KINNAUR : Sangla Valley
ในเขต (Lower) Kinnaur ฉันเลือกเดินทางมาตั้งหลักที่ซังกลาเป็นเมืองแรก มันอยู่ห่างไปจากตัวเมืองชิมลาประมาณ 215 กิโลเมตร แต่ก็ต้องใช้เวลานั่งรถ ยาวนานถึง 10 ชั่วโมง นั่นก็เท่ากับว่าเมื่อวานนี้ฉันได้นั่งรถฟรีซะคุ้มเลย
พื้นที่แถบนี้ดูเหมือนจะไร้สิ่งจูงใจต่อการเดินทางมากมาย แต่หลายคนที่เคยผ่าน มาก่อนก็มักจะพูดให้ฟังเสมอว่า นอกเหนือไปจากหุบเขาสปิติแล้วก็ควรจะแวะมา ที่คินนัวร์ด้วย
ช่วงเก้าโมงเช้า ฉันได้ออกไปเตร็ดเตร่ตามทางถนน ในแบบที่ไม่ค่อยมีจุดหมาย เท่าไหร่ และในระหว่างนี้ก็เริ่มมีพวกเด็กนักเรียนเดินสวนผ่านมาเรื่อย ๆ การที่ได้มาถึงจุดหมาย แล้วยังต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ไปไหนดี? ฟังดูแล้วก็แทบจะไม่ต่างกับ 'ตายแล้วไปไหน?' ยังไงก็ไม่รู้สิ
"Han ji?" ฉันเริ่มต้นทักทายพี่น้องคู่หนึ่งที่กำลังนั่งนั่งพักตรงริมทางเดิน และคำที่ใช้ในสถานการณ์นี้ หากจะแปลแบบคร่าว ๆ ก็คงประมาณว่า "ไง?"
"นมัสเต" พวกเด็กดูกระตือรือล้นที่จะทักกลับ ดูทีท่าแล้วเราอาจจะคุยกันต่อได้ยาวเลยล่ะ
"พวกเรากำลังจะไปโรงเรียนกันครับ" หิมานชู และวิชาล สองพี่น้องที่มีอายุห่างกัน 4 ปี กำลังเริ่มทำความรู้จักกับคน แปลกหน้าอย่างไม่ค่อยขัดเขินเท่าไหร่ แม้เขาจะพยายามบอกว่าพูดภาษาอังกฤษ ไม่ค่อยดีนัก - โอ๊ย...พวกหนูฟังพี่พูดรู้เรื่องก็เทพแล้วลูก 555
vichal และ Himanshu สองพี่น้องที่ได้เจอในซังกลา
ฉันยังไม่เคยเห็นที่ตั้งของโรงเรียนในท้องถิ่น ก็เลยอยากรู้ว่ามันอยู่ไกลหรือปล่าว พวกน้องบอกว่า ห่างจากตรงนี้ไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร - ฉันเลยขอตามไปด้วย เผื่อฟลุ๊คได้เจออะไรที่น่าสนใจระหว่างทางบ้าง เจ้าเด็กเล็กที่ชื่อ'วิชาล' ยื่นลูกแพร์ ที่พกมากินยื่นส่งให้ฉัน พร้อมกับพูดสั้น ๆ ว่า "ให้กิน" ฉันไม่อยากรับมาเท่าไหร่และบอกวิชาลไปว่าเก็บไว้กินเองเถอะ แต่ถึงอย่างนั้น น้องก็ไม่ยอมรับคืนเขายืนยันที่จะ 'ให้'
รู้สึกแปลก ๆ นะ ก็เพราะสถานะของคนให้มันควรจะ 'นักท่องเที่ยว' ไม่ใช่หรอ?
"ขอบใจนะ" ในที่สุดแล้วฉันก็หยิบเอาลูกแพร์ผลนั้นมาเก็บใส่กระเป๋าผ้า และรับปากว่าจะกินมันภายหลังแน่นอน
แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมเราถึงมองว่า พวกเขาอยากจะเป็นแต่ 'ผู้รับ' ฝ่ายเดียว เพียงเพราะแค่อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารด้วยล่ะเนี่ย?
....
หลังจากที่เดินไปได้ครึ่งทางก็มีน้อง นายาติ เด็กหญิงวัย 11 ขวบ มายืนรอสองคนนี้เพื่อร่วมเดินไปโรงเรียนพร้อมกัน เธออายุเท่าวิชาล แต่ดูตัวสูงกว่านิดหน่อย
เราเดินทางผ่านแคมป์คนงาน จนกระทั่งทะลุมาถึงที่ตั้งของโรงเรียนขนาดเล็ก
ในช่วงเวลานั้น เหล่าเด็กนักเรียนที่แต่งตัวในเครื่องแบบชุดเดียวกัน ต่างพา กันมาวิ่งเล่นกันที่กลางลานเพื่อรับแดดกัน ...หลายคนต่างแปลกใจที่เห็นคน แปลกหน้าโผล่มา และถึงแม้ว่าฉันจะอาจไม่ได้มีหน้าตาแปลกไปจากคนที่นี่นัก แต่ก็ดูเป็นจุดสนใจของพวกเขาไม่น้อย ฉันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมีผิวสีคล้ำและมีตาเล็กเหมือนตัวเองเด๊ะ ๆ ก็เลยอดถามไม่ได้ว่า เป็นชาว Kinnauri แน่รึ? พวกเด็กคนอื่นต่างขำกันลั่น "ม่ายช่าย ...ยัยนี่เป็น เนปาลี!"
หิมานชู คงมีหน้าที่ดูแลอาคารสถานที่เพราะถือกุญแจของโรงเรียนไว้กับตัว เขาเดินไปเปิดชั้นเรียนที่มีอยู่เพียงสามห้อง เพื่อให้เพื่อน ๆ เอาข้าวของไปเก็บ ก่อนที่จะมาเปิดห้องพักครู เด็กหญิงคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เชิญธง ได้หยิบเอา ธงชาติอินเดียที่พับเก็บไว้ เป็นลายคาดสามสี ส้ม ขาว เขียว ที่ตรงกลางมี สัญลักษณ์ธรรมจักร พวกน้องได้พูดบอกถึงความหมายบนธงชาติให้ฟังก่อนถือ หอบออกไปด้านนอกเพื่อเตรียมนำขึ้นสู่ยอดเสา
เด็กนักเรียนทั้งหมด พากันออกไปยืนบนลาน แม้จะยังมีท่าทีตื่นเต้นกับคนต่างถิ่น และไม่มีกระทั่งคุณครูที่มามาคุมความเรียบร้อยในตอนนี้ก็ตาม พวกเขาทั้งหลาย ก็ยังไปยืนตรงเคารพธงชาติ ร้องเพลง "Jana Gana Mana" กันตามหน้าที่ ก่อนที่ จะพากันโดดลงมาด้านล่าง...
หลังเพลงชาติอินเดียจบไป สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดก็บังเกิดขึ้น เมื่อพวกน้องดันขอให้ฉันร้องเพลงชาติไทยให้ฟังบ้าง
หือ...จะดีเรอะ? ทำไมถึงได้รู้สึกว่า การยืนร้องเพลงชาติคนเดียว มันช่างยากจังเลย แหะ ๆ
เด็ก ๆ ต่างพากันหัวเราะที่ฉันยืนร้องออกเสียงแบบกระท่อนกระแท่น (เขินอ่ะ) ไม่แน่ใจว่าได้โค้งตัวตอนร้องจบด้วยรึปล่าว เพราะหลังจากนั้นก็มีคนมาแย่งซีน... จากการปรากฏตัวของคุณครูท่านหนึ่ง ที่ช่วยทำให้พวกเราเข้าสู่ความสงบโดยไว
นักเรียนทั้งหมดต่างแยกย้ายไปเข้าชั้นเรียนโดยอัตโนมัติ และที่น่าแปลกใจนิดหน่อย ก็เพราะวันนี้มีครูมาสอนแค่หนึ่งคนเท่านั้น
วันนี้เป็นวันเสาร์ เด็กนักเรียนจะต้องทำความสะอาดห้องเรียนกันก่อนเข้าเรียน- คาบแรก พวกเขาพากันมาเบิกอุปกรณ์ฯ ที่ห้องพักครูและลงแรงจัดโต๊ะ เช็ดพื้น เคาะแปรง ปัดกวาด กันให้ฝุ่นตลบ
คุณครูกับฉันได้มานั่งคุยกันที่ห้องพักครู โดยได้ฟังถึงการเรียนการสอนและ เรื่องทั่วไปของสภาพพื้นที่และความเป็นอยู่ของชาวคินนัวร์ เป็นการขั้นเวลา ระหว่างรอเด็ก ๆ ทำความสะอาด
ที่นี่เป็น โรงเรียนระดับประถมศึกษาเพียงแห่งเดียวในซังกลา มีครูผู้สอนเพียงแค่ สามคน และมีนักเรียนจำนวนทั้งสิ้น 49 คน ซึ่งพวกเด็กโตก็ต้องทำหน้าที่สอน เด็กเล็กแทนครูในบางครั้ง ส่วนที่วันนี้ไม่ได้เจอครูคนอื่นก็เพราะพวกเขาลาหยุด ไปฉลองงานเทศกาลดิวาลี
"เราเปิดเรียนวันจันทร์-เสาร์ แต่ก็มีวันหยุดเยอะเหมือนกัน อย่างวันสำคัญ ทางศาสนา,วันชาติ,วันนักขัตฤกษ์ แล้วก็จะปิดเรียนในช่วงฤดูมรสุม..."
ครูหยิบแอปเปิ้ลจากตู้เก็บมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมหยิบมีดมาปอกระหว่างที่พูด- อธิบายให้ฟัง จากนั้นก็หั่นแบ่งมาให้ฉันได้กิน มันคือแอปเปิ้ลที่เพิ่งออกตามฤดู ชิมแล้วน้ำตาแทบไหล ... ที่ผ่านมาฉันได้กินแต่ที่มันเคลือบแว๊กซ์ที่ผิวและเก็บ ข้ามปีรึเนี่ย???
เขาบอกว่าคินนัวร์ เป็นแหล่งเพาะปลูกแอปเปิ้ลที่มีชื่อเสียงของอินเดียเชียวล่ะ เพราะความสูงของพื้นที่,ดินที่สมบูรณ์ และสภาพอากาศที่เหมาะสมก็เลยได้ ผลผลิตที่มีรสชาติดี
ก่อนที่จะออกไปจากโรงเรียน ครูก็ให้ติดกระเป๋ามาอีกสี่ผล แต่ฉันยังลังเลที่จะรับเอาไว้เหมือนเคย...
"ไม่ต้องกังวลหรอกเรามีเก็บไว้เยอะ เอาพันธุ์สีทองไปด้วยนะตอนนี้กำลังนิยม"
เรื่องของเจ้าผลไม้เมืองหนาว ที่เพาะปลูกกันในอินเดียชนิดนี้ มันก็มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจไม่น้อยนะ แอปเปิ้ล ในภาษาฮินดี ถูกเรียกว่า "เซ็ป" (सेब) พืชผลทางการเกษตรต่างถิ่น ที่ต่อมาได้กลายเป็นของขึ้นชื่อประจำ รัฐหิมาจัลประเทศ หากมองจากภาพโลโก้ของรัฐนี้ เราก็จะได้เห็น องค์ประกอบหลักที่โดดเด่นสามสิ่ง นั่นคือ ภูเขาที่มีหิมะปกคลุม,ต้นดีโอดาร์ (ซีดาร์หิมาลัย) และผลแอปเปิ้ล
การขนส่งผลไม้บรรจุลังจากพื้นที่สวนด้านบนลงมายังด้านล่าง จะใช้ 'รอกเลื่อน' ในการทุ่นแรง
แรกเริ่มเดิมที การเพาะปลูก 'แอปเปิ้ล' ในอินเดีย นั้นได้เริ่มต้นขึ้นในบริเวณ หุบเขากุลลู (Kullu) เมื่อปี ค.ศ. 1870 โดยอังกฤษ แต่สายพันธฺุ์เหล่านั้นกลับมีรสชาติที่ไม่ดีนัก ในขณะที่แอปเปิ้ล ที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นนั้นมีรสหวานกลับเป็นที่นิยมมากกว่า
กระทั่งในปี ค.ศ. 1916 ได้มีการนำเมล็ดพันธุ์ของแอปเปิ้ลรุ่นแรกจาก สหรัฐอเมริกา อย่าง Red delicious และ Golden delicious มาเพาะปลูกบนรัฐแห่งนี้ โดยเริ่มจากพื้นที่ภูเขาใน Kotgarh ของชิมลา โดยชาวอเมริกันผู้ได้รับฉายาว่า "Apple Man" นามว่า Samuel Evan Stokes(1) (หรือ Satyanand Stokes ที่มาเปลี่ยนในภายหลัง) เพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้ ผู้คนที่อยู่ตามพื้นที่ภูเขา
Samuel Evan Stokes
หลังจากผลผลิตรุ่นแรกที่ส่งออกขายใน ค.ศ. 1926 และมีการตอบรับของตลาดค่อนข้างดี ทำให้ต่อมาก็มีการขยับขยายพื้นที่ การปลูกในภูมิภาคแถบนี้ไปเรื่อย และภายหลังปี ค.ศ.1932 เป็นต้นมา แอปเปิ้ลจากญี่ปุ่นก็ถูกหยุดนำเข้าหลังจากนั้น
....
Kamru Village
ถัดจากท่ารถไปประมาณสองกิโลเมตร จะมีหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนภูเขาชื่อว่า Kamru บนจุดสูงสุดของที่นั่นมีป้อมไม้เก่าแก่ตั้งหราอยู่ ที่ก็ไม่ถึงกับเด่นชัดเสียเท่าไหร่ ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็อาจพลาดไปได้ เพราะจากเท่าที่เดินสำรวจเมืองมา ที่นี่กลับ ไม่มีป้ายติดบอกทางไปสถานที่สำคัญเอาไว้สักแห่ง
ตรงด้านหน้าประตูทางขึ้น จะเป็นซุ้มที่มีหน้าตาเหมือนงานศิลปะฝั่งจีนมากทีเดียว เมื่อได้มองเห็นครั้งแรกแทบงง กับงานสิ่งก่อสร้างแถบนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปทรง- หลังคา และภาพมังกรคู่ขนาบข้าง ช่างเป็นปฏิมากรรมท้องถิ่นที่ดูไกลเกินกว่า จะนึกออกว่าเป็นอินเดียซะจริง
ทั้งนี้พวกเขายังถือว่า nages หรือที่แปลว่า งู มีสถานะของ เทพเจ้า ่เช่นเดียวกับวัฒนธรรมในเขตภูมิภาคที่อยู่ตามแถบเทือกเขาหิมาลัยอีกด้วย(2)
ภาพแกะสลักประตูไม้ ที่ดูเหมือนจะเป็นรูปเทพเจ้าของฮินดู
บริเวณวัดด้านบนที่เป็นทางผ่านเชื่อมต่อไปยังที่ตั้งของป้อมฯ ฉันต้องมาสะดุดกับหน้าตาของประตูทางเข้าวัดอีก ก็เพราะมีการแกะสลักภาพ เทพเจ้าแบบฮินดู ประกอบกับลวดลายศิลปะที่ดูสวยแปลกตา ส่วนพื้นที่ด้านใน ก็เป็นเทวสถานที่ผสมผสานความเชื่อระหว่างพุทธและฮินดู
และทั้งนี้ Kinnuar ได้รับฉายาว่าเป็น "ดินแดนแห่งเทพเจ้า" พวกเขามีศาสนาดั้งเดิมที่นับถือภูติผีวิญญาณหรือที่เรียกว่า Shuism มาก่อน โดยในภาษาถิ่นของจะใช้คำเรียกแทน "เทพเจ้า" ว่า "Shu" แต่ภายหลังก็รับอิทธิพลจาก ฮินดูและพุทธ (แบบทิเบต) เข้ามาอีกต่อ
แล้วฉันก็เดินมาถึง กำแพงที่ล้อมเขตของป้อม ที่ไม่ไกลไปจากวัดนัก มันดูโบราณ และลึกลับไปเสียหน่อย โดยกำแพงนั้นถูกก่อกั้นแผ่นหิน ส่วนประตูทางเข้าเป็น โลหะที่มีการสลักลาย และก็มีกฏข้อห้าม 3 ข้อ ที่ติดบอกไว้ด้านหน้า
1.ห้ามเข้าไปโดย ไม่มีหมวกและสายรัดเอว 2.ห้ามสวมรองเท้า 3.ห้ามสตรีที่กำลังมีรอบเดือนเข้าไปด้านใน
หลังจากที่ฉันผลักประตูโลหะเพื่อเปิดออก ก็เจอกับผู้ชายสี่คน ที่ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้า ผละตัวออกจากการเล่นไพ่ชั่วขณะ
"อ่านกฏแล้วใช่ไหม?" พวกเขาถามก่อนที่จะอนุญาตให้เข้าไปยังพื้นที่ส่วนในแบบไม่อ้อมค้อมมากนัก ฉันตอบรับว่าอ่านมาแล้วเรียบร้อย พวกเขาจึงส่งหมวกเขียวและสายผูกเอวให้ พร้อมกับบอกให้เขียนชื่อเข้าเยี่ยมในสมุดบันทึกไว้
ทั้งนี้ไม่มีการเก็บเรียกเงินเพิ่ม และสามารถนำกล้องเข้าไปได้
Kamru fort
หมู่บ้าน Kamru เคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร Bashahar มาก่อน และโบราณสถาน ที่ยังหลงเหลืออยู่หากไม่นับเทวสถาน ก็เห็นจะเป็น ป้อมไม้โบราณทรงสูงนี่แหละ - ส่วนพื้นที่ด้านในจะไม่มีการเปิดให้เข้าชมนะ ดังนั้นจากที่เข้าไปเยี่ยมชมบริเวณด้านในกำแพง ก็มีภาพให้เห็นเพียงเท่านี้ค่ะ
ภาพจากบริเวณ พื้นที่ตั้งของป้อมโบราณ - จะเห็นที่ตั้งเรือนไม้เล็ก ๆ ที่มีรูปทรงหลังคาโค้งแอ่นตรงช่วงปลาย ถูกมุงด้วยแผ่นหิน และที่กลางหลังคา จะมีการทำยอดทรงกรวยคว่ำเพิ่มเติม
นี่ก็น่าจะเป็นที่ตั้งของ วัดหรือเทวสถานเก่าอีกหนึ่งแห่ง บริเวณทางเดินลงเขา ที่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถูกทิ้งร้างเอาไว้
ระหว่างลงเขาที่เดินลัดออกมาอีกฝั่ง ได้เจอกับคนเลี้ยงสัตว์ที่กำลังต้อนฝูงแกะกลับเข้าคอกพอดี
ภาพที่ตั้งหมู่บ้าน Kamru ในอีกมุมหนึ่ง
บ่ายสามโมงกว่า นี่คงเป็นเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันเดินผ่านร้านหมี่ผัดที่ฝากท้อง ไว้เมื่อคืนวาน เพื่อย้อนไปดูหมู่บ้านด้านล่างอีกที่หนึ่ง ก็ยังแอบไปเห็นเด็กเนปาลี ผมหยิกยุ่งคนนั้นกำลังสาละวนกวาดพื้นหน้าร้านอยู่ ก็ยิ่งสงสัยว่าน้องมันคงไม่ได้ ไปโรงเรียนตามที่คาดไว้ ถึงการเล่าเรียนอาจไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตไปสักทุกเรื่อง แต่มันก็ยังมีตัวเลือกอื่นให้เราได้รู้จักการใช้ชีวิตไปมากกว่าที่เป็นอยู่นะ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าน้องจะต้องอยู่แต่ในครัวเพื่อผัดหมี่ไปอีกนานแค่ไหนกัน?
ที่ตั้งของหมู่บ้านที่อยู่ด้านล่าง
กลุ่มเด็กจากโรงเรียนที่แวะไปเยี่ยมเมื่อเช้ากำลังเดินทางกลับบ้านกัน พวกเขา- ต่างส่งเสียงทักทายเรียกฉันว่า ดีดี้ ไปแทบตลอดทาง ก็แอบเสียดายที่ไม่เจอกับ หิมานชูกับน้องอีกครั้ง เพราะบ้านของพวกเขาอยู่ห่างไกลจากนี้ไปเยอะ
นอกเหนือไปจากสิ่งก่อสร้างที่ซุกซ่อนอยู่ตามมุมเล็ก ๆ ของเมืองแล้ว ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักว่า ซังกลา จะมีอะไรน่าสนใจไปมากกว่านี้ไหม?
แต่ถึงอย่างนั้น... เมื่อมีโอกาสหยิบเปิดภาพการเดินทางมาย้อนดูยามคิดถึงทีไร ที่นี่กลับมีช่วงเวลาดี ๆ มากมายที่ทำให้เราแอบยิ้มได้อยู่เสมอ
หลังจากไปยืนดูการเก็บแอปเปิ้ลที่สวนแห่งหนึ่ง คุณป้า ที่ทำสวนฯ ก็ได้ยื่นแบ่งมากินให้อีกสามผล
แอปเปิ้ลที่ได้รับปันส่วนมาในวันนี้ และ ลูกแพร์ของน้องวิชาล
เด็กนักเรียนและคุณครู ที่โรงเรียนประถม " อื่น ๆ "
(1) Samuel Evan Stokes
(2) Nages and Narenas Cult
Create Date : 04 มิถุนายน 2559 |
Last Update : 26 เมษายน 2561 9:35:06 น. |
|
32 comments
|
Counter : 1972 Pageviews. |
|
|
อ่านทุกคำเลยค่ะ..สนุก
เหมือนกับไปเที่ยวด้วยเลย
น้ำใจชาวอินเดียชนบทก็มีสำหรับนักเดินทางนะคะ
โหวตให้ค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
kwan_3023 Literature Blog ดู Blog
raknakubkondee Literature Blog ดู Blog
tangkay Dharma Blog ดู Blog
Close To Heaven Travel Blog ดู Blog
kae+aoe Parenting Blog ดู Blog
ร่มไม้เย็น Dharma Blog ดู Blog
Rinsa Yoyolive Travel Blog ดู Blog
เนินน้ำ Food Blog ดู Blog
ชีริว Funniest Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog