|
|||||
ทำนา สร้างบ้านดิน ... โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ @ สระแก้ว สวัสดีค่าาา... หายไปกลายสภาพเป็นผู้ป่วย... รู้สึกว่าพออายุเริ่มเยอะขึ้น เวลาไม่สบายก็เริ่มหายช้าขึ้นเหมือนกันเนอะ แค่เป็นไข้หวัดแต่นอนติดเตียงไม่ขยับอยู่ 3 วันเต็ม แต่ตอนนี้กลับมาแล้วค่ะ และก็มีเรื่องเล่าอีกแล้วแหละ เป็นทริปเมื่อวันเสาร์ที่แล้วก่อนจะกลายสภาพเป็นผู้ป่วยน่ะค่ะ
แต่ก่อนเวลาออกไปต่างจังหวัด เราจะเห็นภาพทุ่งนา ภาพชาวนาทำนาด้วยควายกันเนอะ แต่สมัยนี้เริ่มเห็นน้อยลง เหมือนว่าเค้าใช้เทคโนโลยี ใช้เครื่องยนต์ในการทำนามากขึ้น เราเลยสงสัย อยากรู้จักควายขึ้นมา (จริง ๆ เหมือนอยากรู้จักสัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ แหะๆๆ ) แล้วโอกาสก็มาถึงเมื่อชมรมจิตอาสาเพื่อเรียนรู้วิถีชุมชนได้จัดกิจกรรมนี้ขึ้นมา เราก็เลยสมัครเข้าร่วมค่ะ เป็นกิจกรรม ค่ายทำนาสร้างบ้านดิน ที่ โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ จ.สระแก้ว และก็เป็นอีกครั้งที่พอบอกเพื่อนอย่างภูมิใจว่าจะไปเลี้ยงควาย เพื่อนขำกันก๊าก บางคนบอกว่าเปลี่ยนจากช้างเป็นควายก็นับว่ามีพัฒนาการ และบางคนก็บอกว่าเลี้ยงตัวเองก็ได้นะ ไม่น่าจะต่างกัน... อืมม... จ้ะ เราลืมเสียงนกเสียงกา แล้วมารู้จักโรงเรียนกาสรกสิวิทย์กันดีกว่านะคะ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิชัยพัฒนาจัดตั้งโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2552 เพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับฝึกกระบือให้สามารถไถนาและทำงานด้านการเกษตรกรรม และสอนผู้ที่ต้องการใช้กระบือทำการเกษตรให้สามารถทำงานร่วมกับกระบือได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดูแลกระบือให้มีสุขภาพแข็งแรง นอกจากนี้ จะเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบพื้นบ้านที่เรียบง่ายและการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้วย (ขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซต์โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ www.kasorn.com ค่ะ)
เราจำไม่ได้ว่ากระบือที่นี่มีกี่ตัว แต่ทั้งหมดจะเป็นกระบือที่มาจากการไถ่ชีวิตโคกระบือค่ะ มีบ้างที่มาจากชาวบ้าน และเนื่องจากที่นี่เป็นกระบือทรงเลี้ยง ก็จะเรียกว่า กระบือ โดยมี "คุณ" นำหน้าชื่อกระบือแต่ละตัว เช่น คุณเผือก คุณนกกระเต็น อะไรก็ว่าไป เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯแต่เช้า อากาศดีมากเลยค่ะวันนี้ ไม่มีฝน ไม่มีแดด และไม่ร้อนอบอ้าว ขับรถไปเห็นหมอกด้วยนะคะ (รูปวันนี้จะไม่ค่อยชัดเพราะใช้กล้องคอมแพคแบบเด็ก ๆ และกล้องมือถือล้วน ๆ บางครั้งก็ขี้เกียจหอบของเยอะโดยเฉพาะจะไปเลอะเทอะแบบวันนี้น่ะค่ะ)
มาถึงโรงเรียนกาสรกสิวิทย์สาย ๆ ไม่ค่อยได้ออกมาทางนี้แฮะ ปกติจะขึ้นเหนือไม่ก็ลงใต้ พอได้มาทางนี้ ธรรมชาติทางนี้ก็สดชื่นดีเหมือนกันค่ะ คุณเผือก กระบือเซเล็บฯ เรียกเซเล็บฯเพราะเป็นดาราของที่นี่ คอยต้อนรับแขกอยู่เลยค่ะ เริ่มต้นกิจกรรมด้วยการฟังบรรยายเรื่องโรงเรียนและกิจกรรมของที่นี่ พร้อมทั้งเรียนรู้คำสั่งง่าย ๆ ในการสั่งให้ควายทั่ว ๆ ไปไถนา เช่น หึ้ย คือให้เดินไปข้างหน้า หรือ ยอ ก็คือหยุด เราต้องทราบมั้ย ต้องทราบค่ะ เพราะเราจะไปลองไถนากันด้วย
การไถนามีเรียกกันหลายอย่างเลยเนอะ แต่วันนี้เราจะ ไถดะ กันค่ะ
ไถดะ คือ การไถครั้งแรกเลยของการทำนา เป็นการไถเตรียมดินเพื่อพลิกหน้าดินกำจัดวัชพืชก่อนจะเปิดน้ำทิ้งไว้ให้วัชพืชตาย แล้วค่อยปล่อยน้ำออก แล้วไถใหม่เพื่อปลูกข้าว คือฟัง ๆ นี่ไถกันหลายรอบมากอ่ะ ไถนู่นนี่นั่น รู้สึกเหนื่อยตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือไถ วิทยากรชี้ให้ดูว่านี่คือวัชพืช... ทำไมสวย??
กระบือที่เอามาไถนาจะเริ่มฝึกกันตั้งแต่ 2 ขวบ มีอายุการทำงานประมาณ 15 ปี และอายุเฉลี่ยของควายทั่ว ๆ ไปประมาณ 25-30 ปี แต่ถ้าเลี้ยงดูดี ๆ บางทีอยู่ได้เป็น 40 ปีเลยค่ะ และ คุณนกกระเต็น จะมาเป็นกระบือสาธิตของเราในวันนี้ค่ะ ทุกคนก็อยากลองทำ แม้แต่น้องตัวเล็กพูดภาษาอังกฤษไฟแลบที่ถูกคุณแม่หลอกมา เราว่าคุณแม่น่ารักมาก ด้วยความที่เด็กสมัยนี้จะอยู่กับเกมส์คอมพิวเตอร์ ทำกิจกรรมในสถานที่ติดแอร์เย็นฉ่ำ คุณแม่เลยหลอกมาให้สัมผัสธรรมชาติ ตอนแรกน้องดูงง ๆ แต่พอได้เริ่มสัมผัสสิ่งที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ดูน้องสนุกมาก น้องลงไปไถนาอย่างสนุกสนานเลย แถมขอกระโดดขี่ควายโดยไม่กลัวเลยค่ะ คุณครูทำให้ดูก่อนค่ะ มือขวาประคองคันไถ มือซ้ายจับเชือกประคองกระบือ
โอ๊ยย... ดูตาสิ ช่างน่ารัก แล้วก็ถึงคราวนักเรียน เกิดมาไม่เคยลงโคลนขนาดนี้ อย่าว่าแต่ถือคันไถ จะทรงตัวกันยังยาก พอถือคันไถเข้าไปขอบอกว่าคุณกระบือทั้งหลายเดินเร็วมาก ก้าวได้ 3 ก้าวล้มค่ะ เลอะสุด ๆ เหมือนจะได้รู้เพิ่มอีกอย่าง ที่เค้าว่ากันว่า เดินตามควาย เข้าใจแล้ว เดินเร็วแบบนี้นี่เอง
เมื่อคนเดียวไม่น่าจะรอด ก็ต้องร่วมด้วยช่วยกันค่ะ คนนึงถือเชือก อีกคนถือคันไถเถอะ... ง่ายกว่า เชื่อมั้ยคะ แค่ไถจากแปลงนาฝั่งนึงไปอีกฝั่งนึง แล้วไถกลับมา เหนื่อยหอบ เหงื่อไหลชุ่มตัว นี่ขนาดวันนี้ไม่ร้อน ไม่มีแดด อากาศดีด้วยนะ
ไม่อยากจะนึกว่า... ชาวนาที่เค้าต้องไถนาตากแดดตากฝนทั้งวันจะเหนื่อยแค่ไหน
พูดแล้วซึ้ง นี่แค่ขั้นแรกของการเตรียมดินนะ ยังไม่รวมไถอะไรไม่รู้อีกหลายรอบ ดำนา ปลูกต้นกล้า... กว่าจะมาเป็นรวงข้าวไม่ง่ายเลย เป็นรวงข้าวแล้วก็ใช่ว่าจะจบ ไหนจะระวังแมลง ไหนจะเกี่ยวข้าว ไหนจะเฝ้าไม่ให้โดนขโมย ไหนจะต่อสู้ราคาไหนจะอะไรต่อมีอะไร... บางครั้งก็แอบคิดว่าพวกเค้าน่าจะมีรายได้ที่มากกว่านี้
ล้างแขนล้างขา พักกันนิดหน่อย ก็มาดูวิธีการสร้างบ้านดินค่ะ เราสามารถสร้างบ้านดินกันได้ทุกที่ ข้อดีคือบ้านดินจะเย็นและมีอายุการใช้งานนานพอสมควรเลยค่ะ เริ่มจากเราเอาดินมาผสมกับฟาง ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดเท่าลูกเปตองก็พอค่ะ แล้วก็เอามาแปะเข้าไปที่โครงบ้านที่ขึ้นเตรียมไว้แล้ว เวลาแปะก็มีวิธีแปะอีก เราสามารถใช้ภมิปัญญาชาวบ้านเข้าไปดัดแปลงกับบ้านดินได้ด้วยนะเออ การผสมสี การป้องกันแมลงด้วยการใช้สมุนไพร อืมม... ยาว เอาเป็นว่าใครสนใจสร้างบ้านดินหลังไมค์มาค่ะ เดี๋ยวจะบอกทางไปโรงเรียนกาสรกสิวิทย์ให้... อ้าว ไม่ใช่ละ แหะๆๆ อ้อๆๆ... อย่างนึงค่ะ ดินที่ดีที่สุดในการสร้างบ้านดินจะเป็นดินร่วนปนทราย เราว่าน่าจะมีหลายคนมีคำถามว่ามันควรจะเป้นดินเหนียวหรือเปล่า คำตอบคือเค้าไม่ใช้ดินเหนียวค่ะ เพราะพอเวลาผ่านไปซักพักจะแตกร้าวแบบนี้ค่ะ กิจกรรมที่เรียกเสียงฮือฮาอีกอย่างหนึ่ง คือ การขีกระบือ ค่ะ ไม่ใช่ใครที่ไหน คุณเผือกของพวกเรานี่แหละ เราเคยขี่ช้างหลายรอบอยุ่ แล้วเราก็ชอบขี่ช้างมาก แต่ขี่ควายนี่ต่างจากขี่ช้างแฮะ ขี่ช้าง ช้างจะใช้ขาส่งเราขึ้นบนหลัง ปางขวัญช้างคู่หูเราส่งค่อนข้างสูง ซึ่งจะขึ้นได้ง่ายหน่อย และเราก็จะขี่ที่คอช้าง ซึ่งเป็นช่วงที่แคบของเค้าใช่มั้ยคะ เอาขาทัดไว้บนหูเค้า จะนั่งค่อนข้างสบาย แต่ขี่ควาย... เหอะๆๆ เราต้องนั่งที่หลัง ซึ่งกว้าง ขึ้นก็ต้องกระโดดขึ้นอย่างเดียวเลย คุณครูบอกว่าบางคนถ้าเก่ง ๆ จะเหยียบขาหลังเค้าแล้วส่งตัวขึ้นไปนั่งบนหลัง ยากกว่าค่ะ เราว่า ผิวสัมผัสเค้าก็ต่างกัน ผิวช้างจะหนาและแข็ง แต่ผิวของ คุณเผือก เราจับไป อุ้ย... นุ่มแฮะ ลื่น เย็น ชอบ ไม่ขีแต่เอาหน้าคลุกถูไถ คุณครูก็ยืนขำ ก็นุ่มง่ะ แหะๆๆ... ความสมบูรณ์เป็นชั้น ๆ ของคุณเผือกว่าน่ารักน่าฟัดแล้ว หางของคุณเผือกก็เป็นพู่นุ่มสลวย ใช้แพนทีน หรือโดฟ กันเนี่ยกระบือที่นี่??
เล่นกับคุณเผือกจนคุณเผือกเริ่มงอแง จะกลับเข้าบ้าน เราก็เลยปล่อยให้คุณเผือกได้พักผ่อน ที่นี่มีร้านกาแฟด้วยนะคะ ชื่อว่า "ควายคะนอง" ค่ะ มีอาหารและเครื่องดื่มขาย ขอบอกว่ากาแฟราคาไม่แพงและอร่อยมาก ไม่แพ้กาแฟแบรนด์นอกเลย และยังมีบางเมนูเป็นเมนูพระราชทานของสมเด็จพระเทพฯ ด้วยค่ะ อร่อยไม่แพ้กัน เครื่องดื่มอื่น ๆ สำหรับคนไม่ดื่มกาแฟก็มีค่ะ แนะนำให้ลองน้ำอัญชันมะนาว เหนื่อย ๆ มาสดชื่นมากค่ะ อีกครั้งที่การออกเดินทางของเราคือการได้เรียนรู้ ขอบคุณน้องธี แห่ง One Fine Day ที่จัดกิจกรรมดี ๆ แบบนี้ขึ้นมาค่ะ และที่ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณ โรงเรียนกาสรกสิวิทย์ ที่ให้ความรู้เราในวันนี้ ที่นี่มีคอร์สนึงที่เราสนใจมาก คือ หลักสูตรเกษตรกรกาสรกสิกรรม จะใช้เวลาประมาณ 10 วัน คือมาฝึกทำนาเลยค่ะ คุณอิ๋ว เจ้าหน้าที่บอกว่ามีชาวนามาเรียนรู้หลายรุ่นแล้ว มาทั่วประเทศเลยค่ะ จากนราธิวาส ปัตตานี ก็มา นั่นสิ แอบนึกถึงที่เราไปนราธิวาส แล้วเราเห็นทุ่งนา พี่ที่มาช่วยขับรถบอกว่าที่นั่นเริ่มทำนากันมากขึ้น
ไม่แน่นะ... ซักวัน เราอาจจะกลับมาอัพบล็อกอีกรอบพร้อมกับเรื่องเล่าของคอร์สนี้ก็เป็นได้ ฮ่าๆๆ สุดท้าย ไม่เกี่ยวอะไรใด ๆ กับเรื่องทำนา แต่จะบอกว่าช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหนาสาหัส ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ นี่เดี๋ยวก็ต้องไปทานยาเช่นกันค่ะ แล้วเจอกันใหม่เมื่อได้ออกเที่ยวค่าา...
ท่องเที่ยววิถีชุมชน วิถีชีวิต นวัตวิถี ช่วงนี้กำลังได้รับความนิยม
เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนชนบท อยากไปสร้างบ้านดินบ้างครับ โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 16 กันยายน 2561 เวลา:0:24:04 น.
อ่านและชมภาพแล้วอยากไปเที่ยวชมบ้างจังเลยค่ะ
อยากไปลองไถนา น่าสนุกดี อยากลองทำบ้านดิน การที่ให้เด็กๆรุ่นใหม่ไปสัมผัส เห็นบรรยากาศแบบนั้น เป็นอะไรที่ดีมากๆ เพราะเด็กสมัยนี้ โดยเฉพาะเด็กในกรุงเทพ แทบจะไม่รู็จักควาย ท้องนาก็แทบไม่เคยเห็น ไปทำกิจกรรมแบบนี้เค้าจะได้เรียนรู้หลายๆอย่าง นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจสุดๆค่ะ ช่วงนี้ฝนชุก คนเป็นหวัดกันเยอะเลยค่ะ ขอให้หายเร็วๆนะคะ ขอบคุณที่แวะชมชบาจิ๋วค่ะ โดย: mambymam วันที่: 16 กันยายน 2561 เวลา:5:43:28 น.
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ
หนังสือเล่มนี้อ่านสนุกครับ แล้วทำให้รู้เลยว่าการเลี้ยงดูที่ไม่ดี นั้นส่งผลเสียมหาศาลต่อสังคม โดย: กะว่าก๋า วันที่: 16 กันยายน 2561 เวลา:22:27:39 น.
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ
กฤษณมูรติเน้นเรื่องของความกลัว และการเป็นอิสระจากความกลัวมากเป็นพิเศษ เดี๋ยวจะมีรีวิวหนังสือของเขาประมาณ 10 เล่ม เดือนที่แล้วผมอ่านกฤษณมูรติไป 10 กว่าเล่มเลยครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 กันยายน 2561 เวลา:23:25:13 น.
สวัสดียามเช้าครับ เดือนที่แล้วอ่านหนังสือของกฤษณมูรติหลายเล่มมากครับ อ่านไม่จบประมาณ 9 เล่ม 555 คืออ่านไปไม่กี่หน้าก็รู้เลยว่าอ่านต่อไม่จบแน่ๆ เนือ้หาภายในเล่มมันไม่เชื่อมโยงกับความสนใจของผมน่ะครับ วางเลย 5555 แต่เล่มที่ชอบก็จะชอบไปเลย จึงนำมารีวิวต่อเนื่องเลยครับ ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 กันยายน 2561 เวลา:6:25:59 น.
ลำโพงกาสลักปลูกง่ายมากค่ะ
เสียแต่ว่าเพลี้ยชอบมาก เบื่อตรงนี้ล่ะ ขอบคุณที่แวะชมด้วยกันค่ะ โดย: mambymam วันที่: 19 กันยายน 2561 เวลา:21:59:41 น.
ที่ผมชอบแนวคิดของท่านกฤษณมูรติ
น่าจะเป็นเรื่องการศึกษากับการใช้ชีวิตโดยไม่มีความกลัวนี่ล่ะครับ แต่ก็ทำได้ยากจริงๆ 555 เรื่องที่ท่านอธิบาย ในทางพุทธก็มีสอนไว้เยอะมาก เหมือนธรรมะที่ไม่ต้องไปค้นหาจากที่ไหน เพราะมันอยู่ในตัวเราเองตลอดเวลา ต้องค้นพบให้เจอในตนเอง ด้วยตัวเอง ตรงนี้แนวคำสอนของพุทธกับของท่านกฤษณมูรติ พูดไว้ตรงกันทีเดียวครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 กันยายน 2561 เวลา:23:28:50 น.
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตครับ
มีคำสอนนึงเกี่ยวกับความกลัว ความกังวลที่ผมชอบมากของท่านกฤษณมูรติ มีคนถามท่านว่าต้องทำอย่างไรจึงจะไม่กลัว ท่านบอกว่า ไม่ใช่ห้ามกลัว กลัวได้ แต่ให้มองเหป็นความกลัว เปรียบความกลัวเหมือนงู เราเห็นงูก็จะกลัวมันก่อนเลย แต่ถ้าหยุด นิ่ง และดูมันให้ชัดเจน อาจจะเห็นงูตัวนั้นได้ชัดขึ้น อาจเป็นเชือกเส้นหนึ่ง หรืออาจเป็นงูที่ไม่มีพิษ หรือถ้างูตัวนั้นมีพิษ แต่เราเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความระมัดระวัง งูนั้นก็ไม่สามารถทำอันตรายกับเราได้ เวลามองความกลัว ให้มองแบบที่เรามองดูงู เข้าไปใกล้ๆทีละนิดๆ แต่อยู่ในระยะที่ปลอดภัย ผมว่านี่เป็นคำสอนที่ดีมากเรื่องหนึ่งที่ท่านเคยสอนไว้เลยล่ะครับ โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 กันยายน 2561 เวลา:11:18:16 น.
ดีใจที่เห็นคนเริ่มกลับมาสู่วิถีเดิมๆ
กันมากขึ้นนะคะ โดย: ภาวิดา (คนบ้านป่า ) วันที่: 20 กันยายน 2561 เวลา:19:06:40 น.
|
melody_bangkok
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่บางครั้งก็มีโลกส่วนตัวสูงมากมาย แต่ในบางครั้งก็พยายามจะยัดเยียดตัวเองเข้าไปในโลกส่วนตัวของคนอื่น... :P ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ... ^^ All Blog
Friends Blog
Link |
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจมากๆเลยนะครับ
ทั้งการทำบ้านดิน
และการเลี้ยงควาย
หลังๆผมว่าเด็กในเมืองเผลอๆไม่รู้จักควาย
ไม่รู้จักการทำนาแล้วนะครับ
อ่านแต่จากตำราอย่างเดียว นึกภาพไม่ออก 555
ปล. หนังสือของทะไล ลามะมีหลายเล่มมากจริงๆครับ
โดยส่วนตัวผมว่าหนังสือของท่านอ่านเข้าใจง่ายดีครับ
อาจเพราะผมเองก็ชอบแนวทางของมหายานเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยล่ะครับ