ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
||||||||
วันวารฯ - บทที่ 3 ในช่วงสามเดือนแรกหลังจากเลิกรากับคริส ลลิตาเดินทางไปพักรักษาจิตใจอยู่ที่บ้านเพื่อนสนิท ที่เคยเรียนหนังสือในระดับมัธยมมาด้วยกัน และต่อมาแต่งงานแล้วย้ายตามไปอยู่กับสามีซึ่งทำงานอยู่ในอังกฤษ สามเดือนหลังจากนั้นก็เดินทางไปพักอยู่กับเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง ซึ่งยังเป็นโสดและเช่าอพาร์ตเมนท์อยู่คนเดียวในลอสแองเจลิสอีกหลายเดือน โดยไม่ได้เฉียดกรายไปวอชิงตัน ดี.ซี. และนิวยอร์ค แล้วในที่สุดก็เดินทางกลับเมืองไทย หญิงสาวไม่ได้กลับไปที่บ้านของบิดามารดา เธอเข้าพักในโรงแรมชั้นดีแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นก็ติดต่อเอเย่นต์ที่ให้บริการหาอพาร์ตเมนท์ให้เช่า และเพียงสองสามวันหลังจากนั้นก็ได้อพาร์ตเมนท์หรูหราราคาแพงสภาพแวดล้อมดี ในย่านใกล้กับใจกลางกรุงเทพฯ แล้วย้ายตัวเองเข้าไปพำนัก หญิงสาวยังไม่อยากกลับบ้าน จิตใจของเธอยังไม่สงบพอที่จะไปตอบคำถามแบบซักไซ้ไล่เลียงของมารดาได้ เธอต้องการจะอยู่คนเดียวเงียบๆสักระยะหนึ่งก่อนจะตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป อยู่กรุงเทพฯแล้วหางานทำหรือกลับไปอเมริกาแล้วหางานใหม่ทำ ถึงอย่างไรสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอก็ยังอยู่ในอพาร์ตเมนท์ในอเมริกา ซึ่งก่อนออกเดินทางไปอังกฤษเธอได้จ่ายค่าเช่าล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ลลิตาตระหนักว่าแม้เวลาจะผ่านไปหลายเดือนแล้ว เธอพยายามทำใจเต็มที่แล้ว ที่จะตัดผู้ชายคนนั้นออกไปจากหัวใจ แต่เขาคนนั้นก็ยังคงดื้อดึงอยู่ตรงที่เดิมในหัวใจเธอ ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตาเธอก็เห็นแต่ภาพระหว่างเขากับเธอในช่วงเวลาสิบปี แปดปีที่แสนสุขแสนอ่อนหวาน ส่วนอีกสองปีนั้นเล่าก็สุขบ้างทุกข์บ้าง ใช่ว่าจะทุกข์ไปเสียทั้งหมด เพราะอย่างน้อยแม้จะมีผู้หญิงคนใหม่ แต่เขาคนนั้นก็ยังคำนึงถึงหัวใจเธออยู่ตลอดเวลา ถึงจะมีท่าทางทุกข์ตรมกับปัญหารักสามเส้าแต่เขาก็ยังพยายามถนอมน้ำใจเธอ ระหว่างที่อยู่ในอังกฤษและอเมริกา ลลิตาพยายามเปิดตัวเองด้วยการออกเดทกับชายหนุ่มหลายคน ทั้งคนไทยและต่างชาติ แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เมื่อหยิบยกผู้ชายเหล่านี้แต่ละคนมาเปรียบเทียบกับคริส ใจที่ยังเต็มไปด้วยความรักต่อเขาบอกเธอว่า ไม่มีใครสามารถทำให้หัวใจ ที่ร้าวรานแหลกสลายด้วยพิษรักกลับมาสู่สภาพเดิมได้ ความจริงแล้วถ้าลลิตาจะเปิดใจให้กว้าง มองชายหนุ่มเหล่านั้นด้วยใจที่เป็นธรรม โดยไม่นำไปเปรียบเทียบกับคริส เธอก็คงจะเห็นคุณสมบัติดีๆของพวกเขาบ้าง แต่เมื่อไม่ยอมทำเช่นนั้นหัวใจของเธอก็ยิ่งเจ็บปวดและอาลัยอาวรณ์เขาไม่เลิกรา ลลิตาเฝ้าบอกตัวเองว่า เธอเป็นฝ่ายยอมถอยออกมาจากรักสามเส้านั้นก็จริง แต่นั่นก็เป็นเพียงทางกายและการกระทำเท่านั้น หัวใจของเธอมันไม่ยอมร่วมมือด้วย ยิ่งสมองเตือนอย่างมีสติให้ตัดใจจากเขามากเท่าไรหัวใจที่แสนดื้อดึงของเธอก็ยิ่งต่อต้าน ไม่ยอมฟังคำสั่งที่มีเหตุมีผลของสมอง ที่สั่งว่าอย่าคิดถึงเขาหรืออาลัยอาวรณ์เขาอีกต่อไป เพราะตอนนี้มันสายไปแล้ว เรื่องระหว่างเขากับเธอจบสิ้นลงแล้ว เธอควรจะเดินหน้าต่อไปแล้วมองหาใครสักคนหนึ่งที่รักเธอจริง ซึ่งคนอย่างเธอคงหาได้ไม่ยากนัก หญิงสาวยังปักใจเชื่ออยู่ว่า คริสจำเป็นต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเพราะเกิดมีลูกขึ้นมาเท่านั้น คุณธัญญาคงเป็นคนหว่านล้อมให้เขาเข้าไปรับผิดชอบเด็กคนนั้น และผู้หญิงคนนั้นก็คงฉลาดพอที่จะไม่ยอมยกลูกให้ง่ายๆ ถ้าไม่แต่งงานกับเจ้าหล่อนเสียก่อน ลลิตาเชื่อว่าคริสคงจะรักผู้หญิงคนนั้นบ้างเหมือนกันในฐานะแม่ของลูก แต่ไม่มีทางที่จะรักเหมือนที่รักเธอ หญิงสาวยังฝังใจอยู่กับเวลาสิบปีของเธอกับคริส ว่าความรักที่ยาวนานถึงสิบปีย่อมยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่อ้างว่าเป็นความรักหนึ่งปีของเขากับผู้หญิงที่ชื่อทิพย์สุรางค์ ลลิตาคิดฟุ้งซ่านไปไกลถึงขนาดเชื่อมั่นว่า วันหนึ่งเมื่อความหลงผิดที่ปิดตาปิดใจเขาหมดไปคริสจะกลับมาหาเธอ มาขอโทษและขอร้องให้เธอกลับไปหาเขา ลลิตารู้ว่าชายหญิงสองคนนั้นเข้าพิธีแต่งงานกันที่เมืองไทยเรียบร้อยแล้ว เขาเชิญแขกไม่มากนักและคงเจาะจงเชิญเฉพาะบางคน ที่เห็นดีเห็นงามกับการแต่งงานนั้นเท่านั้น เพราะแม้แต่คุณลักษณามารดาของเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับคุณธัญญายังไม่ได้รับเชิญเลย ที่รู้ก็เพราะในช่วงเดือนที่สองที่อยู่ในอังกฤษหญิงสาวเคยโทรศัพท์ไปหามารดา ส่งข่าวว่าเธออยู่ที่ไหนเพื่อไม่ให้เป็นห่วง ตอนนั้นเองที่เธอได้ข่าวการแต่งงาน “ลิตารู้แล้วใช่ไหมว่าคริสกับผู้หญิงคนนั้นเขาแต่งงานกันแล้ว” ลลิตายังจำได้ว่าถึงจะคาดเอาไว้แล้วว่าเขาคงจะแต่งงานกันโดยเร็ว เมื่อไม่มีเธอเป็นก้างขวางคออีกแล้ว แต่ทันทีที่ได้ยินกับหูเธอก็รู้สึกเสียวปลาบในหัวใจจนต้องยกมือขึ้นกุมหน้าอก ก่อนจะแข็งใจถาม “เมื่อไรคะแม่?” มารดาของเธอซึ่งคงคันปากอยากจะเล่าเต็มที รีบตอบโดยเร็วว่า “เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ได้ข่าวว่างานเขาหรูหราไม่เลว ข่าวสังคมลงกันพรึ่บพรั่บ” “เขาเชิญแม่หรือเปล่าคะ?” เธอฝืนใจถามพร้อมกับพยายามปรับเสียงให้เป็นปกติ เพราะมารดาของเธอคงไม่รู้ ว่าเธอยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ และคงเชื่อตามที่เธอบอก ว่าเธอตัดใจลืมคริสได้แล้ว เธอหมดรักเขาแล้วจากพฤติกรรมของเขาที่ทรยศต่อเธอ แต่ความจริงหญิงสาวไม่รู้หรอกว่ามารดาผู้ชาญฉลาดของเธออ่านเกมได้ขาด ว่าลลิตายังทำใจไม่ได้ แต่จำเป็นที่จะต้องเชิดหน้าทำเป็นว่าไม่แคร์ คุณลักษณาเชื่อว่าลูกของเธอยอมเลิกกับคริส ไม่ใช่เพราะเชื่อคำแนะนำของเธอ แต่เป็นเพราะรู้ชัดแล้วว่าหมดทางสู้ เพราะคู่แข่งของเธอถือไพ่เหนือกว่า ซึ่งก็คือเด็กชายตัวเล็กๆคนนั้น “ใครเขาจะเชิญล่ะ เขาไม่เชิญหรอก คงกลัวแม่จะไปประจานแม่ลูกสะใภ้เขากลางงานละมัง ว่าจงใจท้องขึ้นมาเพื่อจับผู้ชายให้ได้ ธัญญาน่ะพยายามโทรมาหาแม่หลายครั้ง แต่แม่ไม่อยากพูดด้วยก็เลยตัดสายทิ้งไป โดนเข้าสองสามครั้งเขาก็เลยไม่ติดต่อมาอีก คนอะไรใจดำมาก คบกันมาตั้งไม่รู้กี่ปี อยู่ๆก็มาทำเหมือนคนไม่รู้จัก ทำยังกับว่าแม่จะไปทำลายพิธีแต่งงานของแม่คนนั้นกับนายคริสยังงั้นแหละ คิดแล้วมันน่าเจ็บใจนัก” “ช่างเขาเถอะค่ะ แม่ เขาไม่เชิญเราก็ดีแล้ว เพราะถึงเขาเชิญจริงๆแม่ก็คงไม่ไปหรอก จริงไหมคะ?” “นี่ ลิตา แม่ว่าอย่าไปคิดอะไรมากเลยนะ ดีแล้วละที่ลูกตัดสินใจเลิกเสียตอนนั้น คนอย่างลูกจะหาผู้ชายดีๆอีกสักกี่คนก็ได้ ผู้ชายตัวเปล่าที่ไม่มีลูกมีเมียลับๆ แอบซ่อนอยู่อย่างนายคริส คุณพ่อยังพูดกับแม่เลยว่าลูกน่ะฉลาด ที่แยกตัวออกมาเสียได้ก่อนที่จะสายเกินไป” แล้วเธอก็ทำท่าจะพูดอะไรต่ออะไรอีกยืดยาว แต่ลลิตาซึ่งรู้สึกใจสั่นจนไม่อยากจะฟังอะไร ที่เกี่ยวกับชายหญิงคู่นั้นอีกแล้วรีบตัดบททันที “แม่คะ แค่นี้ก่อนนะคะ ลิตามีนัด ว่างๆลิตาจะโทรไปใหม่นะคะ” “เดี๋ยวก่อน บอกแม่ก่อนว่าจะกลับมาบ้านเมื่อไร คุณพ่อถามแม่หลายหนแล้ว ยังไงก็กลับมาเมืองไทยดีกว่า มาหางานทำที่นี่ อย่างลิตาน่ะหางานไม่ยากหรอก หรือถ้าไม่ได้จริงๆคุณพ่อก็ช่วยได้อยู่แล้ว” คุณลักษณารีบโวยวาย เพราะกลัวว่าลูกสาวจะหายเงียบให้เธอต้องเป็นห่วงอีก “แม่คะ แล้วลิตาจะโทรไปใหม่นะคะ” เธอรีบกดปุ่มตัดสัญญาณทันที หลังจากวันนั้นหญิงสาวก็ต้องจมอยู่กับความทุกข์ เมื่อวาดภาพความสุขของคนคู่นั้น บางครั้งก็หวนคิดถึงวันเวลาที่แสนหวานระหว่างเธอกับคริส มีหลายครั้งที่ลลิตานึกเจ็บใจตัวเอง ที่ไม่ผูกมัดเขาเอาไว้เสียก่อนในช่วงที่ความรักยังหวานชื่น และเขายังไม่ได้หายตัวไปเกือบหนึ่งปี เธอคิดว่าไม่น่าจะหวงตัวกับเขามากเกินไปเลย ถ้าตอนนั้นเธอมีอะไรกับเขาแล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบด้วยการรีบแต่งงานกับเธอโดยเร็ว ถึงเขาจะหายตัวไปหลังจากนั้นแต่เขาก็ต้องกลับมาหาเธออยู่ดี เพราะเธอกับเขาแต่งงานกันแล้ว ถ้าเหตุการณ์เป็นแบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอะไรได้ นอกจากเมียน้อยหรือนางบำเรอเท่านั้น เพราะความใจเย็นและประมาทของเธอทีเดียว ที่ทำให้เหตุการณ์พลิกผันไปได้ถึงเพียงนี้ หลังจากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเองในอพาร์ตเมนท์ส่วนตัว สลับกับการเดินทางไปประเทศโน้นบ้างประเทศนี้บ้างอีกหลายครั้ง ในที่สุดจิตใจที่ค่อยๆสงบลง เพราะไม่ได้เห็นไม่ได้ยินอะไรที่เกี่ยวข้องกับหญิงชายคู่นั้นของลลิตา ก็เริ่มบอกตัวเองให้หางานทำได้แล้ว เธอไม่ควรจะมานั่งๆนอนๆอ่านหนังสือบ้าง ดูรายการโทรทัศน์ที่ไม่น่าสนใจในความเห็นของเธอบ้าง หญิงสาวเริ่มตระหนักว่าเธอได้ปล่อยเวลาเกือบหนึ่งปีให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่า เธอเคยทำงานมาตลอดเวลาหลังเรียนจบ แถมยังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยเธอเริ่มงานในตำแหน่งเลขาฯส่วนตัวของจอห์น เลย์ตันก็จริง แต่เพราะเรียนทางด้านการเงินการธนาคารมา ดังนั้นเพียงสองปีหลังจากนั้นจอห์นก็ส่งเธอไปทำงานเป็นพนักงานในฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งเป็นงานที่เหมาะกับบุคลิกที่สดชื่นรื่นเริงและชอบพบปะผู้คนของเธอ หญิงสาวทำงานอย่างขยันขันแข็งจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ที่ว่างลง ถ้าเธอกับคริสไม่ได้กำลังจะแต่งงานกัน ลลิตาก็คงไม่คิดจะลาออกจากงานเพราะเธอเป็นผู้หญิงทำงาน เป็นคนที่ชอบทำงานนอกบ้านมากกว่าจะเป็นแม่บ้านอย่างเดียวอย่างที่คุณธัญญาต้องการ ส่วนคริสนั้นไม่ขัดข้องถ้าเธอจะยังทำงานต่อไปหลังแต่งงาน แต่ที่ลลิตาจำเป็นต้องลาออกเพราะต้องการจะย้ายไปอยู่กับคริสที่วอชิงตัน ดี.ซี.เท่านั้นเอง แต่แล้วในที่สุดวิมานของเธอก็พังทะลาย นอกจากจะสูญเสียผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในหัวใจมาแสนนานแล้วยังต้องสูญเสียงานที่เธอรักไปพร้อมๆกันด้วย หญิงสาวคิดอย่างขมขื่นว่ามีใครอีกหรือที่จะโชคร้ายเหมือนเธอ เมื่อตั้งเป้าหมายที่จะทำงาน ลลิตาก็เริ่มต้นหางาน และในที่สุดก็ได้งานอย่างง่ายดาย ในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พรีมา ซึ่งเป็นบริษัทเงินทุนขนาดกลางตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ซึ่งเป็นงานในลักษณะและตำแหน่งเดียวกับที่เธอเคยทำ ในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เลย์ตันของครอบครัวคริสในสหรัฐฯ ผู้จัดการฝ่ายที่เป็นหัวหน้าโดยตรงของเธอ เป็นหนุ่มใหญ่อายุสามสิบห้าปีชื่อธีระ เขาเป็นคนสัมภาษณ์เธอและรู้สึกพอใจกับประวัติการทำงานที่ผ่านมาของลลิตา นอกเหนือไปจากรูปร่างหน้าตาที่สวยงามสะดุดตาและการมีบิดาเป็นรัฐมนตรี ความจริงผู้จัดการฝ่ายบุคคลคัดเลือกผู้สมัครสามคน ที่เห็นว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับตำแหน่งทัดเทียมกัน มาให้เขาสัมภาษณ์เพื่อพิจารณาเลือกคนใดคนหนึ่งเข้าทำงานในตำแหน่งดังกล่าว ลลิตาเป็นคนแรกที่ธีระสัมภาษณ์แล้วตัดสินใจทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้ เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาเป็นผู้ช่วยของเขา ดังนั้นผู้สมัครอีกสองคนที่เหลือที่เข้ามารับการสัมภาษณ์ทีหลัง จึงแทบจะไม่ได้รับความสนใจจากเขาเลย การสัมภาษณ์เป็นไปตามมารยาทเท่านั้น ถึงจะตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใคร แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธไม่สัมภาษณ์ผู้สมัครอีกสองคนที่เหลือได้ เพราะผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้นัดหมายผู้สมัครทั้งสองให้มาสัมภาษณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่สามารถจะยกเลิกได้โดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ ทันทีที่ได้รับจดหมายแจ้งอย่างเป็นทางการว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์พรีมายินดีรับเธอเข้าทำงาน ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ตั้งแต่ต้นเดือนหน้าเป็นต้นไป ลลิตาก็เข้าไปที่บ้านของมารดา คุณลักษณาทั้งตกใจและดีใจที่จู่ๆบุตรสาวที่ไม่ได้เจอหน้ามานานเกือบปี มีแต่การพูดคุยกันทางโทรศัพท์เท่านั้น เดินเข้ามาในห้องส่วนตัวที่เธอกำลังนั่งทำอะไรเล็กๆน้อยๆ อย่างเหงาหงอยอยู่ตามลำพัง เพราะท่านรัฐมนตรีปราโมชสามีของเธอไม่อยู่บ้านตามเคย เขาอ้างเรื่องประชุมบ้างเรื่องงานสังสรรค์บ้างเหมือนทุกครั้ง แม้จะระแวงสงสัยว่าอาจจะโดนหลอก แต่บางครั้งเช่นครั้งนี้คุณลักษณาก็ทำเป็นไม่รู้เสียบ้าง เธอรู้สึกเหนื่อยที่จะติดตามหาความจริงโดยไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะสามีเธอก็คงไม่เลิกพฤติกรรมดังกล่าวได้ง่ายๆ “อ้าว..ลิตา กลับมาเมื่อไหร่เนี่ย นึกว่ายังอยู่กับเพื่อนที่โน่นเสียอีก แล้วนี่มายังไง ทำไมไม่โทรมาบอก จะได้ให้เจ้าเทอดมันไปรับที่สนามบิน” พูดจบเธอก็กระวีกระวาดลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เดินเข้ามาหาบุตรสาวซึ่งหยุดอยู่ใกล้ประตู มองสำรวจหน้าตาเนื้อตัวของลลิตา เพื่อหาร่องรอยความโศกเศร้าผิดหวัง ที่คุณลักษณาเชื่อแน่ว่ายังมีหลงเหลืออยู่ ถึงเวลาจะผ่านไปหลายเดือนแล้วก็ตาม “เข้าไปดูห้องหรือยัง แม่ให้เขามาตบแต่งห้องให้ลูกใหม่แล้วนะ เห็นหรือยัง ชอบไหม?” แล้วโดยไม่รอฟังคำตอบคุณลักษณาก็เดินลิ่วออกจากห้อง เพื่อไปยังห้องนอนเก่าของลลิตาที่อยู่อีกด้านหนึ่งของตึก ทำให้หญิงสาวต้องเดินตามไปด้วย พอเปิดประตูห้องเข้าไปก็เจอเด็กรับใช้ที่นำกระเป๋าค้างคืนใบเล็กของลลิตาเข้ามาวางไว้ให้ในห้องและกำลังจะเดินกลับออกไป “เอ๊ะ..นี่ลูกเอาของมาแค่นี้เองหรือ? แม่นึกว่าลูกจะขนของทางโน้นกลับมาด้วย” คุณลักษณามองขนาดของกระเป๋าอย่างสงสัย “ลิตายังไม่ได้ขนของที่อพาร์ตเมนท์มาหรอกค่ะแม่ ลิตายังไม่ได้กลับไปนิวยอร์ค ออกจากลอสแองเจลิสก็มากรุงเทพฯเลย” แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจบอกมารดาเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ “แม่คะ ลิตากลับมาสักพักแล้ว แต่เพิ่งมาหาแม่เพราะมัวแต่เสียเวลาหางานหาอพาร์ตเมนท์อยู่” ลลิตาคิดว่าเธอไม่จำเป็นต้องบอกมารดาว่าหลังจากมากรุงเทพฯแล้ว เธอยังเดินทางออกไปต่างประเทศอีกหลายครั้งเพื่อสงบจิตใจ หญิงสาวพูดยังไม่ทันจบ มารดาของเธอก็ร้องถามขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าตกใจ “ นี่ลูกจะไม่อยู่ที่นี่แต่จะไปอยู่อพาร์ตเมนท์งั้นหรือ? บ้านช่องก็มี ทำไมต้องไปอยู่ข้างนอก เป็นสาวเป็นนางจะไปเช่าอพาร์ตเมนท์อยู่คนเดียวได้ยังไง” ลลิตาเหลียวมองไปรอบๆห้องนอนใหญ่ ที่ได้รับการปรับปรุงตบแต่งใหม่ อย่างสวยงามหรูหราด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า จิตใจที่ยังไม่สงบของเธอไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับอะไรทั้งนั้น หญิงสาวคาดไม่ผิดว่ามารดาจะต้องคัดค้าน แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วที่จะไม่ยอมอยู่บ้านนี้อีก สิบปีในต่างแดนได้บ่มเพาะให้เธอรู้สึกถึงอิสรภาพที่ไม่มีใครมาคอยชี้นิ้วบงการ ยกเว้นแต่เธอจะเต็มใจให้บงการเท่านั้น “แม่คะ คืนนี้ลิตาจะค้างที่นี่ ต่อไปก็จะมาค้างด้วยบ่อยๆ แต่ลิตาจำเป็นต้องมีที่อยู่ของตัวเอง ลิตาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว บางครั้งก็อยากจะอยู่ตามลำพังบ้าง” คุณลักษณาหน้าเสีย “พูดยังกับว่าอยู่บ้านนี้แล้วแม่จะคอยวุ่นวายด้วยยังงั้นแหละ แม่เคยสั่งอะไรลิตาได้บ้างล่ะ? หัวแข็งจะตาย” ลลิตานึกสงสารมารดาอยู่เหมือนกัน รู้ว่าคุณลักษณานั้นรักทั้งสามีและบุตรมาก และวิธีแสดงความรักของเธอก็คือคอยเจ้ากี้เจ้าการวุ่นวายซักโน่นสั่งนี่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกคนอึดอัดเพราะไม่สามารถจะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาได้ จนบางครั้งหญิงสาวก็นึกเห็นใจบิดาที่ต้องหาทางปลีกตัวออกจากความวุ่นวายในบ้านที่เนื่องมาจากคุณลักษณา ด้วยการพยายามอยู่นอกบ้านให้มากที่สุด แล้วเมื่ออำนาจวาสนาบารมีทางการเมืองสูงขึ้นก็เลยมีผู้ใต้บารมีหาผู้หญิงสาวๆสวยๆมาประเคนให้ ทำให้คุณลักษณาต้องวุ่นวายเหนื่อยยากทั้งกายและใจมากขึ้น ตอนนั้นลลิตาก็ไม่ได้นึกสงสารมารดาสักเท่าไรเพราะเห็นใจบิดามากกว่า แต่คราวนี้เมื่อมาเจอปัญหาเข้ากับตัวเองบ้างได้รู้รสชาติของการถูกแย่งความรักความสนใจ ทำให้ความรู้สึกแบบนั้นเปลี่ยนไป หญิงสาวกลับมารู้สึกเห็นใจและสงสารมารดามากขึ้นกว่าเดิม ลลิตาเข้าไปกอดมารดาด้วยความสงสาร ซึ่งนานๆจะทำสักครั้ง ทำให้คุณลักษณานิ่งอึ้งไปด้วยความตื้นตันใจ มีน้ำตาจางๆคลออยู่ในดวงตา “แม่คะ ลิตาได้งานทำแล้วละ อพาร์ตเมนท์ของลิตาก็อยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานด้วย แม่ไม่ต้องห่วงลิตาหรอกค่ะ ขอลิตาออกไปอยู่ข้างนอกสักพักหนึ่งก่อน ถ้าเมื่อไหร่สบายใจมากกว่านี้ ลิตาก็อาจจะกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม ลิตาพูดอย่างนี้แม่คงเข้าใจใช่ไหมคะ?” คุณลักษณานั้นเข้าใจจิตใจของลลิตาดี เธอรู้ว่าลูกของเธอยังไม่สามารถลืมคริสได้ ถึงจะพยายามทำเหมือนว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้มีความหมายอีกต่อไปแล้ว แต่คุณลักษณาก็รู้ว่าลลิตายังเจ็บปวดและมีรอยร้าวลึกในหัวใจที่ยากจะเยียวยา คงต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่ามันจะค่อยๆจางหายไป เธอก็เลยพยักหน้าไม่โต้แย้งอีก แล้วเย็นนั้นสองแม่ลูกก็นั่งรับประทานอาหารกันสองคนตามลำพัง เพราะบิดาของเธอยังไม่กลับอีกตามเคย “ลิตาจะกลับไปอพาร์ตเมนท์พรุ่งนี้เลยหรือ อีกตั้งหลายวันกว่าจะเริ่มงานไม่ใช่หรือ ลูกน่าจะพักที่บ้านนี่ไปก่อนจนกว่าจะทำงาน จะได้อยู่เป็นเพื่อนคุยกับแม่บ้าง แล้วก็จะได้พบคุณพ่อด้วย จะได้อธิบายให้เขาฟังเรื่องที่จะออกไปอยู่ข้างนอก” หญิงสาวนิ่งคิด รู้สึกเห็นใจมารดาเหมือนกันที่ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว และความจริงเธอยังมีเวลาอีกประมาณสองสัปดาห์กว่าจะไปเริ่มงาน “ลิตาจะค้างที่นี่สักสองสามคืนก็แล้วกันนะคะแม่ นานกว่านั้นไม่ได้ เพราะลิตาต้องไปเตรียมตัวทำงานด้วย อาจจะต้องไปหาซื้อเสื้อผ้าบ้าง เข้าของส่วนใหญ่ของลิตายังอยู่ที่โน่น วันหลังลิตาจะมาค้างกับแม่บ่อยๆ” คุณลักษณาซึ่งรู้อยู่แล้วว่าลูกสาวของเธอไม่ใช่คนที่เธอจะใช้อำนาจบังคับได้ รวมทั้งเห็นว่าลลิตาดีกับเธอมากขึ้นกว่าเก่า เมื่อไม่อยากให้บรรยากาศกลับไปเหมือนเมื่อก่อนที่พูดกันได้ไม่กี่คำ ถ้าเธอไม่บันดาลโทสะขึ้นเสียก่อนลูกสาวเธอก็จะเป็นฝ่ายลุกหนีไป ก็เลยต้องจำใจนิ่ง “พี่ชัยเป็นยังไงบ้างคะแม่ กลับบ้านดึกบ่อยๆหรือคะ นี่ก็สองทุ่มกว่าแล้วยังไม่เห็นกลับ งานเขาเลิกห้าโมงเย็นไม่ใช่หรือคะ?” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงพี่ชาย ซึ่งยังอยู่กับบิดามารดาที่บ้านนี้ แล้วก็เห็นสีหน้าไม่พอใจของคุณลักษณาทันทีเมื่อเอ่ยถึงชนะชัย พี่ชายที่อายุมากกว่าเธอสองปีและเป็นคนเงียบๆ อยู่ในโอวาทของมารดามาตั้งแต่เล็กจนโต “โฮ๊ย เดี๋ยวนี้เขากลับบ้านดึกทุกวันแหละ วันหยุดก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน พอตื่นมาก็แต่งตัวออกไปข้างนอกแล้ว แม่ถามก็บอกแต่ว่ามีงานบ้าง ธุระบ้าง ใครมันจะมีงานมีธุระอะไรนักหนา คุณพ่อก็เหมือนกัน กลับดึกกลับดื่นได้ทุกคืน กลายเป็นว่าแม่ต้องอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียว” ลลิตาคิดในใจว่าพี่ชายผู้เงียบขรึมของเธอ เกิดเบื่อบ้าน แล้วลุกขึ้นมาประท้วงมารดาอีกคนหรือเปล่า เธอกะเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสคงจะต้องลองคุยกับเขาดูบ้าง ให้สนใจมารดาให้มากขึ้นหน่อย เพราะตัวเธอเองนั้นคงไม่ได้มาค้างที่บ้านบ่อยนัก แล้วอีกอย่างเขาก็เป็นลูกรัก ที่คุณลักษณาตั้งความหวังเอาไว้กับเขาสูงอีกด้วย ในที่สุดลลิตาก็ค้างอยู่กับมารดาสองสามวัน แล้วกลับไปที่อพาร์ตเมนท์ของเธอพร้อมด้วยรถเก๋งคันหนึ่งของบิดา ที่จอดอยู่เฉยๆไม่ได้ใช้ คุณลักษณาเป็นคนคะยั้นคะยอให้บุตรสาวเอารถคันนั้นไปใช้ โดยให้เหตุผลว่าถ้ามีรถใช้จะทำให้การเดินทางไปทำงานหรือติดต่องานเป็นไปได้สะดวกขึ้น
แหม อ.เต๊ะ นี่ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เลยค่ะคุณตุัย
สรุปว่าที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ความผุกพันยิ่ง ทำให้ทุกข์นะคะ ทุกข์ใจนี่รวยแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้ค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() โดย: หอมกร
![]() ![]() นิยายเรื่องนี้เป็นภาค 2 ของ "เวลาที่หายไป"
ค่ะ เอามาโพสต์ใหม่สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน ภาคนี้สนุกแบบดุเดือดประเภท "ประดาบก็เลือดเดือดค่ะ" ผู้เขียนถูกแฟนคลับถล่มจนยับเยินเลยค่ะ 555 โดย: ดอยสะเก็ด
![]() ![]() โห ถึงขนาดถูกแฟนคลับถล่มยับเยินนี่
แสดงว่าต้องเขียนเข้าถึง อารมณ์์เอามากๆ นึกถึงละคร สมัยก่อนที่ นางอิษฉาเดินตลาดไม่ได้ทีเดียวเพราะแม่ค้า จ้องจะเล่นงานเอานะครับ ฮ่าๆๆ ![]() ![]() ![]() โดย: multiple
![]() ![]() คุณ muliple อย่าลืมเข้ามาอ่านต่อจนจบนะคะ ชอกำลังใจเลยค่ะ 555
โดย: ดอยสะเก็ด
![]() ![]() |
ดอยสะเก็ด
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Group Blog
All Blog Friends Blog
|
|||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ไม่งั้นอาจารย์เต๊ะ คงจะสับสนเองนะครับ ฮ่าๆๆ