เมื่อทิพย์สุรางค์คุยกับคริสเรื่องการตกแต่งบ้าน ด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่างๆแบบที่เธอต้องการ ชายหนุ่มไม่มีอะไรขัดข้อง เห็นดีเห็นงามด้วยทุกอย่าง แต่เมื่อหญิงสาวบอกเขาถึงแผนการที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบริเวณบ้าน เขากลับอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอเห็นเขามองกวาดไปทั่วบริเวณบ้านอย่างใช้ความคิด ทำให้เธอคิดว่าเขาคงต้องการที่จะเก็บมันเอาไว้ในสภาพเดิมซึ่งเธอไม่รู้เหตุผลของเขา
ทิพย์สุรางค์ไม่คิดว่าเรื่องเงินจะมีปัญหา เพราะเธอรู้มานานแล้วว่ามารดาของเขา เอาเงินใส่บัญชีส่วนตัวของเขาทุกเดือนๆละไม่น้อย ส่วนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงซ่อมแซมบ้านหลังนี้ ก็น่าจะเป็นเงินจากกองกลางมากกว่า แต่เขาอาจจะมีเหตุผลอื่น เช่นว่ามารดาของเขาอาจจะเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆตอนสร้างบ้านใหม่ๆ หรืออาจจะเกี่ยวกับความทรงจำในอดีตสมัยเป็นเด็กของเขาเองก็ได้ ซึ่งทำให้เขาอยากจะเก็บบรรยากาศเดิมๆเอาไว้ ทิพย์สุรางค์จึงคล้องแขนของเธอเข้ากับแขนของเขาแล้วพูดยิ้มๆว่า
“ถ้าคุณยังไม่อยากเปลี่ยนแปลงก็เก็บเอาไว้ก่อน ที่ฉันเสนอก็เพราะคิดถึงเวียงพุกาม คุณก็รู้ว่าฉันรักมันมาก ตั้งแต่แต่งงานก็ได้กลับไปเพียงสองครั้งเท่านั้น ฉันรักต้นไม้ดอกไม้และทุกอย่างที่โน่นและคิดถึงมันมาก ก็เลยคิดว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะปลูกต้นไม้ใหญ่ๆให้เป็นดง ปลูกดอกไม้เป็นกอๆตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ถึงจะไม่สามารถทำให้เป็นเวียงพุกามได้ แต่อย่างน้อยก็อยากให้มันมีบรรยากาศคล้ายๆบ้างก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องดิ้นรนอยากกลับไปเวียงพุกามอีก แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มาคราวหน้าฉันคงจะหาโอกาสกลับไปที่โน่นสักพักหนึ่ง”
พอได้ยินเช่นนั้นคริสก็หันมามองหน้าเธอทันที ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “จะไปอยู่ที่เวียงพุกามสักพักหนึ่ง? จะไปได้ยังไง คุณหนูก็รู้ว่าผมต้องทำงาน คงไปนานไม่ได้หรอก อย่างดีก็แค่วันหยุดเท่านั้น”
ทิพย์สุรางค์นึกหัวเราะอยู่ในใจ เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องพูดอย่างนี้ เพราะเขาเคยแสดงให้เธอรู้อยู่บ่อยๆ ว่าเขาไม่อยากให้เธอไปเวียงพุกามโดยที่เขาไม่ได้ไปด้วย
“ก็ไม่เป็นไรนี่คะ คุณก็ทำงานไป ฉันก็ไปกับสิงห์และแสงดาว ไปอยู่สักพักหนึ่งก็กลับมาบ้านนี้ อย่ากังวลไปเลยค่ะ ฉันไม่ทิ้งคุณไปนานหรอก” เธอทำเป็นไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร
“ไอ้ที่ว่าไม่นานน่ะสักกี่วัน ผมอนุญาตให้ได้สามวันเต็มที่เท่านั้น นานกว่านั้นไม่ไหวหรอก ถ้าผมไม่ได้ไปด้วย”
คริสพูดอย่างมีสิทธิขาดเต็มที่ที่จะอนุญาตหรือไม่ก็ได้ ซึ่งเธอก็ปล่อยให้เขาคิดว่าเขามีสิทธิเช่นนั้น ใครบ้างเล่าที่ไม่ชอบการได้เป็นผู้มีอำนาจ? ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้เป็นทหารแล้วแต่ความเคยชินนั้นก็ยังอยู่ เธอเพิ่งรู้หลังแต่งงานได้ไม่นานว่าเขาชินกับการออกคำสั่ง และบางครั้งอาจจะลืมไปเสียด้วยซ้ำว่าเธอไม่ใช่พลทหารใต้บังคับบัญชาของเขา แต่หญิงสาวก็ไม่เดือดร้อนหรอกเธอยอมเป็นพลทหารให้เขาแต่โดยดี เขาคงไม่รู้หรอกว่าพลทหารคนนี้เคยแอบไปเข้าโรงเรียนเสนาธิการทหารมาแล้ว
ทิพย์สุรางค์ยิ้มหวานแล้วเขย่งตัวขึ้นจูบแก้มเขา “อย่าเพิ่งคิดกันไปล่วงหน้าเลยค่ะ เพราะถ้าฉันจะไปก็ต้องเป็นคราวหน้าโน่น ขึ้นบ้านกันเถิดค่ะ”
แล้วตลอดวันนั้นหญิงสาวก็เห็นเขาทำหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด แต่เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้และไม่พูดเรื่องนี้อีกเลย
เย็นนั้นคริสกับทิพย์สุรางค์ไปรับประทานอาหารเย็น ที่บ้านของวุฒิเลิศตามคำเชิญของสิริมา คนกันเองที่มาร่วมด้วยคือประสพชัยและนายเพ้งหรือสาทิต ที่วันนี้ต่างคนต่างมีคู่ควงมาด้วย สิริมาแอบมากระซิบให้ทิพย์สุรางค์ฟังว่าผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ท่าทางเรียบร้อยที่มากับสาทิตชื่อนิรมล เป็นคนที่เขากำลังพยายามสานสัมพันธ์ให้แนบแน่น และพามาให้เธอและวุฒิเลิศช่วยดูว่าเป็นอย่างไร
เมื่อสิริมาซักว่าผู้หญิงคนเดียวกับที่เขาเคยเล่าให้ฟังนานแล้วใช่หรือเปล่า หนุ่มใหญ่เพื่อนวุฒิเลิศก็ยิ้มแห้งๆ บอกว่าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นมีแฟนและแต่งงานไปแล้ว คนนี้เพิ่งคบกันได้ไม่นาน ส่วนนายแพทย์ประสพชัยก็ทำความประหลาดใจให้หลายคน ด้วยการควงคู่สุวรรณีธิดาสาวของผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้ามาเป็นคู่สุดท้าย
“ต๊าย ดีใจจังที่วันนี้ได้พบน้องทิพย์” สุวรรณีเข้ามากอดทิพย์สุรางค์อย่างดีอกดีใจ “มีเรื่องจะต่อว่า แต่งงานทั้งทีไม่ยอมส่งข่าวหรือเชิญพี่เลย”
ทิพย์สุรางค์อุบอิบแก้ตัวว่า “เราเชิญแขกไม่มากน่ะค่ะ แล้วก็เห็นพี่ต้อยอยู่ไกลด้วย เลยไม่อยากรบกวน”
“รบกวนอะไรกัน ตอนนี้พี่ก็ย้ายมาสอนที่โรงเรียนในกรุงเทพฯนี่ตั้งหลายเดือนแล้ว คุณประสพชัยไม่ได้บอกหรอกหรือ? พี่โกรธจริงๆนะเนี่ย” แล้วเธอก็หันมองไปรอบๆ “แฟนน้องไม่ได้มาด้วยหรือจ๊ะ?”
หญิงสาวเลยต้องเดินเข้าไปเรียกคริสในห้องนั่งเล่นให้ออกมาข้างนอก วุฒิเลิศซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่กับพวกผู้ชายในห้องนั่งเล่น ได้ยินก็เป็นฝ่ายเดินออกมาข้างนอกแล้วเชิญผู้หญิงทุกคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ ให้เข้าไปสมทบกับพวกผู้ชายซี่งตั้งวงดื่มเหล้าพูดคุยกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
คริสยกมือขึ้นไหว้สุวรรณี หญิงสาวผู้นั้นรับไหว้แล้วก็ทำท่าค้อนเขา หันมาพูดกับทิพย์สุรางค์ว่า “พี่เคยบอกน้องทิพย์แล้วจำได้ไหม ว่าคุณคริสน่ะดูไม่เหมือนคนขับรถเลย หน้าตาท่าทางโก้จะตาย พี่ตาแหลมใช่ไหมล่ะ?”
คริสซึ่งดื่มวิสกี้ไปสองสามแก้วแล้ว ทำหน้ายิ้มกริ่มหันมามองทิพย์สุรางค์ “คุณทิพย์สุรางค์ไม่ยักตาแหลมเหมือนคุณสุวรรณีเลย เธอเห็นผมเป็นแค่คนขับรถเท่านั้นแหละ”
ทุกคนยกเว้นทิพย์สุรางค์ พากันหัวเราะกับคำพูดเชิงล้อของคริส ส่วนนิรมลมองทิพย์สุรางค์อย่างทึ่ง “คุณทิพย์สวยจัง ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่ามีลูกคนนึงแล้ว ดูยังเด็กๆอยู่เลย”
ทิพย์สุรางค์ทำหน้าเก้อๆ ไม่รู้ว่านิรมลรู้เรื่องของเธอมากน้อยแค่ไหน สิริมาเห็นสีหน้าของเน้องสามีก็เข้าใจ จึงเปลี่ยนไปชวนเธอผู้นั้นพูดเรื่องอื่นแทน
“คุณนิกับคุณเพ้งรู้จักกันนานแล้วหรือคะ?” สิริมาเริ่มซัก
“ก็เพิ่งไม่กี่เดือนค่ะ” แล้วเธอก็เล่าให้ฟังเพียงสั้นๆว่า “คุณเพ้งไปติดต่อเรื่องงานกับนิสองสามครั้ง ก็เลยรู้จักกันค่ะ”
สิริมาเลยหันไปถามสุวรรณีบ้างว่า “แล้วคุณต้อยเล่าคะ ไปยังไงมายังไงถึงมากับคุณหมอได้?”
ประสพชัยถือโอกาสตอบแทนหญิงสาวคนนั้นว่า “ผมกับคุณต้อยเริ่มสนิทกันตั้งแต่ไปทัวร์วันนั้นแหละ”
แล้วเขาก็หันไปถามสุวรรณีซึ่งทำท่าเอียงอายว่า “บอกพวกเขาดีไหมครับเรื่องของเราน่ะ?”
เธอผู้นั้นทำหน้ายิ้มๆไม่ตอบว่าอะไร ฝ่ายชายเลยรีบประกาศเสียเลยว่า “คุณต้อยกับผมจะหมั้นกันเดือนหน้านี่แหละ มาคราวนี้ก็กะว่าจะมาส่งข่าวเรื่องนี้ด้วย”
คราวนี้ใครต่อใครก็หันมาแสดงความยินดีกับว่าที่คู่หมั้นทั้งสอง
สิริมาถามว่า “จะแต่งกันเมื่อไรคะ”
สุวรรณีเป็นผู้ตอบว่า “ก็คงประมาณสามเดือนหลังจากนั้นค่ะ เรือนหอคงจะเสร็จราวๆนั้น ขอเชิญทุกคนไว้ล่วงหน้าเลยนะคะ”
ประสพชัยเสริมว่า “แล้วจะส่งบัตรเชิญมาให้”
ในขณะที่พวกผู้ชายหันไปดื่มเหล้าต่อและคุยกันเอง ทิพย์สุรางค์เห็นนิรมลนั่งเงียบเพราะไม่ค่อยรู้จักใครก็เลยชวนคุยแทนเจ้าของบ้าน
“คุณนิรมลทำงานที่ไหนคะ?”
หญิงสาวหน้าตาเรียบๆผู้นั้นตอบเรื่องงานของเธออย่างกว้างๆแต่เพียงว่า
“นิทำงานบริษัทน่ะค่ะ คุณทิพย์ล่ะคะทำงานที่ไหน?”
“ไม่ได้ทำหรอกค่ะ เป็นแม่บ้านอย่างเดียว”
คำตอบของเธอทำให้นิรมลมองอย่างแปลกใจ วิจารณ์ซื่อๆว่า “ คิดว่าคุณทิพย์เป็นนางแบบ หรืออะไรทำนองนั้นเสียอีก”
คริสซึ่งคงจะมึนนิดๆแล้วและได้ยินคำพูดบางตอนของนิรมลแว่วๆ พูดขึ้นมาว่า “ผมไม่ให้แฟนผมไปเป็นนางแบบหรอกครับ ผมหวง ขอเก็บไว้มองคนเดียว”
หลายคนพากันหัวเราะ ส่วนประสพชัยแซวว่า “กี่ปีแล้วเนี่ย ยังหวานแหววกันซะขนาดนี้ น่าอิจฉาจริงๆ”
ทิพย์สุรางค์เหลือบดูสามี เห็นหน้าเขาแดงนิดหน่อยเพราะดื่มเข้าไปสองสามแก้วแล้ว หลังจากรับประทานอาหารร่วมกันและนั่งคุยกันต่ออีกพักหนึ่งแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันกลับ ก่อนเดินตามประสพชัยออกไปขึ้นรถ สุวรรณีขอหมายเลขโทรศัพท์มือถือของทิพย์สุรางค์ โดยบอกว่าอยากจะโทรศัพท์มาคุยด้วย แล้วหญิงสาวทั้งสองก็แลกเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์กัน
เมื่อขึ้นนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว ทิพย์สุรางค์ถามคริสว่า “เมาหรือเปล่าคะ? ฉันขับให้เอาไหม?”
เขาหันมามองเธอแล้วยื่นมือมาดึงปลายจมูกเธอนิดหนึ่ง “ไม่เมาหรอก ดื่มไปไม่กี่แก้วเอง ยังไม่เมาจนพาเมียกลับบ้านไม่ได้หรอกน่า”
แล้วเขาก็ออกรถ หญิงสาวพิงศรีษะกับพนักเก้าอี้ไม่พูดอะไรต่อ คริสขับรถไปเงียบๆครู่หนึ่งก็ถามว่า “เป็นอะไรไปไม่พูดไม่จา ไม่สนุกหรือ?”
ทิพย์สุรางค์หันมายิ้มให้เขาก่อนตอบว่า “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แล้วก็สนุกดีด้วย อย่างน้อยก็ได้เจอพี่ต้อยแล้วก็ได้รู้จักคุณนิรมล”
“ไปๆมาๆคุณหมอของเราก็มีแฟนเสียที” คริสพูดอย่างดีใจไปด้วยกับประสพชัย ซึ่งเป็นคนที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษ
“เขาสมกันดีนะคะ อายุก็คงไม่ห่างกันมากเท่าไร พี่หมอเป็นคนดี พี่ต้อยโชคดีมากเลย”
“คุณหนูกับผมล่ะ ผมโชคดีที่ได้แต่งงานกับคุณหนู แล้วคุณหนูล่ะโชคดีเหมือนคุณต้อยหรือเปล่า?”
หญิงสาวอมยิ้มรู้ว่าเขาต้องการคำชม เธอรู้ว่าผู้ชายนั้นอีโก้สูงกว่าผู้หญิง หน้าที่ของภรรยาที่ดีอีกอย่างหนึ่ง คือต้องคอยยกย่องชมเชยสามีบ่อยๆในเรื่องที่ไม่เกินความจริง ไม่งั้นเขาอาจจะไปแสวงหาคำชมนอกบ้านก็ได้
“โถ ไม่เห็นต้องถามเลย ฉันว่าพี่ต้อยโชคดีแล้วแต่ฉันยังโชคดีกว่าอีก ที่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ทั้งดีและน่ารักอย่างคุณ”
คริสยิ้มกว้างชอบใจ “พูดถูกใจต้องให้รางวัลหน่อย ไหนหันแก้มมาให้จูบทีสิ”
ทิพย์สุรางค์ทำตามคำสั่งของเขาโดยดี ท่านนายพลออกคำสั่งแล้วนี่เธอก็ต้องปฏิบัติตามสิ ถึงจะเหม็นเหล้าไปบ้างก็เถอะ
ความจริงตอนนี้หญิงสาวมีเรื่องที่ต้องคิด วันนี้ที่มีโอกาสได้เจอสุวรรณีและนิรมลซึ่งเป็นผู้หญิงทำงานทั้งคู่ เธอก็เริ่มนึกถึงตัวเองที่อุตส่าห์ดั้นด้นไปเรียนหนังสือเสียไกล ทั้งที่สวิสเซอร์แลนด์และอเมริกา แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ทำงานใช้ความรู้ความสามารถเหมือนผู้หญิงสมัยนี้ทั้งหลายเลย
“ผู้หญิงสาวๆสมัยนี้เก่งกันทั้งนั้นเลยนะคะ คริส ทำงานทำการกันดีๆทั้งนั้น พี่ต้อยก็เป็นอาจารย์ ส่วนคุณนิรมลก็ทำงานบริษัท” เธอเริ่มหยั่งเสียงเขา
คริสหันมามองเธออย่างสงสัย “มีอะไรหรือ? สงสารเขาหรือไงที่ต้องออกไปทำงาน”
“อิจฉาต่างหากล่ะคะ” เธอพูดทีเล่นทีจริง
“ทำไมต้องอิจฉา ผมไม่เห็นว่าสองคนนั่นมีอะไรที่คุณหนูต้องอิจฉาเลย” เขาไม่เข้าใจ
“คริสคะ คุณคิดว่าฉันควรจะออกไปทำงานนอกบ้านเหมือนคนอื่นบ้างไหม? ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีโอกาสได้ทำงานหาเงินด้วยตัวเองเลย ตอนที่เรียนจบกลับมาใหม่ๆ พี่ใหญ่อยากให้ไปช่วยทำงานที่บริษัท แต่คุณพ่อไม่อนุญาตก็เลยไปไม่ได้” เธอเล่าไปเรื่อยๆเหมือนไม่ได้สนใจจริงจัง
รถมาถึงบ้านพอดี คริสจอดรถแล้วแต่ยังไม่ลง ทั้งๆที่นายพรวิ่งมายืนรออยู่ใกล้ประตูแล้วเพื่อนำรถไปเก็บ
ทิพย์สุรางค์เห็นสีหน้าของเขาขมวดมุ่นขณะพูดกับเธอว่า “ เรื่องปรับปรุงสนามน่ะ คุณหนูอยากทำก็ทำไปเถอะ ปลี่ยนแปลงเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน อยากจะปลูกต้นไม้ดอกไม้ให้เต็มเหมือนที่เวียงพุกามก็ได้ คุณหนูจะได้ไม่ต้องอ้างว่าคิดถึงที่โน่น อยากจะไปพักบ่อยๆ แล้วเรื่องออกไปทำงานนอกบ้านน่ะไม่ต้องคิดเลยนะ อยู่บ้านเลี้ยงลูกก็พอแล้ว ผมไม่ชอบให้เมียผมออกไปตะลอนๆอยู่ข้างนอก เมียคนเดียวผมเลี้ยงได้”
เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเขา หญิงสาวก็เลยต้องหัวเราะกลบเกลื่อน
“ เรื่องงานฉันก็พูดไปยังงั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก ขึ้นบ้านกันเถอะค่ะ”
ทิพย์สุรางค์เปิดประตูรถออกแล้วเดินขึ้นไปบนตึกโดยมีคริสเดินตามมาติดๆ แล้วคืนนั้นขณะนอนอยู่ด้วยกันบนเตียง เขาก็ถามอีกเหมือนยังไม่หายข้องใจว่า “ทำไมอยู่ๆมาพูดเรื่องทำงานนอกบ้าน หรือชักขี้เกียจเลี้ยงลูกขึ้นมาแล้ว”
หญิงสาวลอบถอนใจโดยระวังไม่ให้เขาจับได้ ถึงจะรู้ว่าเขารักเธอมากและอนาทรร้อนใจไปเสียทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ โดยมีเจตนาอย่างเดียวคือทำให้เธอมีความสุข แต่บางครั้งทิพย์สุรางค์ก็รู้สึกเหนื่อย ที่เคยคิดเอาไว้ก่อนแต่งงานว่าจะทำให้เขาหัวหมุนไปกับอารมณ์ที่หลากหลายของเธอ จนไม่มีเวลาคิดเบื่อหน่าย กลับกลายเป็นว่าเธอต้องเป็นฝ่ายหัวหมุนเสียเอง กับความรักความห่วงใยที่ล้นเหลือของเขา ถึงจะรู้ตัวเองว่าเป็นผู้หญิงโชคดีที่ได้สามีที่เป็นแฟมิลี่แมนสมบูรณ์แบบที่หาไม่ได้ง่ายๆอย่างเขา แต่บางครั้งเธอก็นึกอยากให้เขารักเธอห่วงใยเธอน้อยลงบ้าง แต่พอถามตัวเองว่าถ้าวันหนึ่งข้างหน้า เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนวันนี้เธอจะทนได้หรือ หญิงสาวก็เลยหันไปกอดเขาแล้วบอกว่า
“บอกแล้วไงคะว่าพูดเล่น ทุกวันนี้ฉันอยู่บ้านเลี้ยงลูกก็มีความสุขมากพอแล้ว เรื่องอะไรจะอยากออกไปเหนื่อยยาก ทำงานรับใช้ใครก็ไม่รู้ล่ะคะ”
คริสรีบกอดตอบเธอทันที “นั่นสิ อยู่บ้านเลี้ยงลูกดีกว่า เอ..หรือว่ามีนายสิงห์คนเดียวยังไม่พอ ถ้างั้นเรารีบมีลูกอีกสักคนดีกว่านะ คุณหนูจะได้ไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรแผลงๆแบบนี้อีก คราวนี้เอาลูกสาวนะ ถ้ามีลูกสาวผมจะตั้งชื่อว่าลิซซี่ ผมชอบชื่อนี้ ฟังแล้วอ่อนหวานสมเป็นผู้หญิงดีออก”
แล้วเขาก็ถือโอกาสปิดปากไม่ให้เธอเถียง ด้วยจูบที่ดูดดื่มซาบซ่านด้วยแรงฤทธิ์พิศวาส ทิพย์สุรางค์โอนอ่อนผ่อนตาม เพื่อไม่ให้เขามีเวลานึกถึงเรื่องยาคุมกำเนิดที่เขายังไม่เคยได้คำตอบขึ้นมาได้
เปลี่ยนใหม่ให้แบบพระเอก
ไม่มีเมียใหม่ได้มั๊ยคะ เอาแบบ
ในที่สุดก็ยับยั้งชั่งใจได้แบบนี้
อุ๊ย เผลอสปอยไปหรือเปล่า