Group Blog
 
All blogs
 

อ่านแล้วจิตสงบค่ะ

“ก็ลืมไตรลักษณ์กัน”

 
พวกเราลืมไตรลักษณ์กัน โลกธรรมคือลาภยศสรรเสริญสุขเป็นไตรลักษณ์ มีเจริญมีเสื่อมเป็นธรรมดา ควบคุมบังคับมันไม่ได้ มันมีเหตุมีปัจจัยหลายด้านด้วยกันที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง มีการสับสนวุ่นวายกันไปเรื่อยๆ ถ้าเรายังจะหาความสุขจากสิ่งเหล่านี้อยู่เราก็ต้องวุ่นวายไปกับมัน ถ้าไม่อยากจะวุ่นวายก็ไปหาความสุขแบบพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ คือไปอยู่กับความสงบ 
ทางแห่งความสุขนี่มี ๒ ทางเลือก ความสุขทางธรรมกับความสุขทางโลก ความสุขทางโลกเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความสุขทางธรรมเป็นปรมังสุขัง คำสอนก็ชัดๆ อยู่แล้วแต่เลือกไปหาความสุขทางโลกกันเอง ความสุขอันเลิศอันประเสริฐ ปรมังสุขัง “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” นี่ไม่เอากัน เพราะไม่ได้ศึกษาจริงๆ ถ้าศึกษาจริงๆ แล้วมันไม่ยากหรอก เหมือนกับสมัยที่เราเป็นเด็กนี่ พอพูดถึงการเป็นหมอนี่มันยากสุดยาก ใช่ไม๊ แต่พอศึกษามันก็มีขั้นมีตอน ถ้าเราเรียนตามขั้นตอนที่เขากำหนดมา เราสอบผ่านมันก็เข้าได้ ก็จบเป็นหมอได้ 
อันนี้ก็เหมือนกัน มีขั้นตอนให้การปฏิบัติให้ไปถึงพระนิพพาน ทาน ศีล ภาวนานี่ ท่านสอนก็ทำตามขั้นตอน ทำบุญทำทาน รักษาศีล แล้วก็ฝึกสมาธิไป ค่อยๆ ปฏิบัติเพิ่มขึ้นไปตามลำดับจากน้อยไปหามาก เดี๋ยวก็ได้เอง พอถึงเวลาก็ได้เอง งั้นอย่าไปยุ่งกับลาภยศสรรเสริญสุขเลยถ้าไม่อยากจะวุ่นวาย ถ้าไปเกี่ยวข้องมันก็ต้องวุ่นวายแน่นอน รับประกัน เหมือนไปเล่นกับไฟแหละ ไปเล่นกับไฟทำไม 
โลกธรรมนี้เป็นเหมือนกองไฟ พระพุทธเจ้าบอกรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้เป็นเหมือนไฟ ไฟที่เกิดจากราคะโทสะโมหะนี่ ไฟที่เกิดจากความโลภความโกรธความหลง พอเห็นลาภยศสรรเสริญสุขแล้วเกิดความโลภอยากได้ขึ้นมา แต่พอไม่ได้หรือพอเสียไปก็โกรธเสียใจ ทุกข์ หลงคิดว่านี่แหละคือความสุข แต่นักปราชญ์อย่างพระพุทธเจ้าอย่างพระอรหันต์พระสาวกนี้ท่านเห็นว่าเป็นทุกข์ เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง มีเจริญมีเสื่อมเป็นธรรมดา เป็นอนัตตา ไม่มีใครไปสั่งการมันได้ว่าให้มันเจริญอย่างเดียว ไม่ให้มันเสื่อม ทำไม่ได้ พอเวลามันเสื่อมก็ทุกข์กัน 
ก็เป็นอย่างนี้มาก่อนพวกเราเกิดแล้ว แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปหลังจากที่พวกเราตายไปแล้ว พวกเราก็กลับมาเกิดใหม่ จำไม่ได้ กลับมาเกิดไม่รู้กี่รอบแล้ว ก็มาเจอเรื่องเดิมๆ อย่างนี้ เรื่องเจริญและเสื่อมของลาภยศสรรเสริญสุข จนกว่าจะมาเจอคนฉลาดอย่างพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันตสาวก ที่สอนให้เราเห็นทาเห็นไตรลักษณ์ในโลกธรรมทั้ง ๔ นี้ แล้วให้มาหาความสุขที่ยั่งยืนถาวรดีกว่า คือสุขของพระนิพพาน ปรมังสุขัง ด้วยการปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา .
 
วิสัชนาธรรม ครั้งที่ ๒๐๒
วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๘
 
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2568    
Last Update : 24 ธันวาคม 2568 20:03:31 น.
Counter : 26 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

ขันธ์ห้า

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ขันธ์ห้าไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ใช่ของเรา
 
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ขันธ์ห้าเป็นก้อนทุกข์




 

Create Date : 24 ธันวาคม 2568    
Last Update : 24 ธันวาคม 2568 7:21:03 น.
Counter : 64 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

ทำบุญกุศล ต้องมีพญามาร

🙏 "... คนที่เจริญสมาธิ แต่ไม่มีจิตตั้งมั่น

ใน บุญ-กุศล อย่างแท้จริง พญามาร เขาก็จะยิ้ม เข้ามาหาล่ะ
 
กล่าวคือ ขันธ์มาร ก็เจ็บปวดไปตามร่างกาย
สัญญา ก็วุ่นวาย สังขาร ก็คิดไปร้อยแปดพันประการ วิญญาณ ก็รู้ไปต่าง ๆ
ดวงใจผู้นั้น ก็จะพังทลาย บุญ-กุศล ก็สูญหาย ไปหมด เหมือนข้าวหลาม ที่มันไม่สุกทั่ว กินแล้ว ก็ท้องเสีย
 
การทำสมาธิ ต้องอย่ากดบังคับใจให้มากนัก
และ อย่าปล่อยให้เหลิงจนเกินไป ตอนไหนควรบังคับ ก็บังคับ ตอนไหนควรปล่อย ก็ปล่อย
  
👉 ข้อสำคัญ ต้องมีวิตกวิจารกำกับอยู่เสมอ
ที่เรียกว่า คุณสมบัติใจของเรา ก็จะไม่เขวไถลถลาก ออกนอกความดี
 
ธรรมดาความดีแล้ว ก็มักจะต้องมีความชั่ว
เข้ามาแทรก เหมือนคนที่ร่ำรวย ก็มักจะต้องมีโจรผู้ร้าย มาคอยดักปล้น
 
#ทำบุญ ทำกุศล ก็ต้อง มีพญามาร
 
💥ฉะนั้น เวลานั่ง(สมาธิ)ต้องคอยระวังอย่า ให้เป็น "มิจฉาสติ" และ "มิจฉาสมาธิ" ได้ ..."
--------------------------------------------------------
#พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
   พระอาจารย์ลี_ธมฺมธโร




 

Create Date : 22 ธันวาคม 2568    
Last Update : 22 ธันวาคม 2568 19:21:49 น.
Counter : 51 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

เกิดดับ

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

 
สิ่งทั้งปวงดับไปเป็นธรรมดา
คือจุดสุดยอดการรู้ธรรมเห็นธรรมอันละเอียดในจิต
 
 
อดีตพระ
ตัดอดีตทิ้งไปให้หมด
อยู่กับปัจจุบัน
 
หลวงปู่แสง ญาณวโร
เกิดๆดับๆ
ไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่ดับไปแล้ว
 
 
พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตถิผโล
เกิดดับ ไร้สาระโยนทิ้งให้หมด
 
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ถือความจำเป็นสมบัติของตน
ทั้งๆที่มีแต่ลมแต่แล้ง




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2568    
Last Update : 21 ธันวาคม 2568 12:01:36 น.
Counter : 130 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

จิต

"การรู้...โดยไม่คิดเอง

คือ การเดินวิปัสสนาที่ละเอียดที่สุด
ตราบใดที่ยังเห็นว่า...
จิต คือตัวเรา เป็นของ ๆ เรา
ที่ต้องช่วยให้จิตหลุดพ้นตราบนั้น...
ตัณหา หรือสมุทัยก็จะสร้างภพ
ของจิตว่าง...ขึ้นมา ร่ำไป
 
ขอย้ำว่า ขั้นนี้...จิตจะดำเนินวิปัสสนาเอง
ไม่ใช่ ผู้ปฏิบัติจงใจกระทำ
ดังนั้น...จึงกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลย ที่จงใจ
หรือตั้งใจบรรลุมรรคผลนิพพานได้
มีแต่จิต...เค้าปฏิบัติตนเอง ไปเท่านั้น
 
เมื่อ...จิตทรงตัว
รู้ แต่ไม่คิดอะไรนั้น บางครั้ง...จะมีบางสิ่ง
ผุดขึ้นมา สู่...ภูมิรู้ของจิต
แต่จิต ไม่สำคัญมั่นหมายว่า...
มันคือ อะไร เพียงแค่...รู้ เฉย ๆ
ถึงความเกิด-ดับนั้น เท่านั้น
 
ในขั้นนี้...
เป็นการเดินวิปัสสนา ขั้นละเอียดที่สุด
ถึงจุดหนึ่ง จิต จะก้าวกระโดดต่อไปเอง
 
การเข้าสู่มรรคผลนั้น...รู้ มีตลอด
แต่...ไม่คิด และไม่สำคัญมั่นหมาย
ในสังขารละเอียด ที่ผุดขึ้นมานั้น...
เมื่อจิต ถอยออกจากอริยะมรรค
และอริยะผลที่เกิดขึ้นแล้ว...
ผู้ปฏิบัติจะรู้ชัดว่า...ธรรมเป็นอย่างนี้
"สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้น...ต้องดับไป"
ธรรมชาติบางอย่าง มีอยู่...
แต่ก็ไม่มี...ความเป็นตัวตน สักอณูเดียว
 
นี้เป็นการรู้ธรรมในขั้นพระโสดาบัน
คือไม่เห็นว่า...สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แม้แต่ตัวจิตเอง เป็นตัวเรา
แต่ความยึดถือ ในความเป็นเรา
ยังมีอยู่...
 
เพราะ...ขั้นความเห็น 
กับความยึดนั้น...มันคนละขั้นกัน."
 
หลวงปูดุลย์ อตุโล




 

Create Date : 20 ธันวาคม 2568    
Last Update : 20 ธันวาคม 2568 18:40:22 น.
Counter : 110 Pageviews.  
(โหวต blog นี้) 

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  

BlogGang Popular Award#21


 
นาฬิกาสีชมพู
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




Friends' blogs
[Add นาฬิกาสีชมพู's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.