เดินทางเข้าสู่ Upper Kinnaur รอบนี้แวะลงหมู่บ้าน Nako แล้วนะ | INDIA 2019
ออกจากหุบเขาสปิติ
9.00 น. | หอบข้าวของออกมาจากที่พักเพื่อมายืนรอรถที่จุดเดิม เหมือนเมื่อห้าปีก่อนตรงหน้าร้านขายของ Vijay Kumar & Sons โดยที่ไม่สามารถคาดเดากับเที่ยวรถที่วิ่งมาจาก Kaza ได้ตามเคย แถมมีคู่รักชาว ต่างชาติ (อังกกษ-ออสเตรเลีย) ที่เหมือนจะมีอายุแล้วแต่ก็ยังมาออกทริปแบกเป้ท่องเที่ยวด้วยกันอยู่ ส่วนที่ เหลือก็เป็นคนพื้นที่หลังจากเพิ่งมองนาฬิกา เพื่อคำนวนความน่าจะเป็นของเวลาเทียบท่า เราได้แต่บ่นลอย ๆ ให้พวกพี่ทั้งสองฟังว่าเมื่อห้าปีก่อนกว่ารถจะมาถึง Tabo ก็เกือบเพลโน่น
“นี่ก็แปลว่าเธอชอบที่นี่มากสินะ ถึงได้กลับมา”
หญิงชาวออสซี่ผู้กำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนจดอะไรบางอย่างลงในสมุด เงยหน้าขึ้นมาคุยด้วยอย่างอารมณ์ดี พวกเขาต่างมารอรถไปที่หมู่บ้าน Nako เช่นเดียวกัน แม้จะไม่ได้สนทนาอะไรกันมากมายนัก แต่ก็ดูเหมือนจะ ตื่นเต้นดีที่รู้ว่าเรามาจากประเทศไทยที่ซึ่งทั้งคู่ไปพบเจอกันครั้งแรกที่ฝั่งธนฯ ช่วงปีที่มีงานฉลองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี ก่อนที่จะคบหาและแต่งงานกันหลังจากนั้น

⭗ จุดรอรถประจำทางหน้าหมู่บ้าน Tabo ที่หน้าร้านขายของ ส่วนเป้สวม Rain Cover สีส้มนั่นเป็นของเราเอง
ชายรายหนึ่งพยายามเข้ามาคุยด้วย ในช่วงที่ได้ยินการพูดคุยกันระหว่างนั้น แต่ก็มาในแนวซักไซ้ไล่เรียงจนเกินพอดีและเจาะจงที่จะคุยกับเรามากเกินไป :( ซิสเตอร์! เธอมาจากเมืองไทยเหรอ เยี่ยมเลย ผมอยากไปพัทยา ซิสเตอร์! เธอใช้เงินเท่าไหร่กับการมาเที่ยวอินเดีย พกเงินมาเยอะมั้ย เฮ้!...ซิสเตอร์พวงกุญแจที่กระเป๋าสวยดีนี่ นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เราอาจจะสนุกไปกับการพูดคุยกับผู้คนไปอย่างเรื่อยเปื่อยนะ แต่ก็พบว่าคนพวกนี้ชอบวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวเสียมากกว่า “เฮ้ พี่ชาย แล้วเธอ กำลังจะไปที่ไหน?”
“ผมจะไป Kaza” คำตอบของเขาช่วยทำให้เบาใจขึ้นเยอะ เมื่อรู้ว่าไม่ได้ไปทางเดียวกัน! ไม่นานนักก็มีรถโดยสารวิ่งมาจอด ตรงจุดที่เรากำลังยืนอยู่ ในทิศทางที่จะไป Kaza ชาวอินเดียผู้นั้นเดินขึ้นรถที่ประตูท้าย ในจังหวะนั้นเราได้ รีบเดินไปผลักประตูรถที่ยังเปิดค้างไว้ให้ปิดลงทันที กลัวว่าจะเปลี่ยนใจเดินกลับลงมาคุยด้วยต่อ กระทั่งรถ คันดังกล่าววิ่งหายลับสายตาไปถึงจะรู้สึกโล่งใจได้จริง ๆ
9.40 น. | เที่ยวรถรอบเจ็ดโมงครึ่งจาก Kaza วิ่งผ่านมาถึง Tabo ช่วงนาทีชุลมุนนี้ สามารถวัดใจได้มากเลย ทีเดียวนะว่าจะทำความไวให้ทันได้ที่นั่งมั้ย มันเป็นวินาทีแห่งการช่วงชิง ดูเหมือนว่ารถโดยสารคันนี้มีผู้คนและ จำนวนที่นั่งไม่ลงตัวกันมาตั้งแต่แรก โดยเหล่าคนงานรับจ้างจากรัฐพิหาร(Bihar) ที่ดูเหมือนจะเหมาเที่ยวรถนี้ ไปจนเกลี้ยง แม้จะได้ทันเห็นคู่รักชาวต่างชาติพากันสะพายเป้เดินไล่ตามมาอย่างติด ๆ แต่ภายหลังจากรถได้ เคลื่อนตัวออกไปจากหมู่บ้านแล้วก็กลับไม่พบพวกเขาบนนี้ซะงั้น
 ⭗ บนรถโดยสารรอบเช้าคันนี้จะวิ่งยาวไปถึง Reckong Peo เต็มไปผู้คนทั้งที่มีที่นั่งและที่ยืนโหน การเดินทางจากฝั่ง Spiti Valley เข้าสู่ Upper Kinnaur และโครงการเก็บภาพบนเส้นทางที่ เชื่อมต่อของสองเขตปกครอง(รวมถึงเจ้าไบซันตัวดำ ๆ ที่เคยเห็นมันเดินเกาะตามเนินผา)เต็มด้วยความยุ่ง ยากเล็ก ๆ ถึงแม้ว่าพื้นถนนจะไม่ดีดเด้งเหมือนเก่าเพราะถูกปรับให้เรียบและดีขึ้นแล้ว แต่การที่ต้องหาจุด ศูนย์ถ่วงเพื่อยืนให้มั่นก็เป็นอีกเรื่อง หยิบกล้องขึ้นมาแต่ละครั้งเพื่อวิวด้านนอกก็จำเป็นต้องใช้วิธีมุดแทรก ตัวเข้าไปยังแถวนั่งของคนอื่นช่วงรถหยุดชั่วคราว ซึ่งก็ไม่ง่ายนักตรงที่คนนั่งริมหน้าต่างผู้มาจากถิ่นอื่นบาง รายดันมีอาการเมารถ ชาวต่างชาติคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตอนนี้ก็คือ กั๊ต ชาวอิสราเอล ผู้ยืนโหนรถตรงด้านหน้า กั๊ตได้ขึ้นรถคันนี้มาตั้งแต่ต้นทางที่ Kaza และมีจุดหมายจะไปลงที่หมู่บ้าน Nako เช่นเดียวกัน

⭗ ถุงกระสอบขาวกำลังถูกขนถ่ายกันระหว่างรถกระบะและรถบรรทุก มันอาจเป็นพืชผลบางอย่างไม่ก็ข้าว เป็นมุมภาพลอดหน้าต่างที่ทำได้มากสุดช่วงแรกด้วยการยืนโหนรถ ณ บริเวณ หมู่บ้าน Lari ตั้งอยู่ถัดไปจาก Tabo เพียงแค่ 4.5 กม.จากป้ายข้อมูลหน้าหมู่บ้านระบุว่า มีจำนวนประชากร 235 คน (ก็ถือมีเยอะกว่าหมู่บ้าน Komic อยู่ดี)

⭗ สะพานข้ามฟากที่ Sumra ซึ่งรถประจำทางของเราเพิ่งจะข้ามผ่านมาหมาด ๆ

⭗ แม่น้ำสปิติที่ไหลผ่านกลางหุบเขา (ถ้าเป็นช่วงปลายเดือนตุลาคมจากที่เคยเห็นสีจะเป็นสีฟ้าสวยกว่านี้)

⭗ เมื่อรถได้จอดพักชั่วระยะหนึ่ง เราก็ถือโอกาสลงมาเดินเล่นและเก็บภาพรอบ ๆ บริเวณ Sumra ได้ง่ายขึ้นเยอะ

⭗ คลายเคลียดกันบ้าง ชายชาวพิหารผู้นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาถือโทรศัพท์ไว้บนตักมาตั้งแต่แรกเห็น เลยขอให้เขาช่วยโพสต์ ท่ารับสายให้สักนิด
10.15 น. | รถหยุดจอดที่ Sumra อยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เท่าที่จำได้ตรงนี้มันเป็นจุดรับผู้โดยสารกลาง ทางอย่างไรก็ดี ใช้โอกาสนี้ลงมาเดินเล่นยืดเส้นข้างล่างกันดีกว่า บรรดาบุรุษต่างพากันเดินไปหาจุดกำบังใน การยิงกระต่ายกันอย่างสบายใจ สำหรับสาว ๆ ไม่ต้องห่วงนะ ถัดจากนี้ไปรถจะต้องจอดลงที่หมู่บ้านข้างหน้า เพื่อแวะพักกินมื้อกลางวันอยู่แล้ว 10.44 น. | มาถึงหมู่บ้าน Hurling รถจะพักจอดนานเกือบครึ่งชั่วโมง แถวนี้มีร้านขายอาหารเล็ก ๆ เปิดอยู่ กรณีที่นั่งรถโดยสารเดินทางและมีแผนไปลงยังที่ไกล จำเป็นต้องฝากท้องและเข้าห้องน้ำกันที่นี่เลย จาก ประสบการณ์เดิมที่เคยนั่งรถไปจนสุดทาง (Reckong Peo) ไม่มีการจอดพักแบบนี้อีกแล้ว
ร้านแบบนี้จะมีเมนูจานด่วนที่เหมาะกับการรีบกินและรีบไปอย่าง Chowmein Momo Thukpa ยืนพื้นหลัก และอาหารอินเดียพื้นฐานแกงถั่ว ข้าว โรตี โยเกิร์ต แล้วก็ ชาอินเดีย (มันอาจมีเยอะกว่านี้นะ) เราสั่ง Mix แบบ non-veg มากินเนื้อสัตว์ที่ใช้แถวนี้จะเป็นแกะ/แพะ ซึ่งก็ได้ไวดี อ้อ ...ที่เรียกว่า Mix เพราะเป็นการเมนู ที่เอา Thukpa และ Momo มาผสมกัน

⭗ หน้าอาหารริมทาง (Dhaba) ที่ Hurling รถจะมาจอดพักกินมื้อกลางวันก่อนที่จะเดินทางกันยาว ๆ สังเกตจากชื่อร้านที่ใช้ว่า Bodh ที่บ่งบอกได้ว่าเป็นชาวสปิติของแท้แน่นอน เพราะพวกเขาจะมีนามสกุลท้ายชื่อที่ใช้บ่งบอกถึงถิ่นฐานเหมือน ๆ กันหมด

⭗ อาคารบ้านเรือนบริเวณถนนเส้นหลัก ไม่ได้เดินสำรวจแถวนี้ได้ไกลเกินกว่าที่จอดรถสักเท่าไหร่

⭗ ผู้ช่วยทำโรตีเฉพาะกิจ ในเมื่อคนบนรถมากันเยอะขนาดนี้และเป็นชาวอินเดียไปเกือบทั้งคัน พวกเขาต่างพากันสั่งอาหาร อินเดียกันตามความเคยชิน ในเมนูพื้นฐานอย่างข้าว แกง และโรตี(จาปาตี) ผู้โดยสารบนรถบางรายจึงปลีกตัวชายชุดแดงผู้ที่ กำลังง่วนกับการนวดแป้ง โดยเข้ามาช่วยจี่ทาบบนแผ่นเหล็กและอีกรายหนึ่งก็ช่วยพลิกวางมันบนหัวเตาแก็สให้มันพองเป็น ลำดับสุดท้าย เพื่อทำเวลาให้ไวขึ้น
11.13 น. | เดินทางกันต่อเนาะ ทุกคนต่างขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ดูเหมือนคนงานจากรัฐพิหารเหล่านี้ จะจัดกลุ่มกันมาด้วยกันทั้งหมดเพราะมีการนับจำนวนกันก่อนออกรถ ทีนี้กว่าจะไปถึง Nako ก็ไกลพอควร รถก็ไม่ได้วิ่งแบบนิ่ง ๆ เสียด้วยสิ ชายสองรายที่เบาะคู่ฝั่งซ้ายตำแหน่งที่เราโหนรถและยืนพิงก็ขยับตัวชิดกัน เพื่อให้ขนาดพื้นที่ของเบาะนั่งมีมากพอที่จะแบ่งที่นั่งให้เราได้บ้าง
แกมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง?
 ⭗ บรรดารถต่าง ๆ ที่กำลังจอดแช่กันบนถนนในช่วงเที่ยงวัน จุดนี้อยู่ไม่ไกลไปจาก Sumdo เท่าไหร่นัก

⭗ มีการซ่อมถนนตรงด้านหน้านั่นเอง
เริ่มจะใกล้เข้ารอยต่อที่เชื่อมเข้าสู่เขต Kinnaur กันแล้ว แต่ว่ารถก็ยังต้องมาติดแหง่กพักใหญ่ มันนานจนต้อง หาเรื่องลงไปเดินดูสถานการณ์ข้างล่างให้ได้ โดยมีรถหลายคันที่กำลังจอดรออยู่ จุดผ่านข้างหน้าที่มีการปิดกั้น พื้นที่ไม่ให้รถวิ่งเป็นการชั่วคราว มีงานโยธาฯ ทำถนนราดยางมะตอย กลุ่มคนงานกำลังยืนใช้อุปกรณ์อย่างคราด คอยเกลี่ยเศษหินก้อนกรวดออกไปท่ามกลางแดดที่แรง ๆ บนพื้นที่โล่งแจ้งไร้ร่มเงา หลังจากได้รับรู้สาเหตุแล้ว ก็เดินวกกลับไปที่รถดีกว่า
ระยะทางจากจุดทำถนนกับรถโดยสารที่นั่งมาก็ห่างกันอยู่หลายเมตร กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องผ่านรถหลายคัน ที่พากันติดเครื่องรอเวลาเดินทาง บ้างก็เอนเบาะเปิดเพลงฟังแก้เซ็ง แต่มีอยู่คันหนึ่งหมุนกระจกลงเพื่อชะโงก หน้าออกมาทักทาย แหงล่ะ...คงจะตามมาด้วยเป็นคำถามเบสิก ๆ อย่าง คุณมาจากประเทศอะไร? ไม่ก็คงจะ เกิดอะไรขึ้นที่ทางข้างหน้า? ทำนองนี้แน่นอน
พอหยุดเท้าแล้วเดินถอยกลับไปตามเสียงทัก อิตาคนที่นั่งข้างคนขับลุกพรวดจากการพิงพนักของเบาะ ที่ปรับเอนจนแทบจะนอนได้ เขายื่นหน้าถามด้วยความลังเล “โทษทีนะ นี่ใช่ฟ้าป่ะ” ตกใจเหมือนเห็นผี! ดีนะที่เป็นช่วงกลางวันแสก ๆ
“นายคือแฮปปี้เหรอ” ใช่มะ...ใช่สิ...เออ ใช่จริง ๆ ด้วย!
แฮปปี้เคยให้เราติดรถขึ้นไปที่ Sarahan เมื่อ 4 ปีก่อน ตรงแยก Jeori แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยถ่ายรูปกันไว้ทำให้จำหน้าแทบไม่ได้ ในตอนนั้น มีคนที่ทำหน้าที่ขับรถให้ชื่อ 'รานา' และพวกเขาต่างก็เป็นชาว Kinnaur เขาดูตกใจมากแล้วรีบเดินลงมาจากรถเพื่อเช็คแฮนด์ทักทายกันอย่างเป็นทางการ หลังจากรู้ว่าเรา เดินทางด้วยรถโดยสาร(แถมยังไม่มีที่นั่งอีกตะหาก) แฮปปี้ก็เลยชักชวนให้ย้ายมานั่งที่รถคันนี้แทน “ฉันกำลังจะไปส่งเอกสารที่ Chango ถ้าแกติดไปด้วยจะขับไปส่งให้ถึงที่เลย”
จาก Chango ไป Nako ระยะห่างมันไกลตั้ง 25 กิโลเมตร แถมเส้นทางถนนที่วิ่งไต่ขึ้นที่สูงนั่นค่อนข้างจะเร้าใจซะด้วยสิ
พวกเราเดินย้อนกลับไปที่รถและสวนทางกับกั๊ต ที่เพิ่งกลับมาจากการเดินไปดูลาดเลาเรื่องทางด้านหน้า แฮปปี้ช่วยถือเป้แล้วเดินนำไปยังรถของเขา ท่ามกลางความงุนงงของผู้โดยสารรายอื่นที่คงเม้าท์กันหลัง จากนี้...ตายแล้ว ๆ ยัยนั่นมันหอบกระเป๋าหนีหายตามใครไปก็ไม่รู้ 
แฮปปี้ยังทำงานกับบ.ท่องเที่ยวที่เดิม แต่ย้ายมาอยู่ประจำที่ Gue พักใหญ่แล้ว หมู่บ้านที่ว่านี้อยู่ไม่ไกล จาก Sumdo นัก เราไม่รู้ว่ามันจะเชื่อมต่อเข้าไปได้ยังไง ในกรณีที่ไม่มีรถนำเที่ยวพาเข้าไป (Gue เป็น หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีชื่อเสียงเรื่องมัมมี่พระ ซึ่งมรณภาพไปเมื่อ 500 กว่าปีก่อน โดยนั่งอยู่ในท่าสมาธิและ มีสภาพเป็นมัมมี่แบบธรรมชาติ)
เพื่อนร่วมงานคนใหม่ของแฮปปี้ผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถชื่อ 'โอมประกาศ' หรือเรียกง่าย ๆ ว่า 'โอม' เขาขับรถรถได้ ซิ่งมาก พอทางเปิดและปล่อยให้รถผ่านไปได้ ก็จัดแจงพารถทะยานแล่นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนแฮปปี้ก็ชวนคุย ไม่หยุด นั่นจึงทำให้ลืมไปเสียสนิทว่าจะต้องเก็บรูปที่ด่าน Sumdo ไว้เป็นที่ระลึกด้วย!
ด่าน Sumdo
รถมาหยุดจอดบริเวณหน้าสำนักงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเป็นอาคารสีขาวหลังเล็ก และมีเจ้าหน้านั่งประจำการอยู่ ด้านใน พวกเขาบอกให้เราแวะลงแป้บนึง เพื่อยื่น Inner line Permit ใบอนุญาตผ่านเขตพื้นที่ด้านใน ส่วนที่ เป็น Upper Kinnaur ที่ทางการอินเดียเข้มงวดกับการเดินทางเข้า-ออกของชาวต่างชาติเพราะอยู่ติดพรมแดน กับทิเบต/จีน ซึ่งเราได้ยื่นเรื่องที่สำนักงาน ADC ใน Kaza ล่วงหน้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แฮปปี้ทำทีเป็นเดินลงจากรถติ๊ต่างเป็นไกด์นำเที่ยว(จำเป็น) นำเราไปยื่นเอกสารและพาสปอร์ตที่จุดดังกล่าว มันช่างต่างไปจากปี 2014 มากจริง ๆ ที่ตอนนั้นเป็นเพียงจุดวางโต๊ะนอกอาคารท่ามกลางบรรยากาศถนนลูกรัง ธรรมชาติ(มีความลูกทุ่งได้ใจกว่านี้) หลังจากหมายเลขพาหนะที่โดยสารมาเป็นที่เรียบร้อย คุณเจ้าหน้าที่ก็ได้ ประทับตราการผ่านด่าน Sumdo บนเอกสารนับจากนี้เราจะออกนอกเขต Spiti Valley อย่างเป็นทางการ ทุกอย่างดูรวดเร็วไปหมด หลังเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง คราวนี้ได้เปลี่ยนมานั่งที่เบาะหน้าเพื่อว่าที่จะได้ถ่ายรูป ได้สะดวก ๆ แฮปปี้ย้ายไปอยู่เบาะหลัง พร้อมแนะนำว่าถ้าอยากได้รูปตรงไหนก็บอกโอมได้เลย แต่ส่วนใหญ่ที่ ได้บอกมักจะเป็นอีกแบบนึงมากกว่า...
"มันผ่านไปแล้ว โอม!" "เฮ้ย โอม! ขับช้า ๆ!" "ว้าว...กดไม่ทันสักรูปเลยโอม!"

⭗ จำพิกัดไม่ได้ แต่บริเวณนี้เลยผ่านไปจากด่าน Sumdo เพียงครู่หนึ่ง

⭗ แถว ๆ Shialkhar เมื่อเริ่มเข้าใกล้เขตหมู่บ้านก็เริ่มพบเห็นต้นไม้เยอะขึ้น

⭗ ขับรถข้ามสะพาน (ไม่ทราบชื่อ)

⭗ ก่อนจะถึงหมู่บ้าน Chango

⭗ ซุ้มหน้าหมู่บ้าน Chango ที่ตั้งอยู่หน้าถนนเส้นหลัก
พวกเรามาแวะพักรถกันที่ Chango เพราะแฮปปี้มีธุระนัดรับส่งเอกสาร ไม่ได้เดินเตร่ไปไหนกันไกลเลย ใช้เวลาครู่ใหญ่ในการนั่งจิบกาแฟที่ร้านเล็ก ๆ ใกล้กับซุ้มทางเข้าหมู่บ้าน โอมแว้บหายไปคุยอะไรสักอย่าง กับเจ้าของร้านและได้แอปเปิ้ลติดกลับมาจำนวนหนึ่งพร้อมทั้งยื่นส่งให้เราเก็บไว้กิน 3-4ลูก มาถึง Kinnaur แล้วมันต้องได้กินแอปเปิ้ลสินะ! ระหว่างนั่งเอกเขนกหน้าร้าน เราก็รอจังหวะที่จะได้เห็นรถโดยสารวิ่งผ่านมา เมื่อเห็นกลุ่มคนที่มายืนรอรถตาม เวลาที่คิดว่ามันน่าจะถึงกำหนดการแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้วิ่งได้อย่างหวานเย็นนัก จนกระทั่งได้เวลาเดินทาง กันต่อ...
เส้นทางหลังจากนี้จะเลี้ยววกวนเพื่อไล่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ที่ตั้งของ Nako อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ราว 3,625 เมตร ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยมาถึง แต่เป็นครั้งแรกที่จะได้แวะลงไปที่หมู่บ้านแห่งนี้สักที 
⭗ ขับรถข้ามสะพานเหล็ก ตั้งใจจะเก็บภาพอีกมุมนึง ตัวสะพานกับฉากหลังมันสวยลงตัวมาก (ถ่ายไม่ทันอีกแล้วโอม!)

⭗ สภาพแวดล้อมใน Upper Kinnaur โดยมากก็จะเป็นแบบนี้ คล้าย ๆ กับหุบเขาสปิติแต่ดูเหมือนจะมีต้นไม้หลากชนิดกว่า

⭗ เบี่ยงซ้ายไป Nako จากตรงนี้ไปจะเริ่มขึ้นที่สูงกันแล้ว

⭗ เส้นทางไล่ระดับ ต้องคอยเคลียร์หูกันเรื่อย ๆ

⭗ สมัยที่นั่งรถโดยสารขึ้นมาถึงตรงนี้มันจะรู้สึกอีกแบบนึงนะอาจเพราะเป็นรถคันใหญ่ด้วย โดยเฉพาะเวลาที่เห็นรถบรรทุกขับ สวนลงมาจากข้างบน พอครั้งนี้เปลี่ยนเป็นรถยนต์ก็ไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่

⭗ เส้นถนนที่เพิ่งวิ่งผ่านมาดูเป็นเส้นเล็กจิ๋วเดียวไปเลยเมื่อมองจากมุมด้านบนนี้

⭗ พักรถกันชั่วครู่ ช่วงนี้ก็พอจะมีรถนำเที่ยววิ่งผ่านมาให้เห็นอยู่บ้าง

⭗ ขายตรง มีรถคันหนึ่งขับมาเทียบจอด คนบนรถโผล่หน้ามาพูดคุยอะไรบางอย่าง พร้อมกับถุงกระดาษที่ใส่ดอกกัญชา (คิดว่าเป็นส่วนนี้) แต่ก็ปิดการขายไม่ได้นะ เพราะเห็นว่าโอมมันส่งถุงคืนกลับไป

⭗ ที่ตั้งของหมู่บ้าน Nako เท่าที่พอจะมองเห็นได้
Nako
จำได้ดีเลยอาคารหน้าหมู่บ้าน จุดเดียวกับที่เราโบกมือส่งลาเพื่อนร่วมทางชาวต่างชาติผู้ปลีกตัวลงจากรถไป คนเดียวเมื่อคราวก่อน โอมได้เลี้ยวรถเข้าไปจอดตรงลานที่ว่างอยู่ ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้าน Nako กันแล้ว! แต่ว่า มีเรื่องนึงที่เราเพิ่งรู้ว่ารถโดยสารจะไม่แวะเข้ามาเทียบจอดตรงนี้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
แฮปปี้ชี้ไปยังจุดรอรถ ที่ซึ่งอยู่ไกลจากบริเวณนี้ประมาณหนึ่งกิโลเมตรโน่น มีกองดินที่ถมเป็นเนินสูงพอให้ เป็นจุดสังเกต...โอ้ บ้าจริง ๆ มีการย้ายจุดจอดรถกันด้วย!? ถ้าไม่ได้บอกกันไว้ก่อน พรุ่งนี้คงได้มายืนรอเก้อ ผิดที่ผิดทางอีกแน่ ๆ

⭗ ลานจอดหน้าหมู่บ้าน Nako จุดเดียวกับที่เมื่อก่อนนี้เคยวิ่งมารับ-ส่งผู้โดยสาร บรรดาร้านขายอาหารและของที่ระลึกจะตั้งอยู่ ที่โซนรอบนอกนี้
ไปเดินหาที่พักกันก่อน ทั้งแฮปปี้กับโอมพากันเดินถามที่พักด้านในจุดที่ไม่ไกลไปจากที่ตั้งของทะเลสาบ มีที่หนึ่งให้ราคา 500 รูปี นับว่าไม่แพงเลย ผู้ดูแลในตอนนั้นมีแต่ผู้หญิงกำลังสาละวนจัดการกับแอปเปิ้ลกองโต ที่จะจัดเตรียมส่งไปขาย ไม่ก็เอาไปแปรรูป
ห้องพักที่ได้จะอยู่ที่ชั้นสอง แต่วิวบนดาดฟ้าถัดไปอีกชั้นสวยใช้ได้เลย นึกถึงวันพรุ่งนี้ก่อนจะออกเดินทางต่อ เราคงต้องรีบตื่นมาแต่เช้า ๆ และขึ้นไปบนนั้นเพื่อนั่งดูเมฆเคลื่อนผ่านภูเขากับแสงแรกอย่างสงบ ช่างเป็นแผน ที่เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะ
หลังจากนั้นแฮปปี้กับโอม ยังคงแกร่ว ๆ อยู่ที่เกสเฮาส์ระยะหนึ่ง มันมีลานสำหรับนั่งกินอาหาร พวกเขาสั่งกาแฟ มาดื่มเพิ่มอีก(จะนอนหลับมั้ยนั่น!) แล้วโอมผลุบหายลงไปข้างล่างและกลับมาพร้อมกับแอปเปิ้ลอีกจำนวนหนึ่ง รอบนี้มีแอพริคอตแห้งติดมาด้วย เขาแบ่งมาให้เราเก็บไว้กินส่วนนึงตามเคย พวกเรานั่งกินแอพริคอทแห้งที่ได้ มาจากการรีดไถไปจนเกลี้ยงกองเมล็ดแอพริคอตที่วางสุมไว้ โอมเก็บกวาดไปทุบให้แตกแล้วส่งแกนกลางส่วน ในที่มีรสมัน ๆ เหมือนถั่วส่งให้กินอีกต่อ ~ ที่จริงแล้วเราเคยใช้วิธีนี้กับแอพริคอทผลสดนะ แต่มันก็ดันมีรสขม จนกินไม่ได้อ่ะ 
แล้วงานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ได้เวลาที่พวกเขาต้องนั่งรถออกไปจากที่นี่แล้ว แฮปปี้ชวนให้ติดรถไปเที่ยวหมู่บ้าน Gue ด้วยกัน แต่เราไม่มีเวลามากพอกับการ ย้อนไปย้อนมาอีกแล้ว เลยไปแค่ออกไปส่งลากันที่ลานจอดรถ
สถานที่ท่องเที่ยวใน Nako คงหนีไม่พ้นแลนด์มาร์กประจำหมู่บ้านอย่างทะเลสาบ ขนาดพื้นที่ไม่ได้ ใหญ่โตมากเท่าไหร่นะ เดินวนแป้บเดียวก็ครบรอบแล้ว รายล้อมด้วยต้นวิวโลว์ที่กำลังเปลี่ยนสีทำให้ดูสวย แปลกตาไปอีกแบบ ภาพที่เคยเห็นผ่านตาจากอินเตอร์เน็ตในช่วงฤดูร้อนมีการนำเรือปั่นมาให้บริการด้วย ส่วนฤดูหนาวเมื่อทะเลสาบเปลี่ยนเป็นลานน้ำแข็งก็จะถูกนำไปใช้งานเป็นลานเล่นไอซ์สเก็ต

⭗ ทะเลสาบที่ตั้งอยู่ด้านหลังหมู่บ้าน

⭗ บันไดทางเชื่อมสำหรับลง ท่ามกลางดงวิวโลว์ที่ขึ้นรายรอบทะเลสาบ

⭗ มีลาหลงมาเดินเล่นแถวนี้หนึ่งตัว

⭗ พื้นที่เพาะปลูกของหมู่บ้าน แปลงนาถูกเก็บเกี่ยวจนเกลี้ยงกริบแล้ว

⭗ รางส่งน้ำ และพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งของหมู่บ้านหลังเนินเขาด้านบนที่ตั้งเหนือทะเลสาบ

⭗ หมู่บ้าน Leo (Liyo) และดงแอปเปิ้ลที่ภูเขาฟากตรงข้าม

⭗ พบวัวหลงมาเดินเล่นบนเขาหนึ่งตัว

⭗ ทะเลสาบ และหมู่บ้านจากมุมสูง

⭗ ป้ายแจ้งเตือนที่ระบุถึงผู้ที่ไม่สามารถเดินขึ้นไปบนนั้นได้

⭗ สถูปขาวเก่าแก่ ที่ตั้งอยู่ด้านบนสุด

⭗ อาคารบ้านเรือนที่สร้างหลบอยู่ที่มุมด้านใน หากมองเห็น Nako แค่ส่วนหน้าตรงบริเวณลานจอดรถตรงนั้นมันก็แทบจะซ่อน ตัวอยู่หลังอาคารแบบใหม่อย่างมิดชิด

⭗ แอปเปิ้ล ยังคงเป็นพืชเศรษฐกิจสำหรับพื้นที่นี้เช่นเคย ที่สวนนี้ปลูกดอกรักเร่ประดับไว้ด้วย (อยากได้เหง้ามาปลูกสักหัว)

⭗ ปากทางเดินเข้าไปในโซนหมู่บ้านเก่า

⭗ การสร้างอาคารบ้านหินแต่ละหลังที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดติดกันไปหน่อย ตรอกทางเดินด้านในไม่ค่อยกว้างนัก

⭗ ยุ้งฉางสำหรับกักเก็บฟางและฟ่อนจากพืชตระกูลถั่วสำหรับเอาไว้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ในฤดูหนาว

⭗ คอกเลี้ยงสัตว์บริเวณโซนบ้านเก่า

⭗ แมว Kinnaur ลายสลิด

⭗ กองหินมณีและกงล้ออธิษฐาน สัญลักษณ์ทางศาสนาที่เห็นจนคุ้นตาในย่านนี้
อาคารบ้านเรือนของหมู่บ้านที่เป็นแบบดั้งเดิมในที่อยู่โซนด้านใน จะเป็นรูปทรงแบบบ้านทิเบตที่ก่อด้วยหิน ปัจจุบันนี้ก็ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ในบ้านโบราณนั่นตามปกติ ศาสนาและความเชื่อ แม้จะถูกแบ่งเป็นอีกวัฒน- ธรรมหนึ่ง แต่ผู้คนในส่วน Upper Kinnaur ยังคงมีความคล้ายคลึงกับทางหุบเขาสปิติไม่น้อย (รวมถึงรูปร่าง หน้าตา) ทั้งในเรื่องของความเชื่อที่รับแนวทางพุทธแบบวัชรยานและผสมผสานไปกับความเชื่อท้องถิ่น อีกทั้งยังมีวัดพุทธที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 11 ที่หมู่บ้านนี้ด้วย เดี๋ยวว่าจะแวะไปดูช่วงเย็น ๆ

⭗ ออกมาด้านนอกหมู่บ้านช่วงใกล้ห้าโมงเย็นเพื่อแวะมาดูลาดเลาของจุดขึ้นรถ จากที่นี่จะเห็นที่ตั้งของวัดอยู่ไกล ๆ

⭗ รถบรรทุก รถกระบะ และจักรยาน(เด็ก) ที่ทางแยก

⭗ ตรงลานนี้ ที่พวกรถประจำทางจะแวะมารับผู้โดยสาร จะมีร้านขายของและเพิงร้านน้ำชาที่ขายอาหารตั้งอยู่

⭗ แวะไปที่ร้านขายของเผื่อมีกาแฟ 3 in 1 ให้พอชงดื่มช่วงเช้าบ้าง เจอแต่วัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้จิปาถะ และอุปกรณ์ทำน้ำอุ่น สไตล์อินเดียประดิษฐ์

⭗ มีรถประจำทางแวะเข้ามาจอดเทียบหนึ่งคันพอดี
ตอนที่ขึ้นไปที่เนินเขาด้านบนเหนือหมู่บ้าน ดูเหมือนว่าจะเห็นคู่รักต่างชาติที่ได้คุยกันก่อนขึ้นรถที่ Tabo โผล่ มาให้เห็นด้านล่าง พวกเขากำลังเดินหามุมถ่ายรูปกันอยู่เราได้แต่โบกมือให้เห็นจากข้างบน ไม่รู้ว่าขึ้นรถมาถึง ที่นี่ด้วยวิธีไหนกัน?
เนื่องด้วยความเล็กจิ๋วของหมู่บ้านก็มีแค่นี้ ภาระกิจถัดไปก็คงไม่อะไรมากแล้วนอกจากไปสอบถามข้อมูล เรื่องเที่ยวรถที่จะไปทาง Reckong Peo และประเมินการเดินเท้าจากที่พักกับจุดจอดรถประจำทางด้วยว่า ใช้เวลาเท่าไหร่ โชคดีชะมัดที่ได้เจอรถวิ่งมาเทียบจอดพอดี แต่พอคนขับเลื่อนกระจกโผล่หน้ามาคุย กลับ กลายเป็นตาลุงหนวดคนเดิมซะงั้น จะถามเรื่องเที่ยวรถแกก็จะพูดถึงเรื่องก๊ง Arak อย่างเดียว (จะบ้าตาย!) สรุปไม่ความอะไรเลย ดีที่พี่กระเป๋ารถเดินป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกล ช่วยมาให้ข้อมูลว่ามีรถไปที่ Peo มีสามรอบ ก็คือ 7.00น. / 9.00 น. / 13.00 น.
อากาศช่วงเย็น พอเริ่มมีเมฆปกคลุมเยอะขึ้น ๆ มันก็รู้สึกถึงความหนาวยะเยือกที่คืนนี้จะต้องเจอแน่นอน แม้จะมีแววเป็นกลุ่มเมฆฝน แต่เราเชื่อว่าพื้นที่แบบนี้ฝนไม่ค่อยตกอยู่แล้ว...ระหว่างที่เดินคิดอะไรเพลิน ๆ ในช่วงขากลับที่จะเดินยาวไปจนถึงที่ตั้งวัด ก็มีรถคันหนึ่งหยุดจอดลง คนขับตะโกนเรียกเราให้ติดไปลง หมู่บ้านด้วยกัน ที่รถนั่นมีหญิงชาวบ้านนั่งอยู่ด้วยสองรายก็เลยตกลงติดรถไปกับพวกเขา จากที่ตอนแรก พี่คนขับจะไปไกลแค่โซนตลาดเพราะทุกคนจะไปลงที่นั่นกัน ส่วนวัดจะอยู่ไกลกว่านั้นอีก แต่เขาก็พาไป ส่งถึงที่คุยกันไปคุยกันมา อ๋อ...คน Tapri บ้านเดียวกับแฮปปี้นี่เอง

⭗ ลานจอดรถหน้าวัด ดูเหมือนในช่วงเวลานี้จะไม่ค่อยมีคนแวะมากันแล้ว

⭗ สถูปโบราณด้านนอกวัดและเมฆฝนที่ปกคลุมในช่วงเย็นของวันนี้
Lotsava Jhakang เป็นชื่อจริงของ Nako Monastery สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1025 ที่วิหารมีจิตรกรรมและ ปฎิมากรรมเช่นเดียวกับด้านในวัดโบราณที่ Tabo Monastery ซึ่งอายุอานามก็สร้างไล่เลี่ยกัน ช่วงที่ไปถึง มีพระรูปหนึ่งพาเข้าไปดูพื้นที่ด้านใน(ถ่ายรูปไม่ได้เช่นเคย) หลวงพี่บอกว่าวัดนี้มีพระมาอยู่ประจำเพียง 2 รูป เท่านั้น มีวาระอยู่กันคราวละหนึ่งปีก่อนสับเปลี่ยนไปยังที่อื่น ทั้งนี้พระได้แนะนำพื้นเพให้รู้ด้วยว่าที่จริงแล้ว เป็นชาว Lahaul
ยืนพูดคุยได้ไม่นานหลวงพี่ต้องขอตัวไปดูแลนักท่องเที่ยวอินเดียที่เพิ่งขับรถมอเตอร์ไซค์มาถึง พวกเขามีร่วม กันหกคนคละ ๆ กันทั้งชายหญิง เดินมาติดต่อขอพื้นที่กางเต็นท์ในบริเวณลานจอดรถสักมุม ถึงหลวงพี่จะออก ความเห็นว่าช่วงกลางคืนอากาศจะหนาวมากก็ตาม พวกเขาก็ดูบ่ยั่น "That's Okay!"

⭗ แมววัด ถ่ายจากหน้าวิหาร (Du Khang) เนื่องจากพื้นที่ข้างในไม่สามารถเก็บภาพได้

⭗ พระผู้ดูแลสถานที่ กำลังเดินออกไปจัดหาจุดพักให้กับกลุ่มนักขี่มอเตอร์ไซค์ชาวอินเดีย

⭗ ชาวบ้านสองราย กำลังยืนสวดมนต์ร่วมกัน
พื้นที่เขตเงาฝน
เรารีบเดินออกจากวัดก่อนหกโมงเย็น กลัวไม่มีแสงหลังจากนี้ ทันเห็นผู้หญิงชาวเมืองสองรายมายืน สวดมนต์ตรงพื้นที่นอกอาคาร กลุ่มนักบิดที่มาขอพื้นที่พักแรมได้จุดกางเต็นท์ตรงวัดหลังใหม่แถวลาน จอดรถ อากาศเริ่มเย็นเฉียบขึ้นมากหลังอาทิตย์ตก เพียงแค่มีลมพัดปะทะมาเบา ๆ ก็รู้สึกขนลุกเกรียว เดินผ่านตลาดแล้วเลี้ยวลัดเข้าไปทางโซนหมู่บ้านเก่าทะลุมายังที่พักได้ในช่วงหกโมงกว่า และต่อมา ลมก็พัดกรรโชกแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีก ไม่มีฝนตกลงแถวนี้หรอก! ใคร ๆ ก็พูดแบบนี้และเราก็เชื่อเช่นนั้น
ช่วงสองทุ่ม ในที่สุดวรุณเทพก็หลงมาเยือนจนได้ เสียงซู่ซ่าที่ดังมาจากนอกอาคารคือฝนที่กำลัง กระหน่ำลงมาในค่ำคืนนี้แบบจริงจังมากจนนึกว่าพายุเข้าและนานเสียด้วย เสื้อที่ตากไว้ตรงดาดฟ้า เปียกโชกจนไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะแห้งยังไง และกลุ่มคนที่น่าจะรู้สึกตื่นเต้นที่สุดเห็นจะเป็นพวกไบเกอร์ ที่ไปแคมปิ้งกันที่วัดในค่ำคืนนี้
"เพิ่มเติม"
+++ เอนทรี่เดิมที่เขียนแทรกถึงสำนักงาน ADC และ Inner Line Permit ที่ Kaza : https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=wachii&month=02-2023&date=28&group=23&gblog=59
+++ ค่ารถโดยสารจาก Tabo - Nako ประมาณ 75 รูปี
Create Date : 25 กันยายน 2566 |
|
0 comments |
Last Update : 26 กันยายน 2566 21:23:07 น. |
Counter : 164 Pageviews. |
|
 |
|