บันทึกส่งท้าย : มัสซูรี (Mussoorie)
ยังมีเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ผู้คนมักนิยมแวะเวียนขึ้นไปเยือนเพื่อพักตากอากาศ หนีร้อนจากพื้นที่ด้านล่าง หรือใช้เป็นสถานที่ฮันนีมูนของบรรดาคู่รักทั้งหลาย นั่นคือ มัสซูรี เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาหรือจะเรียกว่าเป็น Hill Station อีกแห่งหนึ่ง ที่ฉันรู้จักใน รัฐอุตตราขัณฑ์ (นอกเหนือไปจาก ไนนิตาล ที่เคยไปมาแล้ว) ได้ยินมาว่ามันเป็นอีกที่หนึ่งที่สวยงามเช่นกัน
และด้วยความที่มันอีกทางเลือกหนึ่งที่จะได้มีโอกาสไปเห็นแนวเทือกเขาหิมาลัย กับระยะทาง ที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงแค่ 35 กิโลเมตร เท่านั้น ฟังดูแล้วน่าจะไปถึงง่ายดี แต่หากอยู่ในเงื่อนไขที่เป็นทางขึ้นดอยเนี่ย... จงอย่าไปใช้หลักการอะไรคำนวนความน่าจะเป็นของเวลาที่จะไปถึงเลยเชียวนะ!
ก็เพราะทางมันเป็นเส้นกระยึกกระยือมากกว่าจะเป็นเส้นตรงไง
การเดินทาง
หากมาจาก เดลี ก็จะมีรถวิ่งตรงมาที่ มัสซูรี (ระยะทาง 290 กิโลเมตร) หรือถ้าเริ่มจากที่ เดห์ราดูน ก็ต้องไปที่สถานีรถไฟกันก่อน
ที่ว่ามานี้ไม่ใช่เพราะต้องนั่งรถไฟไปนะ แต่ท่ารถโดยสารสำหรับไป มัสซูรี กลับแยกตัวเป็นเอกเทศไปตั้งอยู่ที่นั่นต่างหาก
แล้วฉันก็มาเริ่มต้นที่ หน้าสถานีขนส่งเดห์ราดูน เพราะมันน่าจะมี ออโต้ริกชอว์ หรือรถตุ๊กตุ๊ก ที่แชร์ค่าโดยสารไปได้ การที่จะมองหาสามล้อที่ให้โดยสารแบบหารเฉลี่ยกับชาวบ้านเนี่ย วิธีการดูก็ต้องสังเกตผู้คนที่ขึ้นไปนั่งรอกันอยู่บนรถนั่นแหละ
แม้พวกเขาจะไม่ได้ลงที่เดียวกัน แต่ก็โดยสารผ่านไปยังเส้นทางเดียวกัน
ส่วนมากแล้วราคาจ่ายก็จะตกอยู่แค่ 10 รูปี เอง ถ้าหากเลือกเหมารถไป ค่าโดยสารก็จะเพิ่มเป็นสิบเท่าตัวเชียว
ฉันตรงเข้าไปถามสามล้อคันหนึ่ง ที่ตรงกับคุณสมบัติที่บอกไว้เป๊ะ ว่าจะผ่านไปยังสถานีรถไฟหรือปล่าว? และตอนนั้น คนขับฯ กำลังเตรียมท่าจะออกรถพอดี เขาตอบกลับมาว่าไม่ได้วิ่งผ่านไปแถวนั้น แต่เจ้าคันที่จอดข้างหน้าโน่นน่ะ จะตรงไปที่เส้นนั้นพอดี เขาชี้ให้ฉันเห็น รถสามล้ออีกคันที่จอดห่างจากตรงนี้ไปประมาณห้าเมตร และกำลังเดินเครื่องเคลื่อนตัวออกเดินทางแล้วเขาบอกให้รีบเข้าเผื่อทัน ฉันวิ่งตามไปทันทีแบบไม่ได้คิดว่าจะโดนแกล้งอำ แต่ก็ไม่ทันหรอก
รถคันนั้นขับย้ายเข้าเส้นถนนและกำลังจะเลี้ยวอ้อมไปอีกฟากแทน ฉันชะลอฝีเท้าปนอาการเซ็งนิดหน่อยที่พลาดเที่ยวรถ
ไม่ทันไร รถสามล้อคันแรกที่ฉันเข้าไปถามก็ขับสวนมาประกบด้านข้าง เขาบอกให้ฉันโดดมานั่งข้างหน้าเบียดกับผู้โดยสารอีกคนที่นั่งอยู่ก่อน เพื่อติดรถไปยังฝั่งโน้นเพราะจะวิ่งผ่านไปพอดี เขาขับตามคันที่พลาดให้ โดยบีบแตรและตะโกนบอกให้สามล้อคันนั้นให้รับฉันติดไปด้วย
หลังจากที่ลุงขับรถจอดส่ง-จอดรับผู้โดยสารระหว่างทางไปเรื่อยจนคนลงหมด และจบเส้นทางที่วงเวียนแถว ๆ หอนาฬิกา แต่ลุงเพิ่งรู้ว่าฉันได้เผลอไผลนั่งผ่าน จุดที่หมายมาไกลแล้ว (แกก็ลืม) เขาจึงเลี้ยวกลับไปส่งจนถึงท่ารถตรงสถานี รถไฟให้ เพราะเห็นว่าเป็นทางผ่านพอดี
ค่ารถเท่าไหร่คะ ?
ลุงคนขับบอก สิบ รูปี
พื้นที่ด้านหน้าท่ารถที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ จะเห็นว่าไม่ได้ตั้งติดกับถนนใหญ่
ตรงท่ารถนี้ จะมีแค่รถที่วิ่งตรงไปยังมัสซูรีโดยเฉพาะ มีรถโดยสารจอดรอเยอะไปหมด วันนี้เป็นวันอาทิตย์วันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันเห็นการยืนแถวที่แสนยาวเหยียดจากการต่อหน้าจุดจำหน่ายตั๋ว คละ ๆ กันทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และวัยรุ่น ที่จะมุ่งขึ้นไปเที่ยวกัน คงบ่งบอกได้ชัดว่ามัสซูรีคงเป็นที่นิยมไม่เบา
แต่ก็แปลกดีนะการต่อแถวของที่นี่ จะจัดแยกแถวซื้อระหว่างผู้ชายและผู้หญิง ส่วนตั๋วโดยสารจะมีเลขที่นั่งกับหมายเลขรถระบุบอกเอาไว้
ประมาณสองชั่วโมงกว่า ที่ใช้เวลาการเดินรถขึ้นบนภูเขาได้อารมณ์เมารถนิด ๆ อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็นสบายกว่าพื้นที่ด้านล่าง แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวมาก มันตั้งอยู่บนที่สูงเฉลี่ยที่ 1,800 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ด้วยความที่สถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งของเมืองนี้ค่อนข้างจะไกลจากกัน ดังนั้นพอเมื่อไปถึงยังจุดหมายปลายทางตรงหน้าท่าจอดรถฝั่ง Picture palace ก็จะเจอกับจุดบริการท่องเที่ยวที่จะมีกระดานติดบอกราคาการนำเที่ยวชม สถานที่ในอัตราต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและสถานที่ไว้ให้เลือก
ส่วนเที่ยวรถขากลับเดห์ราดูน ก็จะมีตารางแจ้งบอกว่ามีรอบกี่โมงบ้าง
บริเวณท่ารถทั้งสามแห่ง ของ มัสซูรี
ฉันแวะดูจุดบริการนำเที่ยวของที่นี่ครู่หนึ่งเท่าที่เห็นส่วนมากแล้ว ก็จะมีทั้งไปเยี่ยมชมที่ตั้งของสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ที่นี่เคยเป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับพวกทหารอังกฤษยุคอาณานิคม อีกทั้งก็ยังมี น้ำตก Kempty , เส้นทางเดินทางไกล Camel's Back, บ้านพัก เซอร์ จอร์จ เอเวอเรสต์ ในยุคสมัยที่มาทำการสำรวจอินเดีย (โครงการ Great Trigonometric Survey) ในช่วงปี 1830 1843 และสถานที่อื่น ๆ อีกเยอะแยะ
ร้าน ไข่เจียว ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอินเดีย ไม่น่าเชื่อว่ามันถูกเขียนระบุบอกไว้ในกิจกรรมที่ห้ามพลาด !?!
หากมีเวลามากกว่านี้ ฉันก็อยากจะแวะไปที่ Happy Valley ที่ตั้งแห่งแรกของชุมชนผู้ลี้ภัยชาวทิเบตมาตั้งแต่ปี 1959 ด้วย ในหนังสือบันทึกชีวิตของ เจซุน เปมา ผู้เป็นน้องสาวขององค์ทะไลลามะ ก็ได้เขียนถึงความทรงจำในมัสซูรีไว้เช่นกัน ว่ามันเป็นสถานที่ที่ทางการอินเดีย จัดรับรองให้สำหรับชาวทิเบตผู้ลี้ภัยรุ่นแรก ๆ
โดยในมุมมองแรกของ เจซุน เปมา นั้น มัสซูรี มีสถานะเป็นเมืองตากอากาศ ฟังแล้วมันก็คงเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ทีเดียว
แต่ถัดมาหลังจากนั้นไม่นานเมื่อการลี้ภัยเริ่มมีมากขึ้น รัฐบาลอินเดีย ก็ได้จัดสรรพื้นที่ให้ใหม่เพื่อทำการย้ายที่ตั้งศูนย์กลางรัฐบาลพลัดถิ่น และที่พักสำหรับองค์ทะไลลามะ ไปอยู่ยังเมืองธรรมศาลาตอนบนแทน ซึ่งมันอยู่บนเขาไกลจากผู้คนและภาพลักษณ์ที่เห็นในยุคสมัยนั้น ที่ยังมีสภาพร้างและว่างเปล่า จนแทบเรียกได้ว่าไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำภาพจาก https://thehindubusinessline.com องค์ทะไลลามะ และมารดา ที่ Birla House (Temple Tree) เรือนพักรับรองแห่งแรกในมัสซูรี
ฉันคิดว่าผู้เขียนคงน่าจะเปลี่ยนใจจากความคิดนั้นแล้ว เพราะในอีกไม่กี่สิบปีให้หลัง สภาพบ้านเมืองที่ แมคลอดกันจ์ กลับกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายที่มีผู้คน มากมายมุ่งหน้ามาเยี่ยมเยือนเสียเยอะ และดูเจริญมากเลยล่ะ ส่วนในปัจจุบันที่ Happy Valley ในมัสซูรี ยังคงมีชาวทิเบตอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ในเมื่อมีเวลาสำหรับที่นี่ไม่นานเท่าไหร่ หรือจะเรียกว่า เจียดวันมาเที่ยวแบบ One day trip ก็ไม่ผิด
หากอยากขึ้นมาดูแนวเทือกเขาหิมาลัยจากที่นี่กับจุดชมวิวที่ใกล้ที่สุด และใช้เวลาไม่มากนัก คงหนีไม่พ้น Gun Hill ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดสูงสุด อันดับสองของเมือง (รองจาก Lal Tibba) โดยตั้งอยู่บนความสูง 2,024 เมตร จากระดับน้ำทะเล อีกทั้งตำแหน่งภูเขาชื่อโหดนี้ก็ตั้งอยู่แค่ตรงใจกลาง Mall road นี่เอง
การเดินเท้าขึ้นไป ก็อาจต้องใช้เวลาขั้นต่ำราว ๆ 20 นาที ถ้าเกิดอยากจะผ่อนแรงก็จงนั่งกระเช้า(ropeway)ขึ้นไปแทนดีกว่า
( ราคาตั๋ว ไป-กลับ 75 รูปี )
ส่วนที่มาของชื่อ Gun Hill นั้นก็คือ ที่ตรงนี้เคยใช้เป็นฐานที่ตั้งปืนที่ใช้ยิงบอก เวลายามเที่ยงตรงของทุกวัน ในยุคสมัยที่อินเดียอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ แต่ปัจจุบันก็ไม่มีปืนตั้งทิ้งไว้ให้เห็นแล้ว คงเหลือไว้แค่ชื่อเท่านั้น
บริเวณลานด้านบนนี้ยังมีร้านอาหารเล็ก ๆ ตั้งเรียงรายเยอะแยะ มีเครื่องเล่น- สำหรับเด็ก ลานกิจกรรมต่าง ๆ รวมไปถึงบริการเช่าชุดพื้นเมืองถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ภาพของเมือง เมื่อได้มองลงมาจาก Gun hill ตั้งใจมาดูแนวเทือกเขาที่ตั้งอยู่ไกล ๆ ส่งท้าย มันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีใจที่ได้กลับมาเห็น
ส่วนบริเวณพื้นที่อื่น ๆ แถวถนนคนเดิน ตรงฟาก Library และ Gandhi Chowk นอกจากจุดชมวิวก็เต็มไปด้วยแหล่งจับจ่าย ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
จากแผนที่ ตรงฝั่งนี้ จะมีท่าจอดรถโดยสารเช่นกัน หากนั่งรถมาจากเมืองอื่นก็อาจต้องตรวจสอบปลายทางกันด้วยว่าจะไปลงที่ไหน เพราะระยะทางจากฝั่ง Library กับ Picture palace ก็ดูห่างกันไกลโขอยู่
ในช่วงขากลับฉันจำเป็นที่จะต้องเดินย้อนทางไปที่ท่ารถเดิม แต่ครั้งนี้จะใช้เส้นทางถนนด้านล่างแทนทางเก่าก็เลยบังเอิญได้เจอ กับงานเทศกาลบางอย่างเข้ามีการแสดงบนพื้นที่ถนน และลานเวทีกิจกรรม ที่ตั้งห่างไม่ไกลกันออกไป
ดูเหมือนว่าที่มัสซูรีจะเป็นที่ตั้งศูนย์การฝึกของเหล่า I.T.B.P. หรือตำรวจ ชายแดน อินเดีย ทิเบต (Indo-Tibetan Border Police) เสียด้วย วันนี้พวกเขามาจัดแสดงโชว์การไต่ผาและศิลปะการต่อสู้ ให้ได้ชมกัน มันก็ทำให้ฉันนึกไปถึงเฮียปราดัม ตำรวจชายแดนฯ จากจันดิการ์ ที่พานั่ง ท้ายรถกระบะออกมาจากหมู่บ้านจิตกุลทันทีเลย
แต่ฉันคงไม่มีโอกาสได้เจอเฮียที่งานนี้หรอก เพราะอยู่คนละเขตความรับผิดชอบกัน
ส่วนพื้นที่ตรงลานเวที ก็เป็นการแสดงพื้นเมืองของ ชาวการ์ฮาวลี พวกเขาแต่งตัวกันไม่ฉูดฉาด ฟู่ฟ่า แบบภาพอินเดียในราชาสถาน แต่ฉันก็คุ้นเคยกับภาพและเสียงเพลงแบบนี้มากกว่านะ บนเวทีนั้น มีวงดนตรีและนักร้องกับทีมร้องประสานที่ฟังดูแล้วก็คึกคักไม่เบา
มาครั้งนี้ฉันพูดถึง การ์ฮวาล ค่อนข้างบ่อย คงเพราะมาเยือนรัฐอุตตราขัณฑ์ แค่ฟากฝั่งเดียว ด้วยความที่รัฐนี้จะแบ่งภูมิภาคออกเป็นสองฝั่ง หากนับจากที่ไล่มาตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็จะมี
ริชชิเกช อุตตระกาสี กังโกตรี เดวปรายัค และ สุดท้ายก็วกกลับมา ต่อที่ มัสซูรี ความต่างเชิงวัฒนธรรมของ Kumaon และ Garhwal ลึก ๆ แล้วฉันยังแยกไม่ออกหรอก แต่ก็มีคนช่วยอธิบายโดยคร่าวถึงเรื่องนี้ ว่าทั้งสองภูมิภาคต่างก็มีภาษาถิ่นที่ใช้คนละภาษา
ฉันคงอยากหาทางกลับไปสำรวจใหม่อีกครั้ง มากกว่าที่จะมานั่งเปิดตำราเสียแล้วล่ะสิ ...
การเล่าเรื่องถึงอินเดีย น่ะเหรอ? ที่จริงมันง่ายนะ ถ้าอยากเขียนให้ถูกใจใครหลายคนที่มักจะมีสิ่ง ที่คาดหวังหรือคำตอบล่วงหน้าจากผู้อ่านอยู่ไม่กี่อย่างกับเรื่องราว ของประเทศนี้ในเงื่อนไขที่ว่า...
"อลังการ ศิลปะ งามตา ปรัชญา สูงล้ำเลอค่า จาริก แสวงบุญ นำพา และสุดท้ายก็จบลงที่ นินทาแขก" ดูแล้วก็เป็นเหมือนสูตรสำเร็จรูปเลย จริงมะ ?
ย้อนความเดิมจากครั้งก่อน หลังจากนั่งรถไฟจาก อัจมีร์ มาลงยัง หริดวาร์ ฉันก็กลับมาพักที่ ริชชิเกช อีกครั้ง และใช้เวลาออกเดินทางไป มัสซูรี เพียง แค่ไปเช้าเย็นกลับ เพราะค่าที่พักที่นั่นค่อนข้างแพงเอาการ...
ส่วนริชชิเกช หรือที่คนไทยชอบเรียกว่า ฤาษีเกศ เนี่ย การจงใจเลือกที่จะกลับมาคงอาจเพราะชอบความเงียบสงบ โดยสภาพแวดล้อมของตัวพื้นที่นี้ด้วย แม้อาจจะไม่ใช่ที่สุดก็ตาม ถึงจะยังมีพลังบ้าเที่ยวตะลอน ๆ ได้อีกไกลหรือควรจะไปที่อื่นมากกว่า แต่คนเราก็ต้องมีจุดหนึ่งบ้างแหละ ที่อยากพักในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง
ภาพริมฝั่งแม่น้ำคงคา ที่ริชชิเกช ยามเช้าฉันลองเดินเลียบเส้นทางจากรามจุฬาขึ้นไปเรื่อย จนกระทั่งมาถึงมุมเล็ก ๆ แห่งนี้ ก็จะมองเห็นที่ตั้งของวัดที่ติดกับสะพานลักษมัณจุฬา ดูเหมือนว่า สีของแม่น้ำจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล
เช้าวันสุดท้าย ฉันออกมาคืนกุญแจห้องพักให้กับลุงรามจี คนดูแลอาศรม ตามที่นัดบอกไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เพราะฉันจะต้องนั่งรถเดินทางไปเดลีแต่เช้า เพื่อนั่งเครื่องกลับบ้านในค่ำวันเดียวกัน
"ลุง จำฉันได้ไหมเนี่ย?"
ก่อนที่ฉันจะย้ายออกไปหนก่อน รามจีได้ให้เบอร์ติดต่อทาง whatsaap ไว้ เผื่อหากฉันอยากกลับมาที่ริชชิเกช ก็ลองติดต่อเรื่องที่พักผ่านทางนี้ได้ แต่เมื่อวันที่ฉันกลับมาพักที่อาศรมอีกครั้ง ก็กลับไม่ได้เจอกับรามจีตามที่คาด กระทั่งวันสุดท้าย ถึงจะได้เห็นลุงกลับมานั่งทำหน้าที่ดูแลที่พักเหมือนเดิม
"แน่นอน...จำได้สิ"
ลุงมองหน้า ก่อนที่จะพูดบางอย่างเพื่อยืนยันกลับมา
"เธอเป็นคนที่ชอบพูดตอบรับด้วย จี เสมอ... จี - จี ฮานจี"
ฉันหลุดขำขึ้นมาทันที เออ จริงด้วย ! นี่ฉันคงใช้คำนี้พูดบ่อยครั้งกับทุก ๆ คน จนชินปากแบบไม่รู้ตัวเสียแล้ว
"จงพูดไปเถอะ มันเป็นคำสุภาพ มันเป็นคำที่ดี"
ลุงรามจี บอกทิ้งท้าย
หนึ่งปีผ่านไป ฉันไม่ได้กลับไปที่อินเดียอยู่ดี แต่ก็ยังรับข่าวหรือติดต่อเพื่อน ที่เคยเจอระหว่างการเดินทางอยู่บ้าง หนึ่งในนั้นก็มีเพื่อนต่างชาติที่เคยเจอ ที่ธรรมศาลา ปีนี้เขาวกกลับมาที่นี่อีกในช่วงเวลาเดิมซึ่งน่าจะเป็นหนที่สิบได้
ตกช่วงเวลาหัวค่ำคืนวันที่ 8 พฤศจิกายน (2016) มีข่าวเรื่องการระงับใช้ธนบัตรมูลค่า 500 และ 1,000 รูปี เพื่อจัดการปัญหาเรื่องเงินนอกระบบ เงินเถื่อน แบบสายฟ้าแล่บ ซึ่งประกาศนี้จะมีผลบังคับใช้ทันทีในเวลาหลังเที่ยงคืน
บรรดาผู้ที่ถือครองธนบัตรเหล่านี้ หากไม่เอาไปเข้าธนาคาร ก็ต้องนำเงินไปแลกเปลี่ยนตามช่วงเวลา และตามจำนวน ที่มีจำกัดในแต่ละวัน รวมไปถึงการใช้บริการตู้กดเงินสด
หลังรู้ถึงข่าวนี้ ฉันแอบค้นดูเงินรูปีที่ยังมีติดค้างพกไว้อยู่
ค่อยยังชั่ว ที่มันเป็นแบงค์ร้อยสามใบ
......
ปลายเดือนพฤศจิกายน (2016) เพื่อนคนที่ว่าเพิ่งเดินทางกลับมาจากเนปาล และได้ย้อนขึ้นมาพักอาศัย ที่แมคลอดกันจ์ ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะมุ่งหน้าลงใต้เพื่อหนีหนาวในช่วงเดือน ธันวาคม เขายังคงได้ส่งข่าวมาเล่าเรื่องการเดินทางให้ฟังเช่นเคย
"สวัสดี
เธอมีแผนจะกลับมาอินเดียปีหน้าหรือปล่าว ช่วงที่แวะไปพุทธคยา เห็นคนทิเบตมาร่วมพิธี Kalachakra กันเต็มไปหมด
เมื่อวานนี้ ตอนเดินอยู่ก็เจอคนมาทักทายฉันกลับว่า สวัสดีค่ะ ด้วยนะ ตลกดี
ส่วนที่เนปาลครั้งนี้ ฉันไปเพื่อร่วมงานพิธีทางศาสนาเป็นหนแรก เห็นกลุ่มคนไทย อินโดนีเซีย แล้วก็คนทิเบต อย่างเยอะ
พอย้อนกลับมาอินเดีย รถไฟที่นั่งมาจาก Gorakhpur กว่าจะมาถึง Pathankot เลทไป 21 ชั่วโมง
ตู้ ATM ที่ แมคลอดกันจ์ กับเงินที่จะกดออกมาแค่ 2,000 รูปี ช่วงนี้ ก็ต้องรอนานเป็นชั่วโมง
ฟังดูแล้วน่าปวดหัวแต่ฉันก็คิดว่า นี่คือเรื่องปกติของอินเดีย..."
อื่น ๆ
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2560 |
|
24 comments |
Last Update : 7 มกราคม 2561 9:58:01 น. |
Counter : 5733 Pageviews. |
|
|
|
อยากไปร้านไข่เจียวหละ 555 ทำไมง่าา ไม่เห็นแปลกเลยยย ร้านอร่อยๆ ก็ต้องเป็นกิจกรรมที่ต้องทำสิ (สายกินสนับสนุนเต็มๆ)
เรื่องเงินรูปีมีคนบ่นเยอะเหมือนกัน นี่เพื่อนบางคนก็เก็บเอาไว้อยู่นะ ไม่ได้ไปแลกแหละ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
toor36 Education Blog ดู Blog
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น