เวลาที่หายไป - บทที่ 29
ทิพย์สุรางค์อยู่ในห้องครัว กำลังนวดแป้งสำหรับทำขนมสูตรใหม่อยู่ เมื่อพนักงานของร้านคนหนึ่งเข้ามาบอกว่ามีแขกมาขอพบ ถึงไม่แน่ใจว่าใครมาหาเธอแต่หญิงสาวก็วางมือจากงานที่กำลังทำอยู่ ล้างหน้าล้างมือจนสะอาด ถอดเสื้อคลุมสีขาว ผ้ากันเปื้อนและดึงหมวกที่สวมคลุมผมทั้งหมดเอาไว้ออก เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดที่ใส่ทำงานเป็นกางเกงยีนส์ขายาวฟิตพอดีตัว กับเสื้อสเวตเตอร์คอเต่าแขนยาวตัวหนาที่ใส่มาจากบ้าน ดึงผมที่ขมวดแล้วมัดเป็นก้อนเอาไว้ เพื่อสะดวกในการเก็บผมเข้าไว้ใต้หมวกได้มิดชิดให้ปล่อยลงมา ใช้แปรงผมที่เก็บไว้ในล็อคเกอร์แปรงผมจนเรียบ รัดตรงโคนผมด้วยผ้าผูกผมสีดำ ปล่อยชายผมลงมาในลักษณะทรงหางม้า


ผมทรงนี้และใบหน้าที่ไม่มีเครื่องสำอาง รวมทั้งเสื้อผ้าแบบที่เธอไม่เคยใส่ที่เวียงพุกาม ทำให้ทิพย์สุรางค์ดูเหมือนเด็กสาววัยรุ่น หลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินออกไปตรงบริเวณที่จัดไว้เป็นที่รับรองแขก หรือผู้ที่มาติดต่อสมัครเข้าเรียน

ทิพย์สุรางค์เพิ่งจะมาเรียนทำขนมเพิ่มเติมที่โรงเรียนแห่งนี้ได้เพียงสองเดือน สัปดาห์ละหนึ่งวัน ส่วนเวลาที่เหลือหมดไปกับการศึกษาระดับปริญญาโท ทางด้านบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หลักสูตรนี้มีกำหนดเวลาประมาณสองปี ซึ่งเธอเริ่มเข้าเรียนในเดือนแรกๆ ที่มาถึงสหรัฐฯ ต่อมาได้ดร็อบการเรียนเอาไว้ระยะหนึ่งแล้วกลับมาเรียนต่อจนถึงปัจจุบัน หญิงสาวหมายมั่นว่าใช้เวลาอีกไม่นานก็จะจบการศึกษา เมื่อเรียนจบก็จะกลับไปช่วยวุฒิเลิศบริหารงานที่บริษัทต่อไป ส่วนเรื่องทำขนมก็จะเป็นเพียงงานอดิเรกที่เธอรักเท่านั้น

ทิพย์สุรางค์ไม่รู้จักผู้ชายผิวดำวัยประมาณสี่สิบปีที่ยืนรออยู่ พอเห็นเธอเขาก็ก้มศรีษะให้นิดหนึ่ง

“ มิสทิปปี้ใช่ไหมครับ ? ”
เมื่อเธอตอบรับเขาก็เหลือบมองแผ่นกระดาษชิ้นเล็กในมือ ก่อนบอกด้วยเสียงที่สุภาพว่า “ มิสซิสภักดีวงค์ขอเชิญคุณออกไปพบหน่อย”

เขาผายมือผ่านกระจกหน้าร้านไปที่รถอเมริกันคันใหญ่ยาวติดฟิล์มสีดำที่จอดอยู่หน้าร้าน หญิงสาวลังเล เธอไม่เคยรู้จักใครที่ชื่อมิสซิสภักดีวงค์ ผู้หญิงที่นั่งรออยู่ในรถคงจะเห็นท่าทางลังเลของเธอจึงหมุนกระจกรถลง ชะโงกหน้าออกมากวักมือเรียก ทิพย์สุรางค์เห็นหน้าผู้หญิงวัยกลางคนๆ นั้นแล้ว แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยรู้จักมาก่อนหรือเปล่า แต่ด้วยมารยาทเธอเดินออกจากร้านตรงไปที่รถ

“ เธอชื่อทิปปี้ใช่ไหม ?” มิสซิสภักดีวงค์หรือคุณลักษณา มารดาของลลิตายื่นหน้าออกมาถามเพื่อความแน่ใจ

“ ใช่ค่ะ ” เธอตอบ แล้วมองผู้ถามอย่างแปลกใจ “ มีธุระอะไรกับฉันหรือคะ ? ”

“ ฉันมีอะไรจะคุยกับเธอนิดหน่อย ” ท่าทางลังเลของอีกฝ่ายทำให้คุณลักษณารีบกล่าวต่อไปว่า “ ฉันชื่อลักษณา เธออาจจะไม่รู้จักฉัน แต่ฉันเคยเห็นเธอที่งานหมั้นเมื่อเร็วๆ นี้ ถ้าได้คุยกัน เธอก็จะรู้ว่าฉันเป็นใคร”

“ เชิญเข้าไปในร้านเบเกอรี่ดีไหมคะ ?” เธอหมายถึงในโรงเรียนสอนทำขนม
“ อย่าเลย หาร้านอาหารหรือร้านกาแฟแถวๆ นี้สักแห่ง น่าจะเหมาะกว่า”

แม้จะแน่ใจว่าไม่เคยรู้จักหรือได้ยินชื่อของผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่ดูจากลักษณะท่าทาง การแต่งเนื้อแต่งตัวที่ภูมิฐานและการมาอย่างเปิดเผย รวมทั้งวัยที่สูงพอจะเป็นมารดาของเธอได้ ทิพย์สุรางค์ก็ไม่คิดว่าผู้หญิงที่อ้างตัวเองว่าชื่อลักษณาผู้นี้จะมาต้มตุ๋นหรือคิดร้ายกับเธอ หญิงสาวจึงคิดว่าจะให้เวลาพูดคุยธุระด้วยสักครู่หนึ่ง

“ใกล้ๆ นี่มีร้านกาแฟเล็กๆ พอใช้ได้อยู่ร้านหนึ่งค่ะ ”

“อยู่ใกล้ไกลแค่ไหน ต้องเอารถไปไหมจ๊ะ ? ”
“ เดินจากตรงนี้ไปหนึ่งบล็อคก็ถึงค่ะ ”

คุณลักษณามองตามมือเธอไปแล้วทำหน้านิ่ว “เอารถไปดีกว่า ฉันไม่ค่อยชอบเดินเท่าไหร่ อากาศก็หนาวมากด้วยสิ ”

เธอเปิดประตูรถเพื่อให้ทิพย์สุรางค์เข้าไป แต่หญิงสาวขอตัวกลับเข้าไปหยิบโค๊ตตัวยาวที่ทิ้งไว้ในร้านก่อน เพราะอากาศข้างนอกตอนนี้ค่อนข้างเย็น

หลังจากจอดส่งหญิงทั้งสองที่หน้าร้านกาแฟเล็กๆ ซึ่งตั้งเบียดอยู่ระหว่างร้านหนังสือและร้านขายอุปกรณ์กีฬาแล้ว คนขับรถก็พารถแล่นเข้าไปจอดรอในลานจอดที่อยู่ใกล้ๆ ทิพย์สุรางค์เดินนำหน้าพาคุณลักษณาเข้าไปในร้านซึ่งมีโต๊ะตั้งอยู่เพียงห้าหกโต๊ะ ทั้งร้านมีผู้หญิงผิวดำวัยกลางคนนั่งอ่านหนังสือไปจิบกาแฟไปอยู่เพียงคนเดียว หญิงสาวเลือกได้โต๊ะที่อยู่ด้านในสุดแล้วสั่งกาแฟสองที่

คุณลักษณานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับทิพย์สุรางค์ จ้องมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเพ่งพิศ หลังจากวันงานเธอคิดอยู่ตลอดเวลาว่าจะหาผู้หญิง คนที่เห็นอยู่กับคริสที่หน้าลิฟต์พบได้อย่างไร และเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว เพราะไม่มีเบาะแสใดๆไปถึงตัวเจ้าหล่อนเลย แต่แล้วก็เหมือนโชคช่วย

วันหนึ่งหลังจากวันหมั้นของคริสและลลิตาประมาณสองสัปดาห์ ขณะที่รถเก๋งคันที่เธอนั่งไปธุระกับคุณธัญญาจอดติดไฟแดงอยู่บนถนนสายหนึ่ง คุณลักษณามองออกไปนอกหน้าต่างรถโดยไม่มีจุดหมาย แล้วก็เห็นผู้หญิงคนนั้นเดินข้ามถนนผ่านหน้ารถไป ตอนแรกเธอยังไม่ค่อยแน่ใจว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า เธอมองตามไปจนหญิงสาวคนนั้นเดินขึ้นไปบนทางเท้า เลี้ยวซ้ายผ่านหน้าร้านสองสามร้านแล้วเดินหายเข้าไป ในห้องกระจกของร้านหรือสถานที่แห่งหนึ่ง

ขณะที่รถได้ไฟเขียวและแล่นตรงไป คุณลักษณาแหงนดูป้ายหน้าร้านที่บอกว่าเป็นร้านเบเกอรี่และโรงเรียนสอนทำขนมหวาน เห็นเพียงแค่นั้นรถก็แล่นผ่านไป เธอรีบเก็บชื่อร้านและชื่อถนนไว้ในสมองที่ฉับไวทันที

แล้ววันรุ่งขึ้นเธอก็ไปกับคนขับรถคนเดิม นั่งคอยอยู่ในรถที่จอดแอบอยู่ในลานจอดใกล้ๆ ส่งคนขับรถเข้าไปที่ร้านนั้น ให้เขาอธิบายรูปร่างลักษณะของผู้หญิงไทยคนนั้น กับคนในร้านและถามชื่อมาให้เธอ ที่รู้ว่าเป็นคนไทยเพราะคืนนั้นเธอได้ยินเสียงทุ่มเถียงกันเป็นภาษาไทย เมื่อได้ชื่อมาแล้วและรู้ว่าเจ้าหล่อนมาที่นั่นวันไหนบ้าง เธอก็กลับมาอีกครั้งหนึ่งในวันนี้ ขอพบผู้หญิงที่ชื่อทิปปี้

คุณลักษณาเพ่งพิศใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางของหญิงสาวตรงหน้า กะว่าคงอายุไม่เกินยี่สิบปีและคงยังเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาอยู่

“เธอมาเรียนที่นี่หรือ ? ” เธอเริ่มสอบปากคำ

ทิพย์สุรางค์ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีธุระอะไรกับเธอ แต่ก็ตอบสั้นๆว่า “ค่ะ ”
“มาเรียนนานหรือยังล่ะ ?”
“ สองปีแล้วค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างเรียบร้อย เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอาวุโสสูงกว่าเธอมาก
“ ตอนอยู่เมืองไทยเธออยู่แถวไหน อย่าถือสาเลยนะที่ถามจุกจิก เห็นว่าเธอยังเด็กมาก คงอ่อนกว่าลูกฉันหลายปี”

คุณลักษณารีบออกตัว เมื่อเห็นแววตาที่เริ่มสงสัยของทิพย์สุรางค์ ตอนนี้เธอต้องการจะรู้ฐานะและเทือกเขาเหล่ากอของผู้หญิงคนนี้ให้ชัดเจน ก่อนที่จะเริ่มโจมตี

“ แถวสุขุมวิทค่ะ” หญิงสาวตอบไปเรื่อยๆ อยากรู้เหมือนกันว่าหญิงวัยกลางคนตรงหน้าเธอคนนี้จะอ้อมค้อมไปอีกนานไหม กว่าจะเข้าเรื่องที่บอกว่าจะคุยด้วย

ความจริงคุณลักษณาอยากจะซักลงไปให้ชัดเจนเลยว่าที่ว่าสุขุมวิทน่ะตรงไหน ห้องแถวเก่าๆ โทรมๆบนถนนสุขุมวิทบางช่วงหรือตึกหลังใหญ่ในซอยแถวนั้น เพื่อประเมินฐานะความเป็นอยู่ แต่ก็กลัวว่าเหยื่อจะตื่นเสียก่อนก็เลยเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

“ แล้วที่อเมริกานี่อยู่กับใครจ๊ะ ?” เธอทำเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ อยู่กับเพื่อนค่ะ”
“ งั้นหรือ? แล้วใกล้จะเรียนจบหรือยังจ๊ะ จบแล้วจะกลับเมืองไทยเลยหรือเปล่าหรือจะทำงานที่นี่”
“ ยังไม่ทราบเลยค่ะ ยังไม่มีแผนการอะไร”

แววตาที่เริ่มคลางแคลงใจของทิพย์สุรางค์ ทำให้คุณลักษณาจำเป็นต้องแนะนำตัวเองให้ชัดเจนขึ้น

“ อ้อ..ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อลักษณาอย่างที่บอกเธอเมื่อกี้ ฉันเป็นแม่ของลลิตาคู่หมั้นของคริส”

ทิพย์สุรางค์อึ้งไปเล็กน้อย นึกในใจว่านี่หรือมารดาของผู้หญิงที่ชื่อลลิตา ความจริงวันนั้นคุณลักษณาขึ้นไปปรากฏตัวบนเวทีคู่กับสามีด้วย แต่หญิงสาวก็จำเธอไม่ได้เพราะมองจากระยะไกล และไม่ได้สนใจมองคนอื่นเลยนอกจากคริสกับคู่หมั้นของเขาเท่านั้น แม้จะเชื่อว่าคุณลักษณาไม่รู้เรื่องระหว่างเธอกับคริส แต่ทิพย์สุรางค์ก็เริ่มระวังตัว

มารดาของลลิตาเริ่มต้นซักฟอกด้วยการทำไม่รู้ไม่ชี้ถามว่า “ ฉันเห็นเธอไปร่วมงานเลี้ยงคืนนั้นด้วย ไปในฐานะอะไรจ๊ะ เป็นแขกของคริสหรือเปล่า?”

หญิงสาวไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีจุดมุ่งหมายอะไร แต่ก็ตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า “ไปกับเพื่อนค่ะ”

“ เธอกับคริสคงรู้จักกันนานแล้วสินะ ไม่งั้นเขาคงไม่เชิญเธอไปร่วมงานหรอก เพราะงานนั่นก็มีแต่พวกเพื่อนๆ ในแวดวงธุรกิจของพ่อคริส แล้วก็พวกผู้บริหารของบริษัทเท่านั้นแหละ” แล้วเธอก็ทำเป็นถามยิ้มๆ แต่ด้วยแววตาคมกริบว่า “ หรือว่าเธอเป็นแขกพิเศษของคริส?”

เมื่อเห็นทิพย์สุรางค์นิ่งอึ้งไม่ตอบคุณลักษณาก็รุกต่อทันที “ เธอจำฉันไม่ได้จริงๆ หรือ? เราเคยพบกันครั้งหนึ่งแล้วที่งานหมั้นของคริสกับลูกสาวฉัน ตรงหน้าลิฟต์ไง จำได้ไหม ?”

หญิงสาวสะดุ้งอยู่ในใจ ผู้หญิงที่ลงลิฟต์มาจากชั้นบนที่เธอรีบเดินสวนเข้าลิฟต์ไป เพื่อหนีคริสนั่นเอง

“ คงจำได้แล้วสินะ ” ว่าแล้วคุณลักษณาก็ใส่น้ำตาลและนมสด ลงในถ้วยกาแฟตรงหน้าแล้วคนช้าๆ ตาก็จับจ้องสังเกตสีหน้าของผู้หญิงที่นั่งตรงข้าม แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยตกใจหรือแปลกใจอย่างที่คาดเอาไว้

ทิพย์สุรางค์ซึ่งตอนนี้เตรียมตัวพร้อมแล้วถามเรียบๆ ว่า “ คุณมีธุระอะไรกับฉันหรือคะ ?”

มารดาของลลิตาถามแบบที่กะว่า จะทำให้หญิงสาวผู้นี้ตั้งตัวไม่ทันว่า
“เธอกับคริสมีอะไรกันหรือเปล่า ?”

ทิพย์สุรางค์เหลือบตาขึ้นมองหน้าคุณลักษณาอย่างไม่พอใจ ผู้หญิงกลางคนแต่งตัวหรูหราราคาแพงคนนี้นึกว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าถามคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ด้วยคำถามซักฟอกหาความผิดแบบนั้น

เธอยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก “ ถ้าคุณอยากรู้ทำไมไม่ลองถามคริสดูเล่าคะ? ”

คุณลักษณาชักสีหน้าขึ้นมาทันที ‘ หนอยมาทำยอกย้อน ไม่มีสัมมาคารวะ ’ เธอนึกอยู่ในใจ ความจริงเธอเป็นคนถือตัวเพราะสามีเธอร่ำรวย เล่นการเมืองจนมีชื่อเสียงคนรู้จักทั้งประเทศ ไปที่ไหนก็มีแต่คนกราบไหว้ แล้วเด็กนี่เป็นใครมาจากไหน มาทำท่าอวดดีใส่เธอ อย่างดีก็แค่นักเรียนจนๆ ที่ต้องทำงานหาค่าเล่าเรียนในร้านทำขนมนั่น เธอเข้าใจผิดคิดว่าทิพย์สุรางค์เป็นลูกจ้างร้านที่เธอกำลังเรียนทำขนมอยู่

“ ฉันถามเขาแล้วละ แต่ฉันก็อยากจะถามเธอด้วย ” เธอฝืนใจพูดดีด้วยแล้วจ้องหน้าทิพย์สุรางค์ เหมือนรอคำยืนยันจากปากเธอ

หญิงสาวลุกขึ้นยืน “ ฉันคงไม่ตอบหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ขอตัวก่อนนะคะฉันมีงานต้องทำ”

แต่ก่อนที่เธอจะเดินออกไป คุณลักษณาที่กำลังโกรธเพราะไม่สามารถตะล่อมเอาคำตอบได้ ลืมตัวพูดเสียงดังว่า

“ นี่ เธอ ! เธอตอบไม่ได้เพราะเธอมีอะไรกับเขาจริงใช่ไหม ? ต้องจริงสิ ก็ฉันเห็นกับตานี่นาว่าคืนนั้นเธอกับเขา กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ที่หน้าลิฟต์น่ะ ”

ความจริงเธอไม่ได้ตั้งใจจะพูดเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นหรอก แต่ความโกรธทำให้ลืมตัวหลุดปากออกไปอย่างนั้น แต่หลังจากหลุดปากออกไปแล้วเธอก็โมเมเอาเองว่า ‘ ก็สมควรแล้วนี่ ยื้อยุดฉุดมือกันอยู่แบบนั้น ถ้าฉันไม่โผล่จากลิฟต์ออกมาขัดจังหวะเสียก่อน ก็คงต้องถึงขั้นกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันจริงๆ แน่ ‘

พอได้ยินเช่นนั้น ทิพย์สุรางค์ก็เปลี่ยนใจแล้วนั่งลงตามเดิมทันที ถามอย่างท้าทายว่า “ ถ้าคริสกับฉันกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่จริงอย่างที่คุณว่า ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเราสองคน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย คุณมีปัญหาอะไรหรือคะ? ฉันจำไม่ได้ว่าคุณชื่ออะไร แต่ที่แน่ๆ คงไม่ได้ชื่อลลิตา จริงไหมคะ?”

แล้วหญิงสาวก็ผสมกาแฟ คนช้าๆ แล้วยกขึ้นจิบอย่างใจเย็น ส่วนตาก็มองหน้าคุณลักษณายิ้มๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ตีความได้ถูกต้องว่า ‘ มันยิ้มเยาะเรา ‘

มารดาของลลิตาเปิดกระเป๋าถือใบใหญ่ที่วางไว้ข้างตัว ควานหาพัดอันเล็กๆ ที่มีติดกระเป๋าอยู่เป็นประจำออกมากระพือพัดให้ตัวเอง ทั้งๆ ที่อากาศไม่ร้อนเลยแม้แต่น้อย เธอเริ่มรู้สึกร้อนใจเมื่อเห็นท่าทางไม่อ่อนข้อให้ของทิพย์สุรางค์ ความฉลาดบอกเธอว่าผู้หญิงคนนี้ คงไม่ใช่ผู้หญิงแบบเดียวกับผู้หญิงของสามีที่เธอต้องคอยตามราวี การพูดแบบแตกหักคงจะไม่ได้ผล ตาคมปลาบตรงหน้าบอกเธอว่าเจ้าหล่อนคงสู้ยิบตา แต่ถ้าเอาน้ำเย็นเข้าลูบแม่คนนี้อาจจะฟังเหตุผล ลดความดึงดันอยากเอาชนะลงไปก็ได้ คิดแล้วคุณลักษณาก็เปลี่ยนยุทธวิธี

“ คริสกับลิตาลูกสาวฉันรักกันมาตั้งแต่ยังรุ่นๆ พ่อแม่เขากับฉันสนิทสนมกันมาก แม่เขาน่ะจองลิตาเป็นลูกสะใภ้มานานแล้ว คริสเองก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่น เขาไม่เคยมองผู้หญิงอื่นเลยนะตั้งแต่มีลิตา อย่างเธอนี่น่ะอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาก็ใช้ได้ อย่าทำลายอนาคตตัวเองมาวุ่นวายกับผู้ชาย ที่กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ที่รักและรู้ใจกันมานานเลย ” เธอทำเสียงอ่อนโยนเหมือนปรารถนาดี

อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ “ ทำไมคุณถึงมั่นใจนักล่ะคะ ว่าฉันกับคริสมีอะไรกันเป็นพิเศษ ?”

คุณลักษณายักไหล่ “ เอาเถอะ ฉันจะไม่อ้อมค้อม เธอก็เป็นคนไทยเหมือนกับฉัน เธอก็น่าจะได้รับการอบรมจากทางบ้านมาบ้างว่าวัฒนธรรมประเพณีของเราเป็นอย่างไร ผู้ชายผู้หญิงที่ไม่มีอะไรกันคงต้องระมัดระวังตัวสักหน่อย ไม่ยื้อยุดฉุดกระชาก หรือทำอะไรกันประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะ เราไม่ใช่ฝรั่ง จริงไหมจ๊ะ?”

ทิพย์สุรางค์หน้าแดง “ เรื่องนั้นคุณคงต้องถามว่าที่ลูกเขยของคุณเอาเอง ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างที่คุณว่า แต่ฉันก็อยากจะบอกคุณเหมือนกันค่ะ ว่าอย่าเพิ่งปักใจเชื่อในสิ่งที่เห็นแล้วสรุปเอาเอง เพราะฉันอาจจะถือว่าคุณดูถูกฉันก็ได้”

อีกฝ่ายโบกมือว่อน “ ฉันไม่ได้ดูถูก เพียงแต่เตือนเธอในฐานะผู้ใหญ่ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานเท่านั้น แม้แต่ลูกสาวฉันเองฉันก็สอนเขาเสมอให้ทำตัวมีค่า อย่ายอมให้ใครมาทำรุ่มร่ามจนคนเขาเอาไปนินทา ผู้ชายน่ะอาจจะเจ้าชู้ จีบผู้หญิงไปทั่ว แต่เวลาจะแต่งงานเขาก็จะเลือกผู้หญิงที่วางตัวดี มีคุณค่าทั้งนั้นแหละจ้ะ”

“ ขอบคุณนะคะที่กรุณาตักเตือนสั่งสอนคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกใช่หลาน ฉันจะจำเอาไว้ เรามาเข้าเรื่องเดิมกันดีกว่า สมมติว่าคริสเขาแอบไปมีอะไรกับผู้หญิงอื่นล่ะค่ะ คุณหรือลูกสาวคุณจะทำยังไง?”

ทิพย์สุรางค์ย้อนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีแต่นัยน์ตาเท่านั้นที่ส่องประกายอะไรบางอย่าง ที่อีกฝ่ายอ่านไม่ออก

คราวนี้คุณลักษณาทำตาโตโบกมือว่อน ร้องว่า “ โอ๊ย ! ไม่มีทาง ต่อให้ดีวิเศษขนาดไหนก็ไม่มีทาง พ่อแม่คริสน่ะเลือกเฟ้นคนที่จะมาเป็นสะใภ้จะตาย ไม่ดีจริงไม่มีทางได้เป็นสะใภ้เขาหรอก ไม่ใช่สักแต่เป็นผู้หญิงหน้าตาดีหน่อยก็โอเคแล้ว ” เธอมองหน้าทิพย์สุรางค์เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า ก็ผู้หญิงอย่างเธอนี่แหละ

ทิพย์สุรางค์ย้อนถามอีกครั้ง ด้วยแววตาเยือกเย็นสงบนิ่งจนอีกฝ่ายอ่านไม่ออก ว่าเธอพูดจริงหรือเล่นว่า “ ถ้านะคะ..ถ้าสมมติว่าฉันกับคริสมีอะไรกันจริง อย่างที่คุณกล่าวหาในตอนแรก คุณจะทำยังไงคะ ?”

คุณลักษณาชักตกใจ เธอเป็นคนขี้ระแวงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ตอนที่คริสหายไปโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาไปเป็นอะไรอยู่ที่ไหนนั้น เธอเดือดเนื้อร้อนใจกว่าใครเพื่อน กลัวว่าเขาจะไปหลงเสน่ห์หรือถูกผู้หญิงชั้นต่ำเล่ห์เหลี่ยมจัดสักคนจับ จนลืมลูกสาวเธอ แม้เมื่อเขากลับมาแล้วเธอก็ยังเคลือบแคลงใจอยู่

ยิ่งตอนที่รู้จากลลิตาว่าเขาดูแปลกไปและเดินทางไปเมืองไทยหลายครั้ง เธอก็ยิ่งวิตกจนถึงกับลงทุนส่งคนไปสืบว่า คริสกลับไปยังสถานที่ที่เขาพักอาศัยอยู่เกือบหนึ่งปีเพื่อไปพบใคร มีผู้หญิงเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เธอเริ่มสบายใจขึ้นบ้างตอนที่สายของเธอกลับมารายงานว่าที่เวียงพุกามมีแต่ผู้หญิงสูงอายุ ที่เป็นสาวหน้าตาดีหน่อย ก็เป็นเพียงคนรับใช้หรือคนงานในไร่เท่านั้น

เพราะความหวาดระแวงกับช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่คริสหายตัวไป รวมทั้งประสบการณ์เกี่ยวกับสามีของเธอ ที่ในระยะหลังๆ นี้มักจะมีเรื่องผู้หญิงสาวๆ เข้ามาวุ่นวายอยู่บ่อยๆ ทำให้คุณลักษณาไม่วางใจผู้ชายทุกคน เมื่อแอ่ยปากเตือนลลิตาว่าอย่าวางใจคริสมากนัก ลูกสาวเธอยังทำท่าราวกับว่าเธอคิดมากเกินไปเสียอีก ทำให้คุณลักษณาต้องหาทางเร่งรัดเอากับคุณธัญญา ให้หนุ่มสาวทั้งสองแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด แต่เพื่อนของเธอก็เกรงใจลูกเสียจนไม่กล้าจัดการเรื่องแต่งงาน

ชายหนุ่มผู้นั้นเพิ่งจะยอมทำตามคำขอของคุณธัญญาเมื่อเร็วๆ นี้เอง ตอนนี้พิธีหมั้นอย่างเป็นทางการก็ผ่านไปแล้ว เธอจะต้องดำเนินการขั้นต่อไปให้คริสและลลิตาแต่งงานกันโดยเร็วที่สุด

แม้ว่าพิธีหมั้นจะผ่านไปด้วยดี แต่เหตุการณ์ที่หน้าลิฟต์ในคืนนั้นทำให้คุณลักษณาอยู่ไม่เป็นสุขขึ้นมาอีก เธอไม่กล้าเล่าให้ลลิตาฟัง เพราะไม่อยากให้ลูกสาวของเธอที่กลัดกลุ้มมานาน เพิ่งจะสมหวังเมื่อไม่กี่วันมานี้ ต้องกลับไปกลุ้มใจอีก เธอจึงคิดว่าจะต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ โดยกะว่าเมื่อพูดคุยกับหญิงสาวที่ชื่อทิปปี้คนนี้เรียบร้อยและเรื่องจบลงด้วยดีอย่างที่เธอต้องการ เธอก็จะไม่ซักถามอะไรคริสอีก จะปล่อยให้เรื่องที่เห็นหน้าลิฟต์ในคืนนั้นเงียบไปเฉยๆ

เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวท่าทางอวดดีที่นั่งอยู่ตรงหน้า ที่เธอเห็นว่าเป็นการท้าทาย คุณลักษณาก็คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องใช้ไม้ตาย ที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วกับผู้หญิงบางคนของสามี

“ ก็คงไม่ต้องทำอะไรหรอก ” เธอพูดช้าๆ มองทิพย์สุรางค์ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม เหมือนเวลาที่เธอมองผู้หญิงสาวรุ่นๆ บางคนของสามี ที่เธอเรียกออกมา ‘คุย’ ในรถคันใหญ่ของเธอที่ไปดักรออยู่หน้ามหาวิทยาลัย ที่เจ้าหล่อนผู้นั้นศึกษาอยู่ด้วยเงินทุนอุดหนุนจากสามีของเธอ

“ ความจริงเรื่องที่หน้าลิฟต์นั่นน่ะ ฉันถามคริสเขาแล้วตั้งแต่คืนนั้น เธออยากรู้ไหมล่ะว่าเขาบอกฉันว่ายังไง ?”

ทิพย์สุรางค์ใจหายวาบ นิ่งอึ้งพูดไม่ออก ไม่แน่ใจว่าคริสเล่าอะไรให้มารดาของลลิตาฟัง เรื่องเลวร้ายคืนนั้นหรือ? เขาเลวพอที่จะเอาไปเปิดเผยกับคนอื่นให้เธอเสียหายเชียวหรือ? ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้นแล้วจะมีเรื่องอะไรอีก หญิงสาวพยายามข่มใจที่กำลังเดือดพล่านให้สงบ พูดด้วยเสียงที่บังคับอย่างเต็มที่ให้เป็นปกติว่า

“ถ้าคุณอยากจะเล่าก็เล่ามาเถอะค่ะ ฉันจะได้รู้ว่าเขากล้าเล่าเรื่องจริงให้คุณฟังหรือเปล่า?”

“เรื่องจริง? เอ๊ะ...นี่แปลว่าเธอกับคริสมีเรื่องจริงกันด้วยหรือ? อะไรที่ว่าจริง? ตกลงเธอกับเขาเป็นอะไรกันแน่?”

คุณลักษณาชักตกใจจนเสียงสั่น ตายแล้ว!! พูดอย่างนี้ก็แสดงว่าสองคนนี่มีความสัมพันธ์กันจริงล่ะสิ คริสน่ะคงไม่ได้คิดจะเอาจริงหรอก คงเล่นๆ ตามประสาผู้ชายเท่านั้น แต่ผู้หญิงคนนี้คงคิดจะเอาจริง คงรู้ว่าคริสจะหมั้นกับลลิตา เลยไปปรากฏตัวที่งานคืนนั้น คงมีการต่อว่าต่อขานกันอย่างที่เธอเห็นที่หน้าลิฟต์นั่นแหละ

ทิพย์สุรางค์ยิ้มเยาะ ตอนนี้ค่อนข้างแน่ใจจากสีหน้าท่าทางที่ตกใจของอีกฝ่ายแล้ว ว่าคริสคงไม่กล้าพูดถึงเรื่องนั้น

“ คุณไม่น่าจะต้องถามฉันนี่คะ เขาว่าอย่างไรก็คงอย่างนั้นละค่ะ แต่ที่ฉันถามคุณว่าคุณจะทำอย่างไร ถ้าฉันกับคริสมีอะไรกันน่ะ เป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้นนะคะ ฉันสมมติให้คุณฟัง เผื่อเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ คุณจะได้วางแผนรับมือได้ทันท่วงที”

คุณลักษณาทำท่าฮึดฮัด “ ฉันไม่ชอบให้ใครมาพูดทีเล่นทีจริงกับฉัน ฉันไม่ชอบเรื่องสมมติ แต่ที่เธอกับคริสไปยื้อยุดกันอยู่ที่หน้าลิฟต์น่ะ คงไม่ใช่เรื่องสมมติ มันคงต้องมีอะไรสักอย่างที่ฉันยังไม่รู้ แต่ถ้าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่มั่งระหว่างเขากับเธอ มันก็คงเป็นเรื่องเล่นๆ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ผู้ชายส่วนใหญ่ก่อนแต่งงานก็เป็นยังงี้แหละ ที่ฉันไม่เดือดร้อนมากมายนักก็เพราะคริสทำให้ฉันมั่นใจว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนสำคัญต่อเขามากไปกว่าลูกสาวฉัน เธออยากฟังต่อไหมล่ะว่าเขาพูดอะไรบ้าง?”

เมื่อเห็นทิพย์สุรางค์อึ้งไปเหมือนคาดไม่ถึงในตอนแรก ผสมกับแววตาที่เหมือนอยากรู้คำตอบของคริส คุณลักษณาก็รีบพูดต่อไป ไม่สนใจว่าจะผิดศีลข้อสี่หรือไม่ ตอนนี้เธอคิดแต่เพียงว่าจะต้องใช้สงครามจิตวิทยา และเมื่ออยู่ในภาวะสงคราม กลยุทธอะไรที่จะสามารถพิชิตข้าศึกได้ ก็ต้องถูกงัดเอามาใช้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความยุติธรรมหรือศีลธรรม ขอเพียงให้สามารถกำจัดคู่ต่อสู้ให้พ้นทางออกไปได้เท่านั้นก็พอแล้ว

“ เขาบอกว่าฉันไม่ต้องกังวล เขารู้ว่าอะไรเป็นเพชร อะไรเป็นก้อนกรวด"

คุณลักษณาหยุดสังเกตสีหน้าของฝ่ายตรงข้าม รู้สึกพอใจที่เห็นความเจ็บปวดในดวงตาคู่งามนั้น แล้วเธอก็กระหน่ำแซ่ลงไปอีก

“ คริสบอกให้ฉันอยู่เฉยๆ เขาจะจัดการกับเธอเอง เขาขอไม่ให้ฉันบอกลิตา เขาไม่อยากให้ลิตาต้องเจ็บปวดกับเรื่องธรรมดาของผู้ชาย ที่อาจจะไขว้เขวไปบ้างกับเล่ห์เหลี่ยมความยั่วยวนของผู้หญิงบางคน ความจริงคริสเป็นคนใจดีขี้สงสาร ไม่แน่นะเธออาจจะได้เงินจากเขาสักก้อนก็ได้ ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะเรียกเงินก้อนใหญ่เลย เขาคงยินดีจ่ายหรอก เธอก็คงรู้ว่าบ้านเขาร่ำรวย เรียกเท่าไหร่เขาก็คงไม่ขัดข้องหรอก ทั้งคริสทั้งพ่อแม่เขารักลูกสาวฉันมาก พวกเขาคงยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อความสุขความสบายใจให้ลิตา ฉันหวังว่าเธอคงฉลาดพอ ที่จะเอาเรื่องที่ฉันพูดไปคิดให้รอบคอบ เขาสองคนจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้แล้ว ยังไงเธอก็อย่าตัดสินใจให้ช้านัก ถ้ามัวแต่รีรออยู่จนเขาแต่งงานกันไปแล้ว เธออาจจะไม่ได้เงินสักบาทเดียวก็ได้”

เห็นสายตาคมปลาบเย่อหยิ่งที่จ้องประสานเธออยู่อย่างไม่ยอมราข้อ แม้สีหน้าจะเผือดลงไปบ้างของอีกฝ่าย คุณลักษณาก็รู้สึกหมั่นไส้จนต้องกล่าวต่อ

“ท่าทางเธอก็ไม่ใช่คนโง่ คงจะเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าเธอไม่ควรจะมาวุ่นวายกับคริสอีก ถ้าเธอเคยมีอะไรกับเขามาบ้างก็ขอให้จบเพียงแค่นั้น ถ้ายังไม่ยอมจบ ฉันก็รับรองไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอให้รู้ไว้ว่าฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกฉันมีความสุข ถึงเธอจะอยู่ที่นี่แต่ก็คงจะรับรู้ข่าวคราวจากเมืองไทยมั่งแหละ แล้วเธอก็คงรู้ว่าคุณพ่อของลิตาเป็นใคร คนระดับเขา มีพวกพ้องบริวารมากมายที่พร้อมจะทำทุกอย่างให้เขา อย่าให้ฉันต้องพูดมากกว่านี้เลย เธอคงจะพอคิดออกนะว่าฉันหมายความว่าอย่างไร”

พูดจบคุณลักษณาก็หยิบกระเป๋ามาคล้องแขน ลุกขึ้นยืนพร้อมที่จะออกเดิน มองใบหน้าที่ซีดขาวของหญิงสาวที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสาแก่ใจ

 “ฉันคงต้องไปแล้วละ ขอโทษด้วยที่ไม่ไปส่งเธอ ที่ทำงานเธอก็อยู่ใกล้แค่นี้เอง คงเดินกลับไปเองได้หรอกนะ ”

มารดาของลลิตากลับไปแล้ว แต่ทิพย์สุรางค์ ซึ่งกำลังเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้ยินจากปากของผู้หญิงสูงวัยคนนั้น ยังนั่งจมอยู่ตรงที่เดิม วาจาเชือดเฉือนของคุณลักษณาไม่ได้ทำให้หญิงสาวเจ็บปวดมากมายนัก แต่สิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นพูดออกมาตามคำถ่ายทอดของมารดาของลลิตานั่นสิ ที่ทำร้ายเธออย่างสาหัสรวมทั้งคำขู่ที่อหังการ์ในตอนท้ายนั่นด้วย

‘ เพชรกับก้อนกรวด !’ แน่ละคนที่เป็นก้อนกรวดในสายตาของเขาคือเธอ
‘ เล่ห์เหลี่ยม! ยั่วยวน !’ หมายถึงเธอหรือนี่? เธอเคยใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือยั่วยวนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่? เหตุการณ์ในคืนนั้นเกิดขึ้นเพราะเธอยั่วยวนเขาหรือ?

‘ ไม่อยากให้ลิตาต้องเจ็บปวด ! ‘ ใช่สิ บนเวทีคืนนั้นเธอก็เห็นชัดเจนด้วยตาตัวเองแล้ว ว่าเขาประคับประคองผู้หญิงคนนั้นอย่างรักใคร่ให้เกียรติขนาดไหน มีหรือที่เขาจะกล้าทำให้เจ็บปวด

‘ เงินก้อนโต!’ นี่เขาคิดจะเอาเงินก้อนใหญ่ที่ครอบครัวเขาคงจะมีอย่างเหลือเฟือ มาฟาดหัวเธอเพื่อไม่ให้เปิดเผยเรื่องระหว่างเขากับเธองั้นหรือ?

ประโยคสุดท้ายที่ทำให้ทิพย์สุรางค์เจ็บปวดที่สุดคือคำที่ว่า “เขาจะจัดการกับเธอเอง ! ‘ ถ้าอย่างนั้นที่เจนนิเฟอร์บอกว่า คริสลงทุนไปอ้อนวอนถึงธนาคารเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์หรือที่อยู่ของเธอ หลังจากนั้นยังเพียรพยายามมาหาเพื่อนของเธออีกหลายครั้ง เจนนิเฟอร์ยังเล่าอีกว่าท่าทางเขาเป็นทุกข์มาก จนเกือบใจอ่อนให้หมายเลขโทรศัพท์หรือที่อยู่ของเธอไปแล้ว มิหน้ำซ้ำเพื่อนรักของเธอยังคิดว่าเขาแคร์เธอมากและคงจะรักเธอ ถ้าอย่างไรเธอควรจะตัดสินใจอีกที เพราะมันคงยังไม่สายเกินไป

แล้วเธอก็เลยแอบหวังอยู่คนเดียวเงียบๆ ว่าเขาอาจจะแคร์เธอ เหมือนที่เจนนิเฟอร์สันนิษฐานก็ได้ แต่ถึงจะรู้สึกอย่างนั้น ทิพย์สุรางค์ก็ไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจ เธอไม่คิดจะพบกับคริสอีก เธอเห็นด้วยตาสองข้างของเธอแล้วในคืนนั้นว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นรักกันมากแค่ไหน เขาและพ่อแม่ของเขายกย่องให้เกียรติหญิงสาวคนนั้นขนาดไหน มีสักขีพยานรับรู้ความสัมพันธ์ที่แนบแน่นของพวกเขาเต็มห้อง

ความจริงเธอเองก็ได้นึกอโหสิกรรมให้เขาไปแล้วตั้งแต่ คืนที่เขาสองคนหมั้นกัน คืนนั้นเธอคิดว่าหมดสิ้นกรรมซึ่งกันและกัน เขากับเธอมีทางเดินของตัวเอง ต่างคนต่างไป แม้แต่ตอนที่เจนนิเฟอร์พยายามเกลี้ยกล่อมให้เธอยอมพบคริสตามคำขอร้องของเขา ทิพย์สุรางค์ก็ปฏิเสธมาตลอด เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน ถ้าเธอยังยอมพบเขา ฟังเหตุผลของเขา จะเกิดอะไรขึ้นเธอเองก็ไม่แน่ใจ ถ้าเธอเกิดใจอ่อนขึ้นมาล่ะ? ผู้หญิงคนที่รักเขารอเขามาเนิ่นนานคนนั้นจะเป็นอย่างไร?

แล้วอีกอย่าง คนเย่อหยิ่งอย่างเธอน่ะหรือจะลดตัว ลงไปทำสงครามแย่งชิงผู้ชายของคนอื่นมาเป็นของตัวเองได้หน้าตาเฉย ผู้หญิงที่ชื่อทิพย์สุรางค์ถือตัวเกินกว่าจะประพฤติตนเป็นมือที่สาม ในชีวิตรักของหญิงชายคู่ใด

แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเจนนิเฟอร์เข้าใจผิด เขาไม่ได้อยากพบเธอเพราะมีเยื่อใยกับเธอ เขาทุรนทุรายอยากพบเธอก็เพื่อลลิตา มิน่าเล่า ตอนที่เขาพบว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา บนฟลอร์เต้นรำคืนนั้นคือเธอ เขาถึงได้ทำหน้าราวกับถูกผีหลอกแล้ววิ่งตามมาขอพูดกับเธอถึงหน้าลิฟต์

ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเขาจะพูดอะไรกับเธอ เขาคงต้องการจะขอร้องให้เธอปิดเรื่องระหว่างเขากับเธอเป็นความลับ เพื่อที่ผู้หญิงสาวแสนสวยเจ้าของหัวใจของเขาคนนั้น จะไม่ต้องเจ็บปวดกับความไขว้เขวของเขา ที่เกิดจากเล่ห์เหลี่ยมและความยั่วยวนของเธอ !!!

ทิพย์สุรางค์รู้สึกเจ็บใจและโกรธแค้น ทั้งคริสและว่าที่แม่ยายของเขาอย่างที่สุด สำหรับลลิตานั้นเธอไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเกลียด เธอคิดว่าลลิตาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งกว่านั้นเธอยังรู้สึกสงสารผู้หญิงคนนั้นเสียด้วยซ้ำ ที่หลงรักหลงภักดีกับผู้ชายเลวๆ คนหนึ่งที่เห็นผู้หญิงเป็นเครื่องเล่น

หญิงสาวกลับถึงอพาร์ตเมนท์ส่วนตัว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งจมอยู่ในเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง จ้องมองลวดลายของวอลเปเปอร์บนผนังห้องโดยไม่เห็นอะไรเลย หูของเธอยังกึกก้องด้วยคำพูดเชือดเฉือนและข่มขู่ของคุณลักษณา ตาของเธอยังมองเห็นแววตาดูถูกเหยียดหยาม ราวกับเธอเป็นผู้หญิงหน้าด้านชั้นต่ำที่จ้องจะจับผู้ชายรวยๆ ที่มีคู่หมั้นแล้วและรักคู่หมั้นของเขาสุดหัวใจ แววตาของคุณลักษณาบอกเธอเช่นนั้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น คนพวกนี้เห็นเธอเป็นอะไร? เป็นหญิงไร้สกุลลรุณชาติ ไร้การศึกษาและไร้ยางอายเช่นนั้นหรือ? เธออุตส่าห์อยู่เงียบๆ ไม่คิดจะเข้าไปวุ่นวายกับใคร พยายามทำใจให้สงบ ลืมเรื่องเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น โยนให้เป็นเรื่องของเวรของกรรมไป แล้วพยายามเดินหน้าต่อไปเพื่ออนาคตที่สุกใสในวันข้างหน้าของตัวเอง

แต่แล้วก็เหมือนกรรมยังไม่สิ้น อยู่ๆ ก็ต้องมาถูกหยาบหยามอย่างไม่เข้าท่าโดยผู้หญิงแก่ๆ คนหนึ่ง และผู้ชายที่เธอเคยแอบหวังว่าเขาจะเป็นคนดี คนพวกนี้ต้องการอะไรจากเธองั้นหรือ? รู้บ้างไหมว่าถ้าเธอเกิดทนไม่ไหวแล้วลุกขึ้นตอบโต้บ้าง อะไรจะเกิดขึ้น? พวกเขาเหยียดหยามและประมาทเธอมากเกินไปแล้ว!!!


 


 



Create Date : 27 เมษายน 2567
Last Update : 27 เมษายน 2567 13:03:43 น.
Counter : 32 Pageviews.

0 comments
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณปัญญา Dh, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณmariabamboo

ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ดอยสะเก็ด
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]



New Comments
Group Blog
เมษายน 2567

 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
12
13
14
15
17
18
19
20
22
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
Friends Blog
[Add ดอยสะเก็ด's blog to your weblog]
  •  Bloggang.com