ชีวิตก็คือละครหรือนิยายเรื่องหนึ่ง
|
|||||||
"สัตว์เล็กในป่าใหญ่" - บทที 1 ป่ามอสฟลาวเวอร์จมลึกอยู่ในกำมือของกลางฤดูหนาวภายใต้ท้องฟ้าสีเทาเข้ม ซึ่งแตะแต้มด้วยเส้นแสงสีแดงก่ำและสีส้มที่ปลายขอบฟ้า หิมะเย็นเฉียบปกคลุมพื้นที่ราบทอดยาวไปทางทิศตะวันตก ทุกหนทุกแห่งมีแต่หิมะ หลุมบ่อคูคลองเต็มไปด้วยหิมะ หิมะตกอยู่บนรั้วต้นไม้เตี้ยๆ ปกคลุมทางเดินจนมองไม่เห็น พื้นดินที่สูงๆต่ำๆก็จมหายไปภายใต้หิมะสีขาวโพลนที่ปกคลุมพื้นโลกอยู่ ภูมิประเทศของป่ามอสฟลาวเวอร์ที่ปราศจากใบไม้ ถูกครอบคลุมรุกล้ำโดยหิมะที่ตกอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้บริเวณพื้นป่าดูราวกับปกคลุมไปด้วยผืนพรมที่เลื้อยทอดยาวไปไกล ต้นไม้เตี้ยๆและพุ่มไม้ที่เขียวอยู่ตลอดปี มีหิมะปกคลุมอยู่บนยอดราวกับฝาครอบ ฤดูหนาวราวกับจะทำให้ป่าทั้งป่าเป็นใบ้ไร้สรรพสำเนียงใดๆ ทั่วทั้งป่านิ่งสนิท มีแต่เสียงฝีเท้าผู้เดินทางเท่านั้นที่ทำลายความเงียบขึ้นเป็นครั้งคราว หนูหนุ่มน้อยกำยำล่ำสันตัวหนึ่งที่มีดวงตาดำสนิท กำลังเคลื่อนที่ข้ามป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะนี้ไปอย่างมุ่งมั่น ถ้ามองย้อนหลังไปเขาจะเห็นรอยเท้าของตัวเองที่หายไปทางทิศเหนือลึกเข้าไปในป่า ไกลออกไปทางทิศใต้พื้นป่าที่ราบแบนแผ่กว้างใหญ่ออกไปไม่มีที่สิ้นสุด ทางทิศตะวันตกป่าถูกขนาบข้างด้วยเทือกเขาที่มองเห็นเลือนลางอยู่ลิบๆ ทางทิศตะวันออกนั้นเล่าก็มีร่องรอยของเส้นทางสายเก่าแก่รกเรื้อที่พวกสัตว์ในป่าเคยใช้เป็นทางสัญจรไปมา จมูกของเจ้าหนูกระตุกไหวเมื่อได้กลิ่นไม้และหญ้าที่ไหม้อยู่ในเตาไฟที่ไหนสักแห่ง สายลมเย็นเฉียบที่พัดมาจากยอดไม้พัดเอาปุยหิมะให้ลอยเคว้งคว้างลงมาเป็นยวงๆ เขากระชับเสื้อคลุมกระรุ่งกระริ่งที่สวมอยู่ให้แนบตัวยิ่งขึ้น ขยับดาบสนิมเขรอะที่สะพายหลังอยู่ให้เข้าที่ แล้วเดินออกจากป่ารกมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่มีผู้อยู่อาศัย สถานที่นั้นเหมือนที่ต้องห้ามที่ดูทรุดโทรมยากจน ร่องรอยของการเคยมีผู้อยู่พักอาศัยเห็นได้จากตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ซากของบ้านช่องที่ถูกทำลายรื้อถอนไปยังเห็นได้จากใต้กองหิมะที่ทับถมอยู่ ติดกับป่ามีป้อมปราการเก่าๆทรุดโทรมมืดทึบตั้งตระหง่านอยู่เหนือซากสลักหักพังนั้น ราวกับเป็นสัญญลักษณ์ความหวาดกลัวของพวกผู้อาศัยอยู่ในป่ามอสฟลาวเวอร์ นักรบมาร์ตินเดินทางมาถึงโกตีร์ อาณาจักรของพวกแมวป่าแล้ว ในเพิงเล็กๆแคบๆทางด้านใต้ของโกตีร์ ครอบครัวสติคเกิลแออัดกันอยู่รอบๆเตาไฟเล็กๆที่มีเปลวไฟอ่อนๆลุกอยู่ ลมกลางคืนกรรโชกเสียดแทงลอดเข้ามาตามรูฝาบ้านซึ่งดินที่เคยอุดเอาไว้หลุดไปแล้วและยังไม่มีการซ่อมแซม เสียงกรอบแกรบที่ประตูทำให้พวกเขากระโดดขึ้นอย่างอกสั่นขวัญหาย เบน สติคเกิลคว้าท่อนฟืนที่ติดไฟมาถือไว้ในมือขณะส่งสัญญาณให้นางกู๊ดดี้ผู้ภรรยาพาลูกเล็กๆทั้งสี่หลบเข้าในเงามืด นางกู๊ดไวฟ์ สติกเกิล ฉวยผ้าใบหยาบๆมาคลุมลูกๆไว้ เบนขยับท่อนไม้ในมือให้กระชับขณะส่งเสียงซึ่งพยายามดัดให้ห้วนห้าวและดุที่สุดเท่าที่จะทำได้ออกไป “ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับพวกเรา ในนี้ไม่มีอาหารพอแม้แต่สำหรับครอบครัวเรา พวกเจ้ามาเอาอาหารของเราไปเก็บไว้ที่ห้องเสบียงที่โกตีร์ตั้งครึ่งตั้งค่อนแล้วนี่นา” “เบน…เบน จุ๊จุ๊ นี่เอิชคลอว์เอง! เปิดประตูหน่อย หนาวจะตายอยู่แล้ว บรื๊อว์..” ทันทีที่เบนเปิดประตู ตุ่นตัวหนึ่งที่มีหน้าตาเปิ่นๆ ก็วิ่งพรวดพราดผ่านเขาเข้าไปที่เตาไฟไปยืนเอาอุ้งมือถูกันไปมาที่หน้าเตา พวกเด็กๆแอบมองลอดออกมาจากใต้ผ่าห่ม เบนและกู๊ดดี้มองหน้าผู้มาเยือนอย่างกังวล เอิชคลอว์เอามือถูจมูกให้อบอุ่นพร้อมๆกับส่งภาษาตัวตุ่นตะกุกตะกัก “พวกหนูลาดตระเวณฯออกมาแล้วนะ ตัววีเซอร์กับตัว สโต๊ท (สัตว์ชนิดหนึ่ง ตัวเรียวยาว มีหนวด ในฤดูร้อนขนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล – ผู้แปล) ด้วย พวกมันกำลังมาหาเสบียงเพิ่ม” นางกู๊ดดี้ส่ายหัวไปมาขณะเช็ดปลายจมูกเจ้าตัวเล็กด้วยผ้ากันเปื้อน “ข้ารู้! เราควรจะอพยพไปจากที่นี่พร้อมๆกับพวกนั้น โธ่เอ๋ย เราจะมีปัญญาไปหาเสบียงอาหารจากที่ไหนมาจ่ายเป็นค่าภาษีให้พวกมัน?” เบนโยนท่อนฟืนลงไปบนพื้นอย่างท้อแท้ “หน้าหนาวอย่างนี้เราจะไปที่ไหนได้ล่ะ? ลูกเล็กๆอีกตั้งสี่ตัว คงตายกันหมดก่อนถึงฤดูใบไม้ผลิ” เอิชคลอว์ควักเปลือกต้นบีชสีเงินแผ่นเล็กๆออกมา บนเปลือกมีคำว่า “คอริม” เขียนไว้ด้วยถ่าน ใต้ลงมาเป็นแผนที่ซึ่งเขียนเอาไว้หยาบๆบอกเส้นทางเข้าไปในป่ามอสฟลาวเวอร์ ไกลลิบลับจากโกตีร์ เบนศึกษาเส้นทางในแผนที่ ต่อสู้อย่างหนักอยู่ระหว่างโอกาสที่จะหนีกับสภาพของครอบครัวที่มีลูกเล็กๆพะรุงพะรัง ความหมดหวังฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเขา ปัง! ปัง! “เปิดประตู! เร็ว..เปิดประตูเดี๋ยวนี้ นี่คือหน่วยลาดตระเวณแห่งโกตีร์” “พวกทหาร!!” เบนจ้องมองแผนที่เป็นครั้งสุดท้ายแล้วโยนมันลงไปในกองไฟ ทันทีที่นางกู๊ดดี้ยกสลักประตูขึ้น พวกทหารก็ผลักประตูเข้ามาอย่างแรงทำให้นางกระเด็นไปทางหนึ่ง ทหารกรูกันเข้ามาเต็มห้องเบียดเสียดผลักไสกันไปมา พังพอนตัวหนึ่งที่ชื่อแบล๊กทูธ และตัวสโต๊ท ชื่อสปลิทโนส ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหน่วย เบน สติคเกิลลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพวกทหารไม่ได้สังเกตเห็นเปลือกไม้ที่กำลังไหม้ไฟอยู่ พวกมันยืนหันหลังให้เตาไฟ “เจ้าพวกหนามแหลม บอกซิว่าพวกเจ้าเอาขนมปัง เนยแข็ง แล้วก็เหล้าหมักเดือนตุลาคมไปซ่อนไว้ที่ไหน?” เบนแทบจะบังคับความเกลียดชังไม่ให้ปรากฏอยู่ในน้ำเสียงไม่ได้เลยเมื่อเขาตอบเจ้าแบล๊คทูธที่ทำท่ายะโส “แม้แต่ตัวข้าเองยังจำไม่ได้เลยว่าเคยลิ้มรสเนยแข็งหรือเหล้าหมักที่ว่านั่นมานานแค่ไหนแล้ว แต่เราพอมีขนมปังอยู่บ้างบนชั้นโน่น แต่ก็พอสำหรับครอบครัวของข้าเท่านั้นแหละ” สปลิทโน๊สถ่มน้ำลายลงไปในกองไฟ แล้วหันไปคว้าขนมปังจากชั้น เบน สติคเกิล พยายามจะเข้าไปขวางแต่ถูกกันด้วยด้ามหอก นางกู๊ดดี้วางอุ้งมือลงบนลำตัวที่มีหนามแหลมของสามีเป็นเชิงเตือน “ขอร้องเถอะ อย่ามีเรื่องกับไอ้อันธพาลพวกนี้เลย” เอิชคลอว์เห็นด้วย “เอออออ…พวกมันมีหอกนะเบน” แบล๊คทูธหันมาทางเจ้าตัวตุ่นราวกับว่าเพิ่งเห็นเขา “เฮ้! มาทำอะไรอยู่ที่นี่ ไอ้ตาหยี?” ลูกเม่นน้อยหนึ่งในสี่ตัวโผล่ออกมาจากผ้าใบที่ห่มตัวอยู่ แล้วจ้องเจ้าสปลิทโน๊สอย่างเอาเรื่อง “เขามาอาศัยผิงไฟในเตาของเราเท่านั้นแหละ ไม่ต้องยุ่งกับเขาหรอก!” สปลิทโน๊สระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากออกมาอย่างขบขัน ทำให้เศษจากขนมปังที่มันกำลังกัดกินอยู่ปลิวว่อนลงมา “ระวังนะ แบล๊คกี้ ยังมีพวกมันอีกหลายตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนั่น ถ้าข้าเป็นเจ้าข้าจะเฝ้าดูพวกมันไม่ให้คลาดสายตาทีเดียว” วีเซอร์ตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดยกผ้าห่มให้เปิดออกเห็นลูกเม่นอีกสามตัว แบล๊คทูธลากพวกมันให้ยืนขึ้น “อืมม์ พวกมันโตพอที่จะทำงานได้แล้วนี่” นางกู๊ดไวฟ์ สติคเกิล กระโดดพรวดอย่างดุร้ายเข้าไปขวางหน้าพวกมันเอาไว้ “ ปล่อยลูกข้านะ ลูกข้าไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก” แบล๊คทูธทำท่าไม่สนใจ มันกระชากขนมปังหลุดจากอุ้งมือสปลิทโน๊สตกลงไปบนพิ้นแล้วหันไปสั่งงานวีเซอร์ตัวหนึ่ง “เก็บขนมปังนั่นขึ้นมา แล้วอย่าแอบกินล่ะ เอาไปส่งให้ที่ห้องเสบียงตอนกลับถึงกองทหารแล้ว” แล้วมันก็กวัดแกว่งหอกในมือเป็นสัญญาณให้พวกพลลาดตระเวนออกจากกระท่อม ก่อนจะออกไปแบล๊คทูธตะโกนสั่งสองสามีภรรยาว่า “ส่งเจ้าสี่ตัวนั่นออกไปที่ทุ่งนาพรุ่งนี้ ไม่งั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะถูกจับไปขังคุกที่โกตีร์ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันตลอดฤดูหนาวเลยเชียวละ” เอิชคลอว์แนบตาเข้าตรงรอยแตกที่บานประตูมองตามพวกพลลาดตระวณที่เดินมุ่งหน้าไปทางโกตีร์ ส่วนเบนก็ไม่ยอมเสียเวลาแม้เพียงอึดใจ เขาเอาผ้าห่มทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านห่อหุ้มตัวลูกทั้งสี่จนมิดชิด “เอาล่ะ พอกันที! เราไปกันคืนนี้เลย เจ้าพูดถูกแล้ว กู๊ดดี้ เราควรจะหนีเข้าไปอยู่ในป่าพร้อมกับพวกนั้นเสียนานแล้ว เอิชคลอว์ เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ตัวตุ่นยังยืนอยูที่เดิม ตาแนบอยูที่รอยแตกบนบานประตู “เยอรรร..มาตรงนี้สิ มาดูอะไรนี่!!” ขณะที่เบนกับเอิชคลอว์เพ่งมองออกไปทางรอยแตก กู๊ดดี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาเอาผ้าห่มห่อตัวลูกๆของนางต่อไป “มีอะไรหรือ เบน? พวกมันกลับมาอีกหรือ?” “เปล่าหรอก โฮ่โฮ่โฮ่ ดูสิ! เห็นหมัดที่เขาปล่อยเข้าไปที่จมูกเจ้าวีเซอร์ไหม? ชกเข้าไปอีกเลย เจ้าหนุ่ม!!” ลูกเม่นน้อยที่ชื่อเฟอร์ดี้ซึ่งลุกขึ้นยืนโต้ตอบกับเจ้าสปลิทโน๊สอย่างกล้าหาญเมื่อครู่ก่อน คลานเข้ามากระตุกอุ้งมือเบน “ชกงั้นหรือ? ใครชกเจ้าวีเซอร์? เกิดอะไรขึ้นฮะ?” เบนเล่าสิ่งที่เขาเห็น “มีหนูตัวหนึ่งข้างนอกนั่น—ตัวใหญ่แข็งแรงมากเลย ไอ้พวกนั้นพยายามจะจับเขาให้ได้ นั่นแหละที่พวกมันกำลังทำอยู่!! เตะมันอีกเลย เจ้าหนุ่ม!! เอาเลย!! ฮ่าฮ่าฮ่า ใครๆก็คิดว่ายากที่จะต่อกรกับทหารลาดตระเวณทั้งกองพวกนี้ แต่ไม่ใช่เจ้าหนูนี่แน่ๆ เขาต้องเป็นหนูนักรบที่ฝึกมาอย่างดี พิวส์ส์ส์!!! ดูนั่น เขาน๊อคเจ้าแบล๊คทูธลงไปนอนแผ่กับพื้นแล้ว แย่จังที่พวกมันยึดดาบเขาไว้อย่างนั้น ถ้าเขามีดาบอยู่กับมือ ถึงจะเป็นดาบสนิมเขรอะก็เถอะ ไอ้พวกนั้นคงแย่ไปตามๆกันแล้วละ” เฟอร์ดี้กระโดดขึ้นๆลงๆ “ขอผมดูบ้าง ผมอยากดู!!” เอิชคลอว์ผละจากประตูช้าๆ “ไม่มีอะไรให้ดูแล้วละ พวกมันจับเขาได้แล้ว กำลังใช้เชือกมัดเขาอยู่ เออร์ร์ร์ น่าสงสาร พวกมันมีหลายตัวเกินไป เขาสู้ไม่ได้หรอกถึงจะเป็นนักรบก็เถอะ” เบนคอตกไปครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็ประสานอุ้งมือเข้าด้วยกัน “ได้เวลาแล้ว ตอนนี้พวกมันกำลังสาละวนอยู่กับเชลยของมัน เดี๋ยวก็คงต้องลากเจ้าหนูนั่นไปที่ปราสาทของพวกแมวนั่นแน่ๆ เราต้องรีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย โอกาสดีแล้ว” อีกครู่หนึ่งต่อมาไฟในเตาในเพิงเล็กๆแห่งนั้นก็ค่อยๆมอดลง ซึ่งเป็นขณะเดียวกันกับที่ขบวนเล็กๆเดินทางกันอย่างเร่งรีบเข้าไปในเขตป่ามอสฟลอวเวอร์ พวกเขาก้มหัวลงต่ำให้พ้นจากลมที่กรรโชกมาอย่างแรงจนเสียดแทงเข้าไปในหน้าตาและเนื้อตัว เอิชคลอว์เดินระวังหลังคอยลบร่องรอยของอุ้งเท้าที่ประทับอยู่บนพื้นหิมะออกไป
|
ดอยสะเก็ด
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Group Blog
All Blog Friends Blog
|
||||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
HAPPY NEW YEAR 2568