแม่น้ำหลักของเมืองบางกอกเราก็คือแม่น้ำเจ้าพระยา จะสังเกตได้จากริมสองฝั่งที่มีโกดังของชาวต่างชาติเต็มไปหมด ดังนั้นสองฟากฝั่งเจ้าพระยาก็จะเป็นดินแดนที่คึกคักไปด้วยการค้าขาย ผู้คน และชาวต่างชาติ ซึ่งในการเข้ามาพร้อม ๆ กับการค้าขายนั้น เลี่ยงไม่ได้เลยที่จะมีสองอย่างติดมาด้วย... ศาสนาและพวกมิชชันนารี กับ ความทันสมัย เทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงความรู้และสถาปัตยกรรม ในเขตเจริญกรุงนี้เลยมีตึกรามบ้านช่องและสถาปัตยกรรมสวย ๆ ให้ได้ชมเยอะมากเลยค่ะ แน่นอน ในการเดินชมเจริญกรุง ทีหนึ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือ อาคารของบริษัท อีสต์ เอเชียติก ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 40 เจ้าของเป็นกัปตันเรือชาวเดนมาร์ก สิ่งที่เราทราบคือบริษัทนี้ค้าไม้ ก็ท่องกันมาแบบนั้น โดยที่เราเองก็ไม่ทราบว่าไม้อะไร เอามาทำไม ไม่ทราบที่มาที่ไป แต่วันนี้เราได้ทราบว่า บริษัท อีสต์ เอเชียติก นี่นำถ่านหินเข้ามาขายให้กับประเทศสยามเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมไฟฟ้า และนำไม้สักจากสยามไปขายที่เดนมาร์ก (จับสินค้าแต่ละตัวมีมูลค่าทั้งนั้นกัปตันแอนเดอร์สันเรา ) บริษัทที่เมืองไทยเลยเป็นสาขาแรกของอีสค์ เอเชียติก สาขาสองคือที่เดนมาร์กค่ะ ไม่แค่นั้น จริง ๆ ก่อนหน้าที่จะเป็นตึกนี่ที่ตรงนี้เป็นโกดังของบริษัท ตัวออฟฟิศอยู่ที่โรงแรมโอเรียนเต็ลซึ่งอยู่ติดกัน และกัปตันนี่ก็มีหุ้นกับโรงแรมโอเรียลเต็ลด้วยนะ และยังลงหุ้นกับเพื่อนทำทางรถไฟสายแรก (สายปากน้ำ) เพื่อใช้ขนของ (ก็ขนสินค้าของตัวเองนั่นแหละค่ะ) เดิมการขนส่งของหนักไม่สามารถเข้ามาที่บางกอกได้ จะลงของกันที่ปากน้ำแล้วขนส่งเข้ามาอีกต่อหนึ่ง รถไฟสายแรกนี้ใช้ม้าลากค่ะ ตึกสมัยนั้นเลียนแบบสถาปัตยกรรมจากเมืองนอกเลย ตัวตึกเลยเป็นบาโรค (ตึกที่เน้นการตกแต่งเฉพาะแผงด้านหน้า) ก่อด้วยอิฐฉาบด้วยปูน หน้าต่างยังเป็น arch หรือซุ้มโค้งเด่นชัด มีการตกแต่งลายช่อมะกอกเพื่อความสวยงาม เสาเน้นการเซาะร่องแบบเรเนซองส์ (คือด้วยความเป็นเด็กสายศิลป์ ตอนเรียนมัธยมเลยต้องมานั่งท่องศิลปะสมัยต่าง ๆ พอมาฟังการบรรยายนี้ งื้ออ... อยากจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอบพระคุณคุณครูที่สอนเลยทีเดียว อย่างน้อยก็พอรู้เรื่องกับเค้าบ้าง ) บันไดที่ตั้งอยู่ด้านนอกตัวอาคารแทนที่จะเป็นด้านในก็เพื่อการเป็นสาธารณะ คือ ติดต่อธุรกิจการค้า ลูกค้าหรือแขกที่มาก็อยู่กันแค่ส่วนหน้านี้ และอีกเหตุผลหนึ่งคือสมัยก่อนคนไทยเรายังถือเรื่องศรีษะ จะให้ใครไม่รู้มาเดินเหยียบหัวมันไม่ใช่ ประมาณนี้อ่ะค่ะ และอย่างที่บอกค่ะว่าชาวต่างชาติเข้ามาพร้อมกับศาสนา จึงมีการสร้างโบสถ์คริสต์ในชุมชนนี้ค่อนข้างเยอะ หนึ่งในนั้น... ที่ได้รับการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาตอนมาเยือนไทยด้วยก็คือ... อาสนวิหารอัสสัมชัญ (โบสถ์อัสสัมชัญ) ค่ะ โบสถ์นี่เป็นโบสถ์ที่เก่าแก่มาก สถาปัตยกรรมเป็นแนวอิตาลี ด้านในมีจิตรกรรมปูนปั้นที่ผนัง แต่เราไม่ได้เข้าไปชมหรอกนะคะเนื่องจากเป็นเช้าวันอาทิตย์ ทางโบสถ์มีกิจกรรมทางศาสนาค่ะ โบสถ์นี้เด่นมากที่ rose wood คือ หน้าต่างกระจกกลมหน้าโบสถ์น่ะค่ะ สิ่งนึงที่น่าสนใจเรื่องวัดกับโบสถ์คือ วัดไทยเราจะมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นเรื่องราวต่าง ๆ ใช่มั้ยคะ เป็นพุทธประวัติบ้าง วิถีการดำเนินชีวิตของท้องถิ่นบ้าง ทางโบสถ์คริสต์ก็มีเช่นกันค่ะ แต่ไม่ได้อยู่บนผนัง จะเป็นกระจกสีค่ะ เรียนโรงเรียนคริสต์มาตั้งแต่เด็กนะ ที่โรงเรียนเคยมีโบสถ์เล็ก ๆ ที่มีกระจกสีด้วยนะ แต่ไม่ได้รู้สึกอินเท่ากับที่อาจารย์บอกว่ากระจกสีเวลามองให้มองที่พื้น จะเป็นแสงตกกระทบพื้นสีสวยงาม และถ้าเป็นตอนกลางคืน สมัยโบราณคริสตศาสนิกชนจะมีการสวดมนต์ที่โบสถ์กันได้จนดึกดื่น ทางโบสถ์จะมีการจุดเทียนหรือดวงประทีป แสงด้านในเวลาส่องผ่านกระจกสีในตอนกลางคืนออกมาด้านนอกจะสวยและอบอุ่น นัยว่าเป็นกุศโลบายในการเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจคนได้อย่างดี ไทยเราเองก็มีแบบนี้เช่นกัน สมัยก่อนเวลาเริ่มสร้างวัดก่อจากอิฐ จะไม่ใช้คานรับน้ำหนักหลังคาเหมือนบ้านไม้ แต่จะใช้กำแพงปูนรับ เพราะฉะนั้นจะเป็นอาคารทึบไม่มีแสงเข้า ช่างที่สร้างจึงต้องเจาะช่องรับแสงเล็ก ๆ ไว้ที่กำแพงหลังพระประธานระดับเศียรพระ และเมื่อเราเข้าไปในตัวอุโบสถที่มืด แสงที่ส่องเข้ามาจากช่องเล็กนั้นทำให้ดูเหมือนองค์พระมีรัศมีเพิ่มความขลังเข้าไปได้อีก และบางวัดจะเอาเศษแก้วฝังไว้ที่ฐานพระ พอแสงส่องมาก็เป็นแสงระยิบระยับเหมือนดวงดาวเพิ่มความขลังกำลังสอง คนโบราณนี่ช่างคิดนะคะ มีเรื่องขำ... คือในทริปที่เราไปคนเดียวแบบนี้เรามักจะได้ทำความรู้จักใครอย่างน้อยคนนึง บางคนติดต่อกันมาถึงวันนี้ แต่บางคนก็เจอกันแค่ครั้งเดียวแล้วก็ผ่านไป ครั้งนี้เราได้รู้จักกับน้องชายคนนึงจากดินแดนล้านนา น้องเป็นอีกคนนึงที่ชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์แบบนี้มาก สถานที่หนึ่งที่สร้างในยุคเจริญกรุงเฟือ่งฟูและตั้งอยู่ริมน้ำเช่นกันแต่พวกเราไม่ได้ไป คือ ศุลกสถาน เป็นโรงเก็บภาษีเวลามีเรือสินค้าเข้าฝั่งมา ง่าย ๆ ก็คือศุลกากรในสมัยนี้นั่นเอง เครดิต : ภาพจากวิกิพีเดีย ที่ศุลกสถานนี่อาคารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมต่างประเทศล้วน ๆ เลย จะเห็นว่าหน้าต่างจะเยอะใช่มั้ยคะ ก็มีเรื่องเล่าขำ ๆ กันว่าหน้าต่างเนี่ยกว่าจะเปิดกันหมดตึกใช้เวลาเกือบชั่วโมง เข้างานมากว่าจะเปิดหน้าต่างเสร็จทำงานแป๊บเดียวก็ได้เวลาพักเที่ยง พอตอนบ่าย ก่อนงานเลิกหนึ่งชั่วโมง ก็ต้องวางงานมาเริ่มปิดหน้าต่าง ปิดเสร็จก็ได้เวลากลับบ้านพอดี แล้วถ้าวันไหนเกิดทำงานอยู่ฝนตกก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เปิด-ปิดหน้าต่างอยู่นั่น หลังจากเรื่องเล่าจบ พวกเราก็เดินไปที่อื่นกันต่อ จนทานข้าวเที่ยงเสร็จ น้องกอล์ฟก็หันมาบอกเรา “ทำไมการเปิด-ปิดหน้าต่างฝังอยู่ในหัวผม ผมอยากทำอาชีพเปิด-ปิดหน้าต่างจังเลยครับ” ... ขำมากอ่ะ เราว่าเราอินแล้วนะ น้องอินกว่าเราอีก ไม่จบแค่นั้นค่ะ... พอไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก (ในเอนทรีที่แล้ว) ฝนลงเม็ดมา น้องกอล์ฟรีบช่วยพี่เจ้าหน้าที่ไล่ปิดหน้าต่างของบ้าน ปิดเสร็จน้องหันมาบอกภูมิใจ “ผมได้ปิดหน้าต่างละ" เออนะ... ของแบบนี้ถ้าใครไม่รักไม่ชอบจริง ๆ ไม่เข้าใจนะเนี่ย เลยยกนิ้วชื่นชม “น้องทำดีมากค่ะ” เราจะเดินไป บ้านตำรวจน้ำ ซึ่งต้องผ่านบ้านเก่าหลังนี้ เหมือนว่าเดิมจะเป็นของสกุลบุนนาค แต่ตอนนี้ปล่อยร้าง คือเราเข้าใจนะ บ้านเก่าบางหลังพอสิ้นคนในตระกูลไปจะให้ทางรัฐมาดูแลซ่อมแซมก็ใช่ที่ เพราะค่าซ่อมแซมบ้านเก่าแบบนี้สูงมาก ก็เลยปล่อยค้างอยู่แบบนี้ ดูสิคะ ลวดลายต่าง ๆ ละเอียดสวยงามเลยทีเดียว อาคารข้างล่างนี้เป็นอาคารไม้ในซอยมัสยิดฮารูณ ความละเอียดของลวดลายของเชิงชาย ช่องรับแสง และตัวบ้าน เราชอบจังเลยค่ะ บ้านตำรวจน้ำก็สวยงามไม่แพ้กัน ดูช่องรับแสงสิคะ แต่เนื่องจากมีคนอาศัยอยู่ เราเลยดูได้แค่หลังคา เดินมาเรื่อย ๆ ถึง ไปรษณีย์กลาง ที่นี่เคยเป็นสถานกงสุลอังกฤษนะคะ อาคารนี้เริ่มเป็นสถาปัตยกรรมอีกยุคนึงออกมา คือเป็นตึกทึบ เน้นประโยชน์การใช้สอยมากกว่าความงดงาม ที่งามและเป็นจุดเด่นของเราคือครุฑที่ประดับอยุ่ที่มุมตึกด้านบนทั้งสองด้าน ออกแบบโดย อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ค่ะ และเมื่อทุกอย่างต้องมีสตอรี่ ที่นี่เลยมีเรื่องเล่าว่าในช่วงสมครามมหาเอเชียบูรพาอาคารนี้โดนทิ้งระเบิด แต่รอดมาได้เพราะครุฑนี่แหละปัดระเบิดไปไกลนู่น แต่เราว่าความจริงคือก็ทิ้งไม่โดนนั่นแหละ แต่กว่าจะมาเป็นครุฑนี้เราเปลี่ยนมา 3 แบบแล้วนะคะ แบบแรกจะดูอ่อนช้อยเพราะเชื่อว่าครุฑเป็นเทพี เป็นเพศหญิง และบวกกับงานศิลป์สมัยนั้น จะอยู่ด้านในตัวอาคารค่ะ แบบต่อมาออกแบบช่วงแถว ๆ สมัยจอมพล ป. มั้งนะคะถ้าจำไม่ผิด จะเป็นแบบที่แข็งแกร่งดุดันหน่อย สไตล์มุสโสลินี จะเห็นแบบนี้ได้ที่ประตูค่ะ และแบบที่สามก็คือแบบที่อาจารย์ศิลป์ พีระศรีออกแบบไว้ที่มุมตึกน่ะค่ะ อาคารด้านล่างนี้เป็นโกดังเก่าเหมือนกันค่ะ ปัจจุบันนี้การใช้พื้นที่โกดังเก่ามาทำเป็นร้านกาแฟชิค ๆ ร้านอาหารเก๋ ๆ หรือแกลเลอรี่แสดงงานศิลปะกำลังฮิตเลยค่ะ ไม่ทราบทำไมพอเห็นโกดังนี้เรานึกถึง Red Brick Warehouse ที่ Yokohama แฮะ จริง ๆ ความรู้เกี่ยวกับถนนแห่งนี้ยังมีมาเรื่อย ๆ เมื่อคนเล่าไม่เหนื่อยจะเล่า คนฟังก็ไม่เหนื่อยจะฟัง ไม่ว่าจะเป็นที่มาของชุมชนจีนที่ต่อมาย้ายไปที่สำเพ็ง ร้านค้าที่ขายจิวเวลรี่แถบสี่พระยา ที่มาของโรงพยาบาลเลิศสิน ถนน 4 ส. รถรางกับรถเมล์สาย 1 น้ำแข็งก้อนแรก หรือโรงแรมปาร์คนายเลิศ (ซึ่งจะลามไปแถวเพลินจิตละ ) รวมไปถึงเรื่องราวจากตรอกกัปตันบุช ฯลฯ การบรรยายวันนี้ไปจบที่ โบสถ์กาลหว่าร์ พร้อม ๆ กับสายฝนที่เทลงมา นั่งฟังบรรยายไป พอบรรยายจบ ฝนก็หยุดพอดี นั่งคุยเล่นกันต่ออีกเล็กน้อยเกี่ยวกับความสนใจทางประวัติศาสตร์ แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่เรารู้สึกว่าเราใช้วันหยุดได้คุ้มค่ามากค่ะ ใครอ่านมาได้ถึงตรงนี้ เราขอชื่นชมคุณมากค่ะ (คือเป็นผู็มีความอดทนเยี่ยมยอดมาก) การเดินชมกรุงแต่ละครั้งรายละเอียดเยอะมากจริง ๆ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิดมากที่อาจารย์ทั้งสองท่านบรรยาย ไว้ถ้ามีโอกาสจะมาเล่าให้ฟังต่อนะคะ เพราะสัปดาห์ถัดมา (ซึ่งก็คือวันเสาร์ที่ผ่านมา) เราไปเดินชมคลองสานมาค่ะ ซึ่งรายละเอียดก็จะเกี่ยวเนื่องกันนี่แหละ ขอเวลาไปเรียบเรียงก่อน มันเยอะมากกกกค่ะ
ตามมาเที่ยวถนนเจริญกรุงต่อครับ
โชคดีได้อาจารย์ถึงสองท่านบรรยายประวัติ ได้ความรู้จริง ตรงประเด็น คนชอบโบราณสถาน ต้องมาครับ มีโอกาสต้องมาบ้างครับ บ้านเก่า ตึกเก่า โบสถ์คริส์ตเก่า ชอบไปหมดครับ สมัยก่อน น่าจะเป็นการค้าไม้สักจากภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ แพร่ น่าน บันไดด้านข้างเข้าใจคิดครับ ถ้าสมัยนั้นจะมีสร้างสะพานลอย ได้ค้านกันหัวชนฝา โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 3 กันยายน 2563 เวลา:22:39:59 น.
เดินดู อาคาร บ้านเก่าแถวนั้น เพลินดี (ผมดูเพลินนะครับเพราะมิได้เดินด้วย น่าจะร้อน 555)
เอ.. เห็นอาคารต่าง ๆ ตึก ปณกลาง ไปชุดเดียวกับคุณหนู สายหมอกฯ หรือเปล่าครับ โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 4 กันยายน 2563 เวลา:6:22:36 น.
ขอบคุณเช่นกันครับคุณแฟร์
ภาพประกอบชุดนี้ก็มาจากบ้านดำนี่ล่ะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 4 กันยายน 2563 เวลา:22:58:55 น.
ใช่ครับ
เวลาเจออะไรยุ่งๆ ผมว่าเราต้องหยุดก่อน แล้วค่อยๆหาหนทางแก้ไข ถ้ารีบเกินไป บางครั้งยิ่งแก้ยิ่งยุ่งนะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 5 กันยายน 2563 เวลา:22:36:09 น.
ขอบคุณครับ
ขอให้คุณแฟร์มีความสุขมากๆเช่นกันนะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 กันยายน 2563 เวลา:23:04:23 น.
melody_bangkok Travel Blog ดู Blog
แวะมา ชม ชม ชม ค่ะ โดย: หอมกร วันที่: 19 กันยายน 2563 เวลา:21:33:23 น.
สวัสดีปีใหม่ 2021 ค่ะคุณแฟร์
ขอให้คุณแฟร์มีความสุขมากๆ มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต และสมปรารถนาในทุกสิ่งที่ตั้งใจไว้ตลอดปี 2021 นี้นะคะ ........................... ต๋าไม่ได้เข้าบล็อกมาตั้งแต่สิงหาคม ขอบคุณคุณแฟร์มากนะคะสำหรับกำลังใจ ถนนเจริญกรุง โบสถ์และอาคารยุคก่อนสวยงามน่าชมมาก การได้ชมได้ทั้งความเพลิดเพลินและความรู้ด้วยนะคะ ศุลกสถาน วันก่อนนั่งเรือข้ามฟากถ้าจำไม่ผิดเห็นอาคารนี้ ขอบคุณคุณแฟร์ที่พาเที่ยวค่ะ โดย: Sweet_pills วันที่: 1 มกราคม 2564 เวลา:12:55:45 น.
เพิ่งจะได้มาตามชม
ร่มรื่นชื่นใจมากค่ะ แต่โหวตไม่ได้แล้ว คิดถึงนะคะ โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 25 มีนาคม 2564 เวลา:18:55:45 น.
|
melody_bangkok
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บางครั้งก็มีโลกส่วนตัวสูงมากมาย แต่ในบางครั้งก็พยายามจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัวของคนอื่น... :P ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ... ^^ All Blog
| |||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
แต่น่าเสียดายที่การดูแลและบูรณะของบ้านเรา
อาจจะยังทำได้ไม่ทั่วถึง
บางครั้งเจ้าของอาคารซ่อมเอง ทาสีเอง
เลยทำลายเสน่ห์ความเก่าไปโดยไม่รู้ตัว
ปล. ใช่แล้วครับ
ภาพในบล็อกผมมาจากพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์นี่ล่ะครับ