ชมกรุงฉบับย่อ... "นิทรรศน์รัตนโกสินทร์" @ กรุงเทพฯ
จริง ๆ บล็อกนี้ว่าจะเขียนตั้งแต่วันอาทิตย์ แต่ก็ไม่ได้เขียน มัวแต่ตบตีกับแมว... ชีวิต!! 41

2-3 วันมานี้ฝนตกชุ่มฉ่ำดีนะคะ ค่อยหายร้อนไปบ้าง อากาศดี ๆ ไม่ร้อนแบบนี้ต้องเดินเล่นค่ะ 24 ไม่พ้นรัตนโกสินทร์ชั้นใน ผ่านตรงนี้ว่าจะแวะหลายรอบแล้วไม่ได้แวะซะที วันนี้แหละแวะชม "นิทรรศน์รัตนโกสินทร์" กันดีกว่าค่ะ 

"นิทรรศน์รัตนโกสินทร์" หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า "Ratanakosin Exhibition Hall" อยู่ในความดูแลของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินกลาง อยู่ฝั่งเดียวกับลานเจษฎาบดินทร์ แต่อยู่ถัดไปนิดนึงค่ะ 




นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์) 8.00 - 17.00 น. ค่าเข้าชม 100.- บาท (ทั้งคนไทยและต่างชาติ) ค่ะ 

ด้านในจัดแสดงเกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์จนมาเป็นกรุงเทพฯ จัดเป็นห้อง ๆ มี
เส้นทางให้เดินชม 2 เส้นทาง

เส้นทางที่ 1 มี 7 ห้องค่ะ
1) รัตนโกสินทร์เรืองโรจน์
2) เกียรติยศแผ่นดินสยาม
3) เรืองนามมหรสพศิลป์
4) ลือระบิลพระราชพิธี
5) สง่าศรีสถาปัตยกรรม
6) ดื่มด่ำย่านชุมชน
7) เยี่ยมยลถิ่นกรุง

ส่วนเส้นทางที่ 2 มี 2 ห้องค่ะ
1) เรืองรุ่งวิถีไทย
2) ดวงใจปวงประชา

ซึ่งการเยี่ยมชมใช้เวลาเส้นทางละ 2 ชั่วโมง จริง ๆ อยากชมทั้ง 2 เส้นทางเลย แต่ไปถึงเกือบบ่ายสองแล้ว เลยชมได้แค่เส้นทางเดียว ก็เลยเลือกเส้นทางที่ 2 ไป บอร์ดต้อนรับใหญ่มาก มีความหมายด้วยนะเออ 51




นั่งรอแป๊บนึงถึงเวลา เจ้าหน้าที่อธิบายกฎการเข้าชม ที่นี่ถ่ายภาพนิ่งได้แต่ห้ามใช้แฟลช ห้ามถ่ายวิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหว ห้ามอัดเสียงเจ้าหน้าที่ ห้ามน้ำและอาหาร ห้ามลูกอมและหมากฝรั่งด้วยค่ะ

เราว่าชัดเจนดี เจ้าหน้าที่อธิบายได้สุภาพ ชัดถ้อยชัดคำ และภาษาอังกฤษเป๊ะเลยทีเดียว

และอย่างที่บอกค่ะ ทุกสิ่งอย่างควรจะมีความหมาย เห็นที่บอร์ดต้อนรับใช่มั้ยคะ มีส่วนที่เป็นเส้น ๆ ตารางสีทอง ๆ จะเลียนแบบมาจากลวดลายของ "พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม" สมัยก่อนใช้การสัญจรทางน้ำ แม่น้ำหลักของเราคือแม่น้ำเจ้าพระยา และสมัยก่อนก็ไม่มีแผนที่ด้วย (คิดว่าเราไม่ได้อยู่ในแผนที่เค้ามากกว่านะ 39) มาถึงแถบนี้เห็นพระปรางค์วัดซึ่งมีความสูงและลวดลายโดดเด่นก็จะรู้ได้ว่ามาถึง "ประเทศสยาม" แน่แท้แล้วนะเจ้าคะ เราเข้าไปชมเมืองสยามกันเถอะเจ้าค่ะ 120  




มีเรื่องน่ารัก คือ ตอนที่เจ้าหน้าที่บอกว่าห้ามน้ำและอาหาร น้องตัวเล็กมีขวดน้ำก็ยกให้คุณแม่ดู เจ้าหน้าที่บอกน้องด้วยน้ำเสียงใจดีว่ารบกวนฝากขวดน้ำไว้กับประชาสัมพันธ์ก่อนนะคะ เจ้าหน้าที่จะเก็บไว้ให้ค่ะ เดี๋ยวชมเสร็จค่อยมาเอาคืนนะคะ

น้องสาวตัวเล็กรีบวิ่งไปที่ประชาสัมพันธ์โดยไม่ต้องให้คุณแม่บอก ยืดตัวยื่นให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เองเลยด้วยนะ น่ารักจริง ๆ ค่ะ




เราชมเส้นทางที่ 2 เนอะ




ส่วนแรกเป็น "เรืองรุ่งวิถีไทย" ที่จะเป็นการแสดงเกี่ยวกับวิถีการใช้ชีวิตของคนในกรุงรัตนโกสินทร์เรื่อยมาจนปัจจุบัน แค่เปิดห้องแรกมาก็ตื่นตาตื่นใจแล้วกับโมเดลบ้านไม้สมัยก่อน 

 


บ้านหลังต่าง ๆ ที่แสดงถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของคนไทยตั้งแต่การเกิด




การโกนผมไฟ (บ้านหลังซ้ายมือ) การแต่งงาน (บ้านที่มีช้างและขบวนขันหมาก) และการทำพิธีเผาศพที่สมัยก่อนไม่ได้ทำในวัด (บ้านด้านขวามือค่ะ)

 


หลังจากนั้นเราจะลงเรือชมชีวิตความเป็นอยู่สองฝั่งคลอง ที่ถือว่าเป็นการตั้งถิ่นฐานของชุมชนในยุคแรก ๆ เพราะน้ำมีความสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวัน การบรรยายจะบรรยายผ่านเพลงยาว... หรือเปล่านะ... ที่ร้องตอบโต้กันของหญิงและชายน่ะค่ะ






ลงเรือจริง ๆ นะ เราว่าการนำเสนอในพิพิธภัณฑ์เดี๋ยวนี้ไม่น่าเบื่อเหมือนแต่ก่อน มีการให้ผู้ชมสามารถมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ได้มากที่สุด 23




เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ความเจริญเข้ามามากขึ้น ระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ถูกนำเข้ามาใช้ มีไฟฟ้า มีถนน มีรถราง 23... เรือที่เรานั่งอยู่ก็เปลี่ยนเป็นรถรางด้วยนะ ทรานฟอร์เมอร์ชัด ๆ... ไม่ใช่ละเนอะ แหะๆๆ 24




แน่นอนว่าความเจริญที่เข้ามาช่วงแรกก็ต้องเป็นแถบถนนเจริญกรุง (พอมาถึงตรงนี้ รู้ไหมว่า "ถนนเจริญกรุง" ภาษาอังกฤษเขียนยังไง ถูกแล้วค่ะ "New Road" อันนี้ไม่เกี่ยวกับนิทรรศน์รัตนโกสินทร์เน้อ เป็นภาษาอังกฤษวันละคำ... ที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว... แล้วจะมาบอกให้เสียเวลาทำไมนะ?? แหะๆๆ 51

การเล่าเรื่องในสมัยนั้นที่หลวงท่านมีเสาไฟ เสาตะแล็ปแก็ป (อะไรคือตะแล็ปแก็ปน้าาา?? 138 ฮ่าๆๆ หลายคนคงทราบอยู่แล้วเนอะ) เป็นการเล่าผ่านบทสนทนาของพี่น้องสองสาวที่อยู่ชั้นสองของตึกแถวน่ะค่ะ




แล้วตึกแถวในย่านธุรกิจพวกนี้ขายอะไรกันบ้างนะ มีหลายอย่างนะแถวนี้ และไม่ใช่แค่ร้านค้า เมื่อมีการดำริตั้งโรงเรียนขึ้นมาก็มีโรงเรียนชายแห่งแรก "สำเหร่ บอยส' สกูล" (โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนในปัจจุบัน) แล้วหลังจากนั้นก็มี "โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง" (โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยในปัจจุบัน) อีกด้วย




อันนี้ จขบ เริ่มซน ด้วยความเป็นคนสมาธิสั้น พอฟังอะไรยาว ๆ แล้วจะต้องมองหาอะไรทำซักอย่าง เกือบจะลองข้ามสะพานไปดูฝั่งคลอง ผนังเราว่าเป็นกระจกนะ แต่ที่พื้นเค้าเล่นกับแสงไฟทำเป็นน้ำได้สวยจังค่ะ




"ห้างขายของฝรั่ง" เป็นร้านที่ขายของนำเข้า คาดว่าลูกค้าน่าจะเป็นคนในสังคมชั้นสูงนะคะ เพราะมีทั้งเครื่องแก้วจากยุโรป น้ำหอม มีไปถึงของชิ้นใหญ่ เช่น เครื่องเล่นแผ่นเสียงและโซฟาเลยทีเดียว สงสัยแฮะว่าสมัยก่อนมีภาษีนำเข้ามั้ยนะ?? เดี๋ยวต้องไปหาคำตอบ

  




ร้านขายยา "บำรุงชาติสาสนายาไทย" ซึ่งตอนนี้ยังเปิดกิจการอยู่นะคะ เป็นเจเนเรชั่น 4 แล้วค่ะตอนนี้ จะขายยาตำรับไทย ขายมาตั้งแต่สมัย... นานแล้ว 67 ตอนนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยค่ะ สมัยก่อนไม่มียาปฏิชีวนะเนอะ ก็รักษากันแบบแผนไทย ด้านล่างเป็นเครื่องบดพวกเขาสัตว์ กระดูกสัตว์ หรืออะไรที่แข็ง ๆ ให้เป็นผง ผสมสมุนไพรต่าง ๆ ปั้นเป็นยาลูกกลอน บางครั้งก็จะมีการผสมน้ำผึ้งให้หวาน ๆ รับประทานง่ายค่ะ

  




ต่อมาการแพทย์แผนปัจจุบันถูกนำเข้ามา มีการใช้อุปกรณ์การแพทย์แบบปัจจุบัน คนไข้ก็กลัวอุปกรณ์พวกนี้ยังไม่กล้าไปรักษา รัชกาลที่ 5 ก็... พูดง่าย ๆ... ใช้วิธีบังคับให้ผู้ป่วยเข้าไปรักษาโดยเริ่มจากทหารและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย ก็กลายเป็น "โรงพยาบาลศิริราช" ขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาค่ะ 

ที่เห็นจะเป็นชื่อของผู้ที่มีบทบาทในการปฏิวัติการแพทย์แผนปัจจุบันในไทย ที่เราสนใจคือมีผู้หญิงด้วย นับว่าพระองค์ท่านมีวิชชั่นกว้างไกลเลยทีเดียว เพราะแต่ก่อนผู้หญิงไม่ค่อยมีสิทธิ์มีเสียงเนอะ ต้องนั่งทำงานบ้าน (แต่ถ้ามาไล่ดู จะเห็นว่าในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทีมงานผู้หญิงเยอะเลยที่ช่วยด้านในการทำงานด้านต่าง ๆ)




เมื่อมีการค้าขายทั้งในและต่างประเทศก็ต้องมีการทำธุรกรรมการเงิน ได้มีการก่อตั้ง "แบงก์สยามกัมมาจล ท.จ.ก." ขึ้น การตกแต่งแบบเป็นลูกกรงแบบนี้ยังมีที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อยนะคะ เป็นสาขาแรกของธนาคารค่ะ




มีการใช้เหรียญกษาปณ์และธนบัตรแทนเบี้ย แต่ก่อนไม่มีเครื่องนับเหรียญ (สมัยนี้มีเครื่องนับเหรียญแล้ว แต่ฝากเหรียญเยอะไม่ได้ วันนั้นเห็นหลานแล้วสงสารเลย สมัยเรายังหอบกระปุกออมสินของธนาคารออมสินไปนั่งนับได้เนอะ พี่สอนให้หลานเก็บออม น้องก็หยอดกระปุกทุกวัน เอาไปที่ธนาคารม่วงนี่แหละ ได้รับแจ้งว่าไม่รับเหรียญ น้องหน้าจ๋อยเลย เลยต้องแลกเป็นธนบัตรกับพี่ พี่ก็เอาเหรียญเก็บไว้จ่ายค่าทางด่วนแทน) เอ๊ะ... นอกเรื่องอีกแล้ว ถึงไหนแล้วนะคะ แหะๆๆ

อ้อ... ไม่มีเครื่องนับเหรียญ แต่จะใช้ กระดานนับเหรียญ แทน โดยเทเหรียญลงที่กระดาน แล้วเกลี่ยเหรียญให้เต็มกระดาน อย่างกระดานนี้ก็มีทั้งหมด 128 เหรียญค่ะ 24




สมัยก่อนก็มีเช็คใช้ด้วยนะคะ




มีธนาคารไปแล้วก็ต้องมีไปรษณีย์ใช่มั้ย (เซนเซอร์น้องผู้ชมรอบเดียวกัน ไม่ใช่ จขบ ค่ะ จขบ ไม่หุ่นดีขนาดนี้ 66)




ตู้ไปรษณีย์ที่ใช้กันในประเทศสยามนี่ผลิตเองไม่ได้นะคะ ต้องนำเข้าจากอังกฤษ ตู้ไปรษณีย์ก็เลยมีสีแดง มีรหัสผลิต และมีตัวอักษร LONDON ที่ด้านล่าง ซึ่งตอนนี้ตู้ไปรษณีย์จากอังกฤษในประเทศไทยไม่มีแล้วนะคะ จะเหลืออยู่ตู้เดียวเท่านั้นคือที่ อ.เบตง จ.ยะลา... อื้มม... กลับไปเบตงอีกรอบได้ไหม 39




สมัยก่อนจดหมายเราเรียกว่า "หนังสือ" การส่งจดหมายที่ตู้ไปรษณีย์ก็จะเรียกว่า "การทิ้งหนังสือ" ค่ะ มีเวลาไขบอกไว้ ก.ท คือ ก่อนเที่ยง และ ล.ท คือ หลังเที่ยง นะคะ 




พาหนะของบุรุษไปรษณีย์ค่ะ เดี๋ยวนี้เป็นมอเตอร์ไซค์แล้วเนอะ 23



อ้อ... เกือบลืม... นอกจาก "หนังสือ" แล้วเนี่ย เรายังมี "ตะแล็ปแก็ป" ซึ่งก็คือ โทรเลข นั่นเอง เคาะรหัสออกมาเป็นตัวอักษร เป็นที่นิยมเพราะเร็วแต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นหน่อย ตะแล็ปแก็ป มาจากคำว่า telegraph ไม่ใช่มาจากเสียงการเคาะนะคะ การเคาะรหัสของโทรเลขจะไม่มีเสียงค่ะ


สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเราก็ได้รับผลกระทบ เครื่องบินมาทิ้งระเบิดก็ลงหลุมหลบภัย ว้า!! ไม่มีโกโบริ 55




ในหลุมก็จะไฟมา ๆ ดับ ๆ ติด ๆ ช่วงนี้ประเทศเราก็จะชาตินิยมนิดนึง มีเพลงชาติ พยัญชนะและสระถูกตัดออกไปด้วยนะคะ พวกที่ซ้ำ ๆ กันทั้งหลาย และเปลี่ยนวิถีชีวิตให้มีอารยธรรมเหมือนคนต่างชาติ เปลี่ยนจากห่มสไบ นุ่งซิ่นมาเป็นสวมเสื้อ สวมกระโปรง สวมรองเท้า สวมหมวก ถือร่ม งดการทานหมากเด็ดขาด ใครทานมีความผิดถึงขั้นจับเข้าคุกเลย ความผิดกฏหมายไม่ได้อยู่ที่ทานหมากแต่อยู่ที่บ้วนน้ำหมากเลอะเทอะที่สาธารณะ ประมาณทิ้งขยะโดนทั้งจับและปรับงี้ 67




หลังสงครามก็จะเป็นสมัย 2499 อันธพาลครองเมืองละ ช่วงวังหลังเฟื่องฟู ทหาร คนต่างชาติ ที่เข้ามาช่วงนั้นไม่ได้มาเปล่า เอาวัฒนธรรมเค้าเข้ามาด้วย เช่นพวกตู้เพลง หนังสือ หนัง ภาพยนตร์ และความบันเทิงต่าง ๆ




ร้าน "กาแฟหลังวัง" นี่ขาดไม่ได้เลยเนอะในเหล่าพิพิธภัณฑ์ย้อนยุค เพราะร้านกาแฟสมัยก่อนไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่เป็นจุดกำเนิดของงานคิด งานเขียน นักหนังสือพิมพ์ มี สภากาแฟ ที่นั่งถกการเมืองกันอย่างสร้างสรรและถึงพริกถึงขิง








มีการจัดทำหนังสือวารสาร นิตยสาร ต่าง ๆ ที่ช่วงแรกจะเป็นเรื่องบันเทิงซะมาก แต่ต่อมารัชกาลที่ 6 มีการให้ประชาชนออกความเห็นได้ค่อนข้างจะเสรีมากขึ้น content ของหนังสือต่าง ๆ ก็จะเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น




ทำไมเนื้อหาเยอะอ่ะ... หรือเราเวิ่นเว้อ 138 รวบรัดตัดความ จบส่วนแรกเลยดีกว่า 69 

คือจริง ๆ มันก็จบแค่นี้แหละค่ะ แต่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ทิ้งคำถามไว้ให้ผู้ชมได้คิด กว่าจะมาเป็นไทยได้ทุกวันนี้เราก็ผ่านอะไรมาเยอะเนอะ ตอนจบได้มีการกล่าวถึงผู้ที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในด้านบันเทิง ครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือในด้านการปกป้องดูแลประเทศ จ่าเพียร ครูจูหลิง ผู้กองแคน... คำถามคือ...

แล้ว.. วันนี้..เราเริ่มทำอะไรหรือยัง?

คำถามนี้... เราเชื่อว่าหลากหลายคำตอบเลยล่ะ... แล้วคุณล่ะ ตอบตัวเองว่าอะไร?? 23

5






ต่อ ๆ ค่ะ... ยังไม่จบค่ะ... ฮ่าๆๆ ไปต่อส่วนที่สอง "ดวงใจปวงประชา" ค่ะ

 


จะเป็นเรื่องราวของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 และก็เป็นเรื่องราวตั้งแต่สร้างกรุงของรัชกาลที่ 1 มาถึงการรักษาและสร้างต่อของรัชกาลที่ 2 มีการจารึกความรู้ต่าง ๆ ไว้ตามกำแพงวัดบ้างเพื่อป้องกันการสูญหายและถูกทำลาย




และเริ่มแผ่ขยายทางการค้าของรัชกาลที่ 3 อันนี้คือสิ่งที่เราสนใจ... "เงินถุงแดง"

มีรายงานว่าตอนที่รัชกาลที่ 3 สวรรคตนั้น เงินถุงแดง (คือเงินในท้องพระคลังจากการทำธุรกิจกับต่างชาติและบริหารบ้านเมือง) มีถึงสองล้านกว่าบาทมั้ง คิดเป็นเงินสมัยนี้เท่าไหร่นะ แต่เยอะอ่ะ อะไรจะมี business mind ขนาดนั้น ฟังแล้วอยากเรียนรู้ถึงวิธีการทำธุรกิจของพระองค์ท่านขึ้นมาทันที




รัชกาลที่ 4 จะมีพระปรีชาสามารถด้านศาสนาและดาราศาสตร์ มาถึงรัชกาลที่ 5 ที่มีการเสด็จประพาสทั้งในและต่างประเทศ เลิกทาส และสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ ขึ้น

การจัดแสดงทำได้ดีมากค่ะ ทั้งในการเล่าเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่นำชม การใช้แสง สี รวมถึงการสร้างฉาก






ความรู้ฉบับย่อ ๆ ยังหลั่งไหลมาเรื่อย ๆ การสร้างเมืองจำลองและสนับสนุนด้านการศึกษาของรัชกาลที่ 6 การเปลี่ยนแปลงการปกครองและสละราชสมบัติ รวมถึงการให้มีรัฐธรรมนูญของรัชกาลที่ 7 และการทรงงานของรัชกาลที่ 8

พีคสุดสำหรับเราของส่วนนี้คือรัชกาลที่ 9 เพราะรัชสมัยของพระองค์ท่านเพิ่งสิ้นสุดไป และท่านครองราชย์นานที่สุด การนำเสนอไม่ได้ดราม่าแบบเล่นกับความรู้สึกผู้ชม การบรรยายเป็นไปอย่างธรรมดามาก แต่เห็นคนแอบเช็ดน้ำตาเลยแหละ










จบเถอะ... จบการแสดงนิทรรศการเส้นทางที่ 2 ค่าาา... 120

เห็นนะ แอบโล่งใจกันเป็นแถบใช่มั้ย จบบล็อกได้ซะที ฮ่าๆๆ... ผ่อนคลายด้วยการขึ้นไปชมวิวที่ห้องชมวิวค่ะ มองเห็นโลหะปราสาท




และ ภูเขาทอง กับ ลานเจษฎาบดินทร์




นี่แค่ 2 ห้อง แต่ก็ใช้เวลาลา 2 ชั่วโมงเลยค่ะ ค่าเข้าชม 100.- บาท แต่ได้อะไรมากมาย ได้ผ่อนคลาย ได้เรียนรู้ ได้หันมามองตัวเอง มาอยู่กับตัวเอง รู้สึกมีพลังขึ้นมาอีกครั้ง

เหนื่อยกันไหม ถ้าเหนื่อยก็แวะดื่มน้ำก่อนกลับนะคะ




ส่วนเรา... เดินเลาะมานั่งทานก๋วยเตี๋ยวเป็ดตรงข้ามวัดบวรฯค่ะ เป็ดตู้มมาก ข้างล่างเนื้อและเครื่องในนั่นเป็นน่องค่ะ ชามละ 60.- บาท 151 




ทานไปพร้อมกับคิดว่าจะกลับไปเก็บ 7 ห้องที่เหลือ บล็อกน่าจะยาวถึงสุไหงโกลกเลยทีเดียว แหะๆๆ

ไปล่ะค่ะ สวัสดีวันที่เย็นชุ่มฉ่ำนะคะ 151


 



Create Date : 13 พฤษภาคม 2562
Last Update : 14 พฤษภาคม 2562 20:47:40 น.
Counter : 2301 Pageviews.

20 comments

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณทนายอ้วน, คุณSweet_pills, คุณกะว่าก๋า, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณKavanich96, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณnewyorknurse

  
มาแล้วๆค่ะคุณแฟร์ อีกสักพักจะแวะมาใหม่นะคะ

จัดการอาหารเย็นให้พวกลูกๆก่อนนะคะ

นั่งหน้าหักกันอยู่ค่ะ
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 14 พฤษภาคม 2562 เวลา:18:39:02 น.
  
การเข้าชม มีกฏระเบียบก็ดีนะคะ ไม่นำน้ำและอาหารเข้าไปดื่มไปกินข้างใน เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครจะช่วยรักษาความสะอาด เพราะเจอพวกมักง่าย กินแล้วทิ้งไว้ตามซอกตามมุมเพราะขี้เกียจถือนำไปทิ้งที่ถังขยะ และกลิ่นอาหารที่นำเข้าไปอีก

ขอบคุณที่พาเที่ยวพาชมค่ะคุณแฟร์

แล้วจะตามไปสุไหงโกลกต่อจ้า ฮี่ๆๆ
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 14 พฤษภาคม 2562 เวลา:19:22:54 น.
  
บล็อกน่าจะยาวถึงสุไหงโกลก ตอนนี้ถึงประจวบยัง...อิอิ
ขอบคุณที่พาเที่ยว..ได้ความรู้มากค่ะ^^
ส่องก๋วยเตี๋ยวก่อน ดูว่าสั่งเส้นอะไร...
โดย: สันตะวาใบข้าว วันที่: 14 พฤษภาคม 2562 เวลา:20:13:58 น.
  
อยากจะโหวตร้านอาหารเลยคครับ ก๋วยเตี๋ยวเป็ดน่ากินสุดๆ ฮ่าๆๆ
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 14 พฤษภาคม 2562 เวลา:21:27:15 น.
  
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับคุณแฟร์

เป็นนิทรรศการที่น่าสนใจมากเลยนะครับ
เราจะรู้ปัจจุบันได้จากการเรียนรู้อดีตจริงๆ
แต่ละจุดน่าสนใจมากๆ
ผมเองก็ทันได้เห็นร้านกาแฟแบบสมัยก่อนนะครับ 555


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 14 พฤษภาคม 2562 เวลา:22:02:22 น.
  
นิทรรศการจัดดีมากๆค่ะคุณแฟร์
ชมเพลินและได้ความรู้ด้วย
มีหลายเรื่องที่ยังไม่เคยรู้
รูปสวยมาก ขอบคุณคุณแฟร์ที่พาชมนะคะ
แต่ตอนนี้หิวก๋วยเตี๋ยวเป็ดเครื่องตู้มขึ้นมาแล้วค่ะ

โดย: Sweet_pills วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:0:47:46 น.
  


สวัสดียามเช้าครับคุณแฟร์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:6:13:21 น.
  
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ

หลายสิ่งหลายอย่าง
พอโตมามันก็หายไปจริงๆครับ

ผมเองพอมีลูก
วิธีคิดก็เปลี่ยนไปเยอะมาก
เริ่มฝึกคิดในมุมของเค้าด้วยครับ
ไม่ใช่คิดแต่มุมของพ่อแม่อย่างเดียว

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:10:55:35 น.
  
โห ดีใจๆๆๆ บล็อกนี้น่าสนขนาด
แต่ใกล้เที่ยงแล้ว ไปทำก๋วยเตี๋ยวก่อนนะคะ
ดูแล้วอยากได้สักชาม

เดี๋ยวกลับมาผ่อต่อนะคะ

โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:11:04:12 น.
  
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:11:30:59 น.
  
กลับมาตามต่อละค่ะ น่าขชมมากๆ
ตอนนี้ยาวถึงชุมพรหรือยังคะ
ถ้าถึงสุไหงโกลกก็ไปเที่ยวต่อมาเลเซีย
สิงโปรค์เลยเนอะ

โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:14:25:55 น.
  
มาเที่ยวด้วยครับ
ขอบคุณที่นำภาพมาให้ชมครับ
ก๋วยเตี๋ยวเป็ด เนื้อเป็ดเยอะน่ารับประทานมากๆครับ
ชื่อจริงดอกไม้ ดอกว่านแสงอาทิตย์ครับ
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 15 พฤษภาคม 2562 เวลา:23:38:50 น.
  
ย่องๆมาแอบกินเตี๋ยวเป็ดยามดึกค่ะคุณแฟร์
โดย: โอน่าจอมซ่าส์ วันที่: 16 พฤษภาคม 2562 เวลา:1:40:50 น.
  


สวัสดียามเช้าครับคุณแฟร์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 พฤษภาคม 2562 เวลา:6:32:02 น.
  
สุขสันต์วันอากาศดีจ้า...คุณแฟร์^^
โดย: สันตะวาใบข้าว วันที่: 16 พฤษภาคม 2562 เวลา:16:18:44 น.
  
ทักทายบ่ายวันพฤหัสค่ะ คุณแฟร์

โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 16 พฤษภาคม 2562 เวลา:17:04:55 น.
  
คำสอนของหลวงพ่อจรัญ
ยังคงทันสมัยและใช้ได้จริงอยู่เสมอนะครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 พฤษภาคม 2562 เวลา:21:50:25 น.
  
วันนี้ฝนไม่ตกลงมาแม้แต่นิดเดียวเลยนะคะ
คุณแฟร์นอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ
โดย: Sweet_pills วันที่: 16 พฤษภาคม 2562 เวลา:23:59:37 น.
  

สวัสดียามเช้าครับคุณแฟร์

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 พฤษภาคม 2562 เวลา:6:42:48 น.
  

มาเที่ยวด้วยค่ะ
โดย: newyorknurse วันที่: 20 พฤษภาคม 2562 เวลา:2:05:11 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

melody_bangkok
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]



ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บางครั้งก็มีโลกส่วนตัวสูงมากมาย แต่ในบางครั้งก็พยายามจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัวของคนอื่น... :P
ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ... ^^
Daisypath Vacation tickers
พฤษภาคม 2562

 
 
 
1
3
5
6
7
9
10
11
12
14
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog