หลังแต่งงานได้เพียงปีเดียวคริสก็ตัดสินใจลาออกจากราชการทหาร เพื่อมาช่วยบิดาบริหารกิจการซึ่งมีอยู่หลายอย่าง ตอนนั้นจอห์นเลย์ตันได้ขยายสาขาบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เลย์ตันของเขา มาเปิดในกรุงเทพฯได้ปีกว่าแล้ว โดยมีคนสนิทฝีมือดีของเขาที่ชื่อแฮรี่ เพรสตันไปเป็นกรรมการผู้จัดการ เพื่อเตรียมไว้ให้คริสเข้าไปบริหารเมื่อเขาพร้อมแล้ว
สองปีแรกหลังออกจากราชการ คริสเข้าไปทำงานกับบิดาของเขา เพื่อเรียนรู้งานหลักๆของบริษัท หลังจากนั้นจึงจะส่งเขาไปฝึกงานในหน้าที่โดยตรงจากแฮรี่ที่สาขาในกรุงเทพฯ ในตำแหน่งผู้ช่วยของแฮรี่ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้จากประสพการณ์ของแฮรี่ ซึ่งช่วยบริหารกิจการของจอห์นจนเจริญรุ่งเรืองมาหลายแห่งแล้ว แฮรี่ผู้นี้เป็นชายวัยห้าสิบที่ทำงานกับบิดาของคริสมาตั้งแต่อายุยี่สิบห้าปี
เมื่อรู้ว่าคริสจะไปทำงานที่เมืองไทยทิพย์สุรางค์ก็รู้สึกดีใจ เธอมาอยู่อเมริกาหลังแต่งงาน และไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เดินทางกลับไปเยี่ยมพี่ชายและพี่สะใภ้บ่อยนัก เพราะคริสไม่ว่างพอที่จะไปได้ เขาไม่ต้องการให้เธอไปคนเดียว หรือไปกับสิงห์สองคน เขายกเหตุผลต่างๆมากมายมาอ้าง แต่ทิพย์สุรางค์รู้ว่าเหตุผลลึกๆที่เขาไม่ยอมบอกหรือไม่รู้ตัว ก็คือเขาติดเธอและลูกมาก
สิงห์เป็นเด็กฉลาด ช่างพูดและซนอย่างเหลือร้าย เขาพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพราะทิพย์สุรางค์และแสงดาวพูดภาษาไทยกับสิงห์ ในขณะที่คริสพูดภาษาอังกฤษกับเขา
ทั้งจอห์นและคุณธัญญาหลงหลานคนแรกมาก คุณธัญญานั้นเอาอกเอาใจและตามใจสิงห์ จนถูกบุตรชายของเธอต่อว่า ว่าสมัยที่เขายังเด็กเธอไม่เห็นตามใจเขาแบบนี้เลย เขาไม่อยากให้เธอตามใจมากนักเพราะกลัวว่าเด็กชายจะได้ใจแล้วโตขึ้นกลายเป็นเด็กมีปัญหา แต่ทิพย์สุรางค์คิดว่าคงยากที่สิงห์จะเสียคน เพราะคริสคอยควบคุมดูแลสั่งสอนและเอาใจใส่กับเขามาก
หญิงสาวเรียนรู้หลังแต่งงานไม่กี่เดือน ว่าคริสเป็นคนที่มีวินัยสูงและมีระเบียบกฏเกณฑ์ ซึ่งผู้ที่อยู่ร่วมกับเขาต้องปฏิบัติตามโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบหักหาญ เขามีเหตุมีผลและมีคำตอบสำหรับการกระทำของเขาเสมอ
ทิพย์สุรางค์นั้นฉลาดพอที่จะยกให้เขาเป็นใหญ่ในบ้านเสียเลย เธอรู้ว่าคริสมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้นำอยู่เต็มเปี่ยม และผู้นำแบบเขานั้นไม่ได้ดีแต่คอยสั่งคนโน้นคนนี้ ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่หลายครั้งเขาสั่งแล้วก็ลงมือทำเสียเองไปด้วย ซึ่งทำให้เธอแอบยิ้มอยู่ในใจคนเดียว แล้วทำไมเธอจะต้องไปแย่งชิงตำแหน่งผู้นำกับเขาให้เหนื่อยยาก
หลังจากทำงานอยู่กับบิดาในกรุงนิวยอร์คครบสองปี คริสก็เดินทางไปกรุงเทพฯตามลำพัง เพื่อไปจัดการให้มีการปรับปรุงต่อเติม ขยายห้องบางห้องที่บ้านที่ถนนสาทร เตรียมไว้สำหรับทิพย์สุรางค์และสิงห์ ซึ่งจะเดินทางตามไปทีหลังๆจากบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเพื่อไปคุยกับแฮรี่เรื่องงานด้วย
ระหว่างที่อยู่เมืองไทยคริสโทรศัพท์มาหาทิพย์สุรางค์และสิงห์ วันละหลายครั้งๆละนานๆ สั่งโน่นซักนี่อยู่เป็นประจำ ซึ่งหญิงสาวก็ฟังเขาเงียบๆโดยไม่โต้แย้ง เธอรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอและลูกมากจึงคอยถามเรื่องต่างๆอยู่ตลอดเวลา เธอเคยให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วที่จะยกให้เขาเป็นกัปตันผู้นำทาง เธอก็ต้องทำตามนั้น เพื่อให้เขาภาคภูมิใจที่มีครอบครัวที่พร้อมจะทำตามความต้องการของเขา สนับสนุนส่งเสริมเขา
แต่เหตุผลหนึ่งที่สำคัญก็คือเธอเห็นแล้ว ว่าเขาเป็นสามีและบิดาที่ดีและเป็นคนมีเหตุผล ตราบใดที่การกระทำต่างๆของเขาในส่วนที่เกี่ยวกับเธอและลูก ยังเป็นไปในแบบที่เธอต้องการ ก็ไม่มีความจำเป็น ที่เธอจะต้องลุกขึ้นมาคัดค้านให้เขาเสียความมั่นใจในการกระทำของเขาไป
ถึงจะเป็นคนรั้นและการแสดงออกที่แข็งในบางครั้ง แต่ทิพย์สุรางค์ก็ไม่ใช่คนโง่ เธอรู้ว่าคริสเป็นคนอ่อนนอกแข็งใน เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองและมีภาวะผู้นำสูง และที่สำคัญเธอรู้ว่าบ้านหลังหนึ่ง ไม่ว่าจะเล็กกระจิ๋วหริวราวกับกระท่อม หรือกว้างขวางใหญ่โตเหมือนปราสาทราชวัง ก็เล็กเกินกว่าที่จะมีผู้นำสองคนได้
ถ้าการทำตัวเหมือนผู้ตามที่ดีจะช่วยทำให้ครอบครัวของเธออยู่เย็นเป็นสุข เธอก็ไม่รู้สึกว่าเสียความเป็นตัวเองไป เพราะถึงอย่างไรหญิงสาวก็มีวิธีการของตัวเองที่จะชี้นำเขาให้ทำในสิ่งที่เธอต้องการ โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวอยู่แล้ว
หลังจากอยู่เมืองไทยได้หนึ่งเดือน คืนหนึ่งคริสโทรศัพท์มาหาทิพย์สุรางค์ สอบถามความเป็นอยู่ของเธอและลูก แสดงความห่วงใยอยู่พักหนึ่งแล้วก็เล่าว่า
“บ้านใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้วนะ แต่ผมยังไม่ได้สั่งเฟอร์นิเจอร์ใหม่ รอให้คุณหนูมาที่นี่ มาดูเอาเองว่าอยากแต่งแบบไหน”
“หรือคะ แล้วเรื่องงานเป็นอย่างไรบ้างคะ คริส มีอะไรน่าหนักใจไหม?”
“ตอนนี้ผมยังไม่ได้เข้าไปนั่งทำงานอย่างเป็นทางการหรอก คุยกับแฮรี่แล้วก็เอาเอกสารมาศึกษาที่บ้าน ช่วงนี้ผมนอนดึกทุกคืน มีเรื่องที่ผมยังไม่รู้อีกมาก”
“อย่านอนดึกมากนักนะคะ ฉันป็นห่วง” เธอหยอดความห่วงใยให้เขารับรู้
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก ง่วงเมื่อไรก็เข้านอน ผมกินข้าวเย็นที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ ป้าสอางค์ทำอาหารให้ผมทุกวัน แต่ก็อดคิดถึงอาหารฝีมือคุณหนูไม่ได้อยู่ดี สิงห์เป็นยังไงบ้าง? ดื้อหรือเปล่า? คุณกรล่ะ คงช่วยคุณหนูได้บ้างใช่ไหม?”
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ ทุกคนสบายดี ลูกชายคุณถามหาพ่ออยู่ทุกวัน แต่พอกรกลับมาตอนบ่ายเขาก็เลิกถามแล้ว กรช่วยเรื่องสิงห์ได้มาก เขาเล่นด้วยกันประจำอยู่แล้วอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ”
ก่อนจะวางสายไปชายหนุ่มก็ออดว่า “คิดถึงคุณหนูจังเลย เป็นห่วงว่าคุณหนูจะนอนไม่หลับเพราะไม่มีคนกอดให้นอน คุณหนูล่ะคิดถึงผมไหม?”
ทิพย์สุรางค์อมยิ้ม เรื่องอะไรเธอจะบอกเขาล่ะว่าเธอรู้สึกว่าได้นอนหลับอย่างสบาย เพราะไม่มีเขามาคอยกวนใจ
“คิดถึงจะตาย เมื่อไหร่คุณจะกลับบ้านล่ะคะ?”
เธอตอบสนองด้วยการอ้อนเขาบ้างตามหน้าที่ของภริยาที่ดี ความจริงบางวันเธอก็ไม่คิดถึงเขาหรอก เพราะเวลาเขาอยู่บ้านและคอยสนใจไต่ถามทุกข์สุขของเธอ หรือสั่งโน่นสั่งนี่ บางครั้งเธอก็รู้สึกรำคาญหน่อยๆเหมือนกันแหละ เพราะเคยมีอิสระทำอะไรได้ตามใจชอบมาตั้งนานแล้ว แม้เธอจะมีความสุขที่มีเขาคอยสนใจไต่ถามและอนาทรร้อนใจ แต่ถ้านานๆครั้งได้เป็นตัวของตัวเองบ้างก็ดีเหมือนกัน
แต่ถ้าเขาไม่สนใจห่วงใยเธอเลยเธอก็รับไม่ได้อีกเช่นเดียวกันกัน เธอขาดแม่มาตั้งแต่เล็ก คุณดนัยนั้นถึงจะดูแลให้ความรักอย่างดี แต่เขาก็มีธุระทั้งส่วนตัวและงานวุ่นวายมากมาย แม้แต่วุฒิเลิศพี่ชายของเธอก็มีครอบครัวของเขาเองที่ต้องใส่ใจดูแลอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่บางครั้งทิพย์สุรางค์ จะรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้างของตัวเองที่เหมือนไม่มีใครเลย สมัยที่เรียนอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์คนที่ให้ความรักความอบอุ่น ที่เธอคิดว่าขาดไปคือเจนนิเฟอร์
แต่เมื่อมีคริสเข้ามาในชีวิตและเป็นสามีของเธอ ที่ทำตัวเหมือนพี่ชายของเธอด้วย ความรู้สึกของหญิงสาวจึงเต็มตื้นขึ้น เธอรู้สึกถึงความรักความอบอุ่นที่เขามอบให้ ทิพย์สุรางค์เพิ่งตระหนักว่าเธอก็มีโอกาสได้เป็นเจ้าของความอบอุ่น เหมือนคนอื่นๆเหมือนกันก็ในตอนนี้
“อยากกลับวันนี้พรุ่งนี้ด้วยซ้ำ แต่ก็ยังกลับไม่ได้ ผมนอนไม่ค่อยหลับเลย ตั้งแต่แต่งงานแทบจะไม่ได้นอนคนเดียวเลย” เขาโอดครวญเรียกร้องความสนใจจากเธอต่อไป
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ แยกกันอยู่เสียบ้าง คุณจะได้คิดถึงฉันมากๆไงล่ะ?” นี่คือหนึ่งในกรรมวิธีตรวจสอบความมั่นคงของเขาต่อเธอ
“โอย..ไม่ไหวหรอก เอางี้ดีไหม ตอนนี้บ้านก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ยังขาดแต่เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นที่ต้องเปลี่ยนเท่านั้น ทำไมอาทิตย์หน้าคุณหนูไม่มาหาผมที่นี่ล่ะ จะได้มาแต่งบ้านให้เรียบร้อยไปเลย พอย้ายมาก็จะได้อยู่ได้เลย ดีไหม?” เขาเสนอเมื่อเห็นโอกาสที่จะให้เธอตามมา
ทิพย์สุรางค์ลังเล ใจหนึ่งก็คิดถึงเขาอยากไปหาเขาตามที่เขาเรียกร้อง แต่อีกใจหนึ่งก็ยังอยากมีอิสระทำอะไรบางอย่าง ที่เธออยากทำแล้วไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะมีเขาคอยห้ามปราม หรือบอกว่าไม่ชอบให้เธอทำโดยไม่มีเขาอยู่ด้วย เช่นการออกไปฟิตเนสหรือไปคุยกันแบบผู้หญิงกับเจนนิเฟอร์
คริสนั้นวุ่นวายแม้แต่เรื่องส่วนตัวของผู้หญิง ตัวอย่างในเรื่องนี้ก็คือการที่เธอทาครีมบำรุงผิวบนใบหน้าก่อนนอน ซึ่งทำมานานแล้วก่อนแต่งงาน แล้วเขาบ่นว่าไม่ชอบจูบแก้มที่เหนียวและมันเยิ้มของเธอเลย จนในที่สุดทิพย์สุรางค์ต้องตามใจเขา ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ครีมบำรุงประเภทที่ไม่ทิ้งความมันหรือความเหนียวเอาไว้บนหน้า หรือเปลี่ยนไปใช้ในตอนกลางวันที่เขาไปทำงานแทน
ความจริงเธอจะดึงดันตามใจตัวเองใช้ครีมตัวนั้นต่อไป จนกว่าเขาจะชินกับกลิ่นหรือความเนียวเหนอะหนะของมันก็ได้ เพราะมันก็เป็นเรื่องเล็กๆไร้สาระ แต่ทิพย์สุรางค์ก็ไม่คิดจะละเลยมัน สิริมาเคยสอนว่าเรื่องเล็กๆบางเรื่องอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เหมือนกัน เมื่อสถานการณ์บางอย่างเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้เธอยังรู้ทั้งด้วยตัวเองและจากคำบอกเล่าของพี่สะใภ้ว่า ผู้ชายนั้นถึงจะอยากให้ผู้หญิงของเขาสวยเนี๊ยบอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าเหมือนสมัยที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ก็คงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากเห็นขั้นตอนกรรมวิธีก่อนจะสวยได้อย่างที่เขาต้องการหรอก
ผู้ชายไม่ชอบเห็นโรลม้วนผมที่อยู่เต็มหัว หรือหน้ามันแผลบเหนียวเหนอะหนะของผู้หญิง ที่นอนอยู่ข้างๆให้หมดอารมณ์ ดังนั้นจึงเป็นกรรมของผู้หญิงฉลาดที่เป็นภรรยา ที่จะต้องคอยปิดบังซ่อนเร้นเทคนิคต่างๆเพื่อเสริมความงามเอาไว้มิดชิดไม่ให้เขาเห็น ทั้งๆที่กรรมวิธีดังกล่าวนั้น ทำไปก็เพื่อให้สวยสำหรับเขา
ทิพย์สุรางค์อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆต่างๆนี้ดูเหมือนไม่สำคัญ แต่ในชีวิตแต่งงานนั้นทุกเรื่องสำคัญหมด เพราะเรื่องหนึ่งอาจนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกันเลยได้เสมอ มันเป็นการอยู่ร่วมกันของคนสองคนที่ไม่ใช่ฝาแฝดสยาม
คนสองคนที่ถึงจะมีทัศนคติหรือนิสัยใจคอหรือคุณสมบัติต่างๆ ที่คล้ายคลึงกัน แต่คนแต่ละคนต่างก็มีรายละเอียดของตัวเองแยกย่อยออกไปอีกมากมาย ทำให้การที่จะอยู่ด้วยกันได้อย่างราบรื่นกลมเกลียวโดยไม่แหนงหน่ายกันไปเสียก่อน ต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ขั้นสูงทีเดียว
เมื่อเห็นเธอยังนิ่งอยู่ไม่ตอบว่าอะไรคริสก็หว่านล้อมต่อ
“คุณหนูมาคนเดียวก็ได้ เอาสิงห์ไปฝากแม่ผม ไม่ต้องเกรงใจหรอก แม่น่ะอยากช่วยเลี้ยงสิงห์อยู่แล้ว แถมยังมีป้านวลคอยช่วยอยู่ทั้งคน ส่วนบ้านก็ไม่ต้องห่วง คุณกรโตมากแล้ว ช่วยรับผิดชอบบางอย่างให้ได้บ้างแล้ว ตกลงนะ สงสารผมบ้างสิ คิดถึงคุณหนูจะแย่อยู่แล้ว หรือว่าคุณหนูไม่คิดถึงผมเลย” เขาตัดพ้อแบบที่เคยทำแล้วได้ผลนั่นแหละ
แล้วในที่สุดเมื่อทนฟังเสียงเรียกร้องของเขาไมไหว หญิงสาวก็ตัดสินใจไปหาเขาที่กรุงเทพฯโดยไม่พาสิงห์ไปด้วย เหตุผลที่ทิพย์สุรางค์ตัดสินใจเดินทางไปหาคริสคนเดียว โดยนำสิงห์ไปฝากคุณธัญญาช่วยเลี้ยงให้ก็คือ เธอรู้ว่าถึงแม้คริสจะรักลูกมากเพียงใด แต่เขาก็คงอยากที่จะมีเวลาอยู่ตามลำพังกับเธอบ้างเป็นครั้งคราว โดยได้รับความใส่ใจทั้งหมดที่ไม่ต้องแบ่งปันให้ใคร
ซึ่งไม่ได้แปลว่าเขาไม่รักลูกหรืออิจฉาลูก ถึงเธอจะเป็นแม่แต่ในขณะเดียวกันเธอก็ยังมีหน้าที่ในฐานะเมีย ที่จะต้องใส่ใจต่อความต้องการของเขาอีกด้วย ถึงบางครั้งจะต้องฝืนใจหรือละเลยลูกไปบ้างก็ตาม
คริสมารับเธอที่สนามบินด้วยสีหน้าที่เปี่ยมสุข พอเธอเดินเข้ามาถึงตัวเขาก็อ้าแขนออกโอบกอดเธอเอาไว้แน่น โดยไม่สนใจสายตาของใครเลย ทำให้ทิพย์สุรางค์ต้องรีบแกะมือเขาออกจากตัวเธอแทบไม่ทัน
“คริสคะ ปล่อยฉันก่อน ที่นี่ไม่ใช่อเมริกานะคะ”
เขายอมปล่อยเธอก็จริงแต่ก็อดเถียงไม่ได้ “ไม่เห็นเป็นไงเลย ผมกอดเมียผม ไม่ได้ไปเที่ยวกอดใครก็ไม่รู้สักหน่อย”
เพื่อไม่ให้เขากอดเธอได้อีก ระหว่างที่เดินไปด้วยกันที่รถที่นายพรคนขับรถ ฉวยกระเป๋าเดินทางของเธอเดินลิ่วไปใส่รถ และเคลื่อนที่มารอรับใกล้ๆแล้ว หญิงสาวก็เลยกอดแขนเขาเอาไว้แน่น
แต่พอขึ้นรถได้คริสก็โอบแขนข้างหนึ่งไปรอบเอวเธอ ฉวยโอกาสที่รถติดฟิลม์ดำค่อนข้างมืดจูบแก้มเธอติดๆกันหลายที ไม่สนใจว่านายพรจะเห็นหรือไม่ บางครั้งเขาก็เป็นอเมริกันจ๋าอย่างนี้แหละ
หลังจากส่งทิพย์สุรางค์เข้าบ้านที่สาทร คริสก็เตรียมจะกลับไปทำงานต่อ เพราะเขาทิ้งงานออกมาเพื่อไปรับเธอที่สนามบิน แต่กว่าจะออกจากบ้านไปได้ชายหนุ่มก็เวียนกอดจูบเธออยู่หลายครั้ง ด้วยความรักความคิดถึงที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลยนานกว่าหนึ่งเดือน เธอโอนอ่อนผ่อนตามเขาตามควรแล้วจูงมือเขาไปที่รถที่นายพรนำมารออยู่แล้วที่หน้าตึก
“ไม่ต้องทำอะไรหรอกนะคุณหนู เดินทางมาเหนื่อยๆ พักผ่อนให้เต็มที่ เดี๋ยวตอนเย็นผมจะพาไปกินข้าวข้างนอก” เขายังสั่งเสียไม่เลิก
“ไม่ทานข้าวบ้านหรือคะ ฉันตั้งใจจะทำอาหารให้คุณเย็นนี้”
“อย่าเพิ่งเลย ไปข้างนอกกันดีกว่า วันหลังค่อยทำก็ได้ คุณหนูไม่ได้รีบกลับอเมริกาวันสองวันนี้ไม่ใช่หรือ?”
ความจริงทิพย์สุรางค์ไม่อยากออกไปข้างนอกหรอกอยากอยู่บ้านมากกว่า แต่ก็เห็นใจว่าเขาคงต้องอยู่กินอาหารที่บ้านมาหลายมื้อแล้ว ก็คงอยากออกไปเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอกบ้าง เธอก็เลยตามใจเขา
“แต่งตัวรอผมได้เลยนะ เอาชุดสวยๆด้วย จะพาไปฟังเพลงไปเต้นรำกันต่อ”
หลังจากที่คริสไปทำงานแล้วทิพย์สุรางค์ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดอยู่กับบ้านตัวหลวมยาว แล้วเดินดูจนทั่วบ้านซึ่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ห้องนอนเดิมของคริสถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น โดยรวมเอาห้องอีกสองห้องเข้าไปด้วยเป็นห้องเดียวกัน ทำให้มีขนาดกว้างขวางพอที่จะแบ่งส่วนหนึ่งเป็นห้องนอน ส่วนหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่นที่มีอุปกรณ์ความบันเทิงครบ และมีห้องทำงานเล็กๆสำหรับคริสด้วย ห้องน้ำเดิมได้รับการขยายให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิมมาก โดยรวมห้องแต่งตัวที่มีตู้เก็บเสื้อผ้าติดฝาเอาไว้ด้วยกัน จากห้องใหญ่นี้มีประตูเปิดออกไปสู่ห้องนอนเล็กๆที่คงเตรียมไว้สำหรับสิงห์
หญิงสาวจดรายการเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็นที่จะต้องหามาใหม่ ทั้งชั้นบนและชั้นล่างลงในสมุดโน๊ตเล่มเล็ก เพื่อปรึกษาขอความเห็นชอบจากคริสต่อไป ความจริงเธอไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเขาก้ได้ แต่ทิพย์สุรางค์คิดว่าเธอจำเป็นต้องทำอย่างนั้น เพราะคริสนั้นเป็นคนที่ต้องการมีส่วนร่วมทุกอย่างกับครอบครัวเล็กๆของเขา
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ลงจากตึกแล้วเดินสำรวจไปทั่วบริเวณบ้าน ซึ่งมีเนื้อที่กว้างขวางไม่แพ้บ้านของวุฒิเลิศที่สุขุมวิท
แต่ที่นี่มีต้นไม้ดอกไม้น้อยกว่า แถมยังปลูกระเกะระกะไม่สวยงามอีกด้วย ทิพย์สุรางค์เดินดูจนทั่ว กำหนดเอาไว้ในใจว่าจะหาต้นไม้ดอกไม้มาปลูกให้เป็นเรื่องเป็นราว ส่วนบริเวณสนามหญ้าที่ค่อนข้างใหญ่นั้นก็ดูแห้งแล้ง เธอมองๆแล้วก็กะว่าจะปรับปรุง อย่างไรให้ดูสวยงามสดชื่นและใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น
เมื่อกลับขึ้นไปบนตึกหญิงสาวก็เจอนางสอางค์และเด็กสาวที่ชื่อแดง ซึ่งกำลังทำอะไรกันอยู่ในครัว เมื่อเห็นเธอคนทั้งสองก็ยกมือไหว้ แดงนั้นจ้องมองทิพย์สุรางค์แทบตาไม่กระพริบ
“คุณผู้หญิงมีอะไรก็เรียกดิฉันได้เลยนะคะ ดิฉันอยู่ที่เรือนเล็กข้างหลังนี่เอง” นางสอางค์ซึ่งอายุประมาณห้าสิบปีและทำหน้าที่แม่ครัวปวารณาตัว
“ขอบใจจ้ะป้า"
“ปกติดิฉันจะทำอาหารเย็นไว้ให้คุณคริส เพราะเธอรับประทานที่บ้านเกือบทุกวัน” นางรายงานต่อไป
“ตอนเช้าคุณคริสทานที่บ้านหรือเปล่าจ๊ะ ป้า”
“ไม่หรอกค่ะ ทานแต่กาแฟถ้วยเดียว” แล้วนางก็ถามว่า “กลางวันนี้คุณผู้หญิงจะรับประทานอะไรดีคะ ดิฉันจะได้ทำให้”
“วันนี้ไม่ต้องทำหรอกจ้ะ ฉันเพิ่งทานบนเครื่องบินเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง ไม่รู้สึกหิวเลย อ้อ..มื้อเย็นวันนี้ก็ไม่ต้องทำด้วย คุณคริสกับฉันจะออกไปทานข้างนอกกัน”
ทิพย์สุรางค์เดินไปเปิดตู้เย็นซึ่งเป็นตู้ขนาดใหญ่ที่มีประตูใหญ่ยาวสองบาน สำรวจวัตถุดิบในนั้น เห็นว่ามีอุปกรณ์ประกอบอาหารอยู่มากมาย ตั้งเรียงรายกันอยู่ในที่ในทางของมันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ในครัวก็ได้รับการปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาดเอี่ยม ดูแล้วหญิงสาวก็ลงความเห็นว่าคนที่นี่ทำงานกันได้ดี ถึงจะไม่มีแม่บ้านคอยกำกับดูแลก็ตาม เธอคิดว่าตอนที่เธอและสิงห์ย้ายมาอยู่ที่นี่ จะดูอีกทีว่าจะจัดระเบียบเรื่องคนทำงานบ้านอย่างไรต่อไป
หลังจากโทรศัพท์ไปหาสิริมาแจ้งเรื่องที่มาเยี่ยมคริสและจะอยู่กับเขาอีกประมาณสองสัปดาห์ แล้วพูดคุยกันอีกพักใหญ่ ทิพย์สุรางค์มองนาฬิกาเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานของคริสแล้ว ก็ขึ้นข้างบนเพื่อไปเตรียมตัว ส่วนนางสาวแดงเมื่อเห็นคุณผู้หญิงขึ้นข้างบนไปแล้ว ก็กระซิบกระซาบกับผู้เป็นป้า
“คุณผู้หญิงสวยจังเลยนะป้า แต่คุณลิตาก็สวยเหมือนกัน คุณลิตาน่าสงสารจะตาย รักกับคุณคริสมาตั้งนานเกือบจะแต่งงานกันอยู่แล้ว อยู่ๆก็ถูกใครก็ไม่รู้มาแย่งไปหน้าตาเฉย”
“เงียบเลยนะแก” นางสอางค์ห้ามแล้วเหลียวหน้าเหลียวหลัง กลัวทิพย์สุรางค์จะได้ยิน
“เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องของเจ้านายอย่าไปยุ่งเป็นอันขาด เข้าใจไหม?”
“แหมป้าก้อ หนูไปว่าอะไรล่ะ แค่บอกว่าสงสารคุณลิตาเท่านั้น ยังไม่ทันว่าอะไรคุณผู้หญิงสักหน่อย ใครจะไปกล้าว่าล่ะ ป้าไม่เห็นตาคุณผู้หญิงหรือว่าดุจะตาย” เด็กรุ่นสาวแก้ตัว
“หุบปากเอาไว้ให้สนิทเชียวนะแก ไอ้ที่พูดเรื่องใครแย่งใครนั่นน่ะ ถ้าคุณคริสหรือคุณผู้หญิงได้ยินเข้าจะเดือดร้อนไปตามๆกัน”
คริสกลับถึงบ้านประมาณสิบแปดนาฬิกาแล้วรีบขึ้นข้างบนเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเห็นทิพย์สุรางค์ซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังพยายามใส่ต่างหูอยู่ เขาก็เดินเข้ามาหา มองสำรวจชุดสวยที่เธอใส่อยู่
“แต่งตัวสวยจัง”
หญิงสาวก้มลงมองตัวเองซึ่งอยู่ในชุดกระโปรงยาวเลยหัวเข่าลงไปประมาณหนึ่งคืบ ส่วนตัวเสื้อซึ่งเป็นชิ้นเดียวกับกระโปรงบานย้วยสีเหลืองอ่อนตัดเป็นเสื้อเข้ารูปแขนกุดคอแหลมลึก เผยให้เห็นเนินอกขาวผ่องนวลเนียนวับๆแวมๆ
“สวยหรือคะ? สงสัยนานๆจะเห็นฉันแต่งตัวแบบนี้เสียที”
“สวยมาก”
เมื่อเห็นคริสยังยืนมองเธอเฉยอยู่อย่างพอใจ ทิพย์สุรางค์ก็ช่วยแกะกระดุมเสื้อเชิร์ตของเขาออก รุนตัวเขาให้เข้าไปในห้องน้ำ ส่วนเสื้อผ้าที่เขาจะใส่คืนนี้เธอจัดวางไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
คืนนั้นคริสพาทิพย์สุรางค์ไปรับประทานอาหารฝรั่งเศส ที่ห้องอาหารในโรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา หลังจากนั้นก็ขึ้นไปฟังเพลงในคลับเล็กๆบนชั้นเก้า นานๆก็ออกไปเต้นรำกันที ชายหนุ่มดื่มวิสกี้สองสามแก้วและสั่งไวน์ให้ทิพย์สุรางค์ หนุ่มสาวทั้งสองนั่งเบียดกันอยู่ตรงมุมสลัวสุดห้อง แขนของเขาโอบอยู่รอบเอวเธอซึ่งพิงศรีษะไว้ตรงบ่าของเขา
“คิดถึงคุณหนูมากเลยรู้ไหม? บ้านเสร็จแล้วก็รีบๆย้ายมาเถอะ ปล่อยให้ผมเหงาอยู่คนเดียวไม่ดีนะ “ เขาพูดทีเล่นทีจริงอยู่ข้างหู จูบใบหูเธอเบาๆไปด้วย
“ถ้าเหงาแล้วคุณจะไปหาใครมาแก้เหงาหรือไงคะ?”
ชายหนุ่มแอบยิ้มอยู่ในความมืด เมื่อจับได้ว่าเสียงของเธอขุ่นไปนิดหนึ่ง
“ใครจะไปรับรองได้ ผมยังไม่แก่สักหน่อย จริงไหมล่ะ?”
“ฮึ ถ้างั้นฉันจะยังไม่ย้ายมาหรอก จะทิ้งคุณไว้ที่นี่คนเดียวสักสองสามเดือน เพื่อดูใจคุณว่าจะยังรักฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า หรือรีบไปหาใครมาควงเสียแล้วเพราะอ้างว่าเหงา”
“ไม่เชื่อใจผมหรือไง? ตั้งแต่แต่งงานกันมา ผมไม่เคยทำอะไรนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง”
เขาตัดพ้อ แต่ทิพย์สุรางค์กลับแว่บนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระหว่างเธอกับคริสคืนนั้นที่กะท่อมของตาเป็ง ที่ทั้งเธอและเขาก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน แล้วนำเขาและเธอมาร่วมชีวิตกันจนถึงวันนี้ หญิงสาวบอกตัวเองว่าไม่ควรประมาท ทอดทิ้งเขาไว้ตามลำพังนานเกินไป เพราะอะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ ถึงแม้จะมีหัวใจที่มั่นคงก็ตาม เรื่องระหว่างเธอกับคริสและลลิตาก็อยู่ในข่ายนี้เหมือนกัน
คู่พระคู่นางเลยค่ะคุณตุัย