ซาราฮัน...อยู่ไกลจากแยกเจอรี่เพียง 18 กิโลเมตร
ประตูสู่คินนัวร์ได้เริ่มต้นขึ้นจากที่นี่ และฉันก็ได้มาสิ้นสุดการเดินทาง
สำหรับพื้นที่ของชนเผ่าหมวกเขียวลง ณ เมืองนี้เอง
......
และการเดินทางไปยังที่หมายสุดท้าย มันก็ยังคงอิลุกขลุกขลักเช่นเคย
ที่ กัลป้า ในยามเช้าตรู่... ไม่มีรถโดยสารวิ่งตามคาด!
หลังจากรอรถนานเกินครึ่งชั่วโมงไปแล้ว ฉันเลยต้องตัดใจเดินลงมาจากที่นั่น
ด้วยเท้านั่นแหละเพราะจะไม่ว่าจะเสียเวลารอรถ หรือก้าวเดินออกมาเองก็คง
ได้ผลลัพท์ไม่ต่างกันนัก
หมู่บ้านกัลป้าตั้งอยู่บนเขา จากที่ถามมาหากหาทางลัดเจอ
มันก็ร่นเหลือแค่ 6-7 กม. แต่หากไปตามถนนก็จะไกลถึง 10 กม.
และเป็นที่แน่นอนว่าฉันคงหาทางเจออยู่หรอก ฮ่ะ ๆๆๆ
เส้นทางเดินลงเขาจาก
กัลป้า ยามเช้าของวันนั้น
ตามรายทางอันยาวไกลของถนนแถวนี้
จะยังมีรถกระบะมาจอดรับขนแอปเปิ้ลที่ยังคงทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เหลือตามสวนต่าง ๆ
พอออกเดินไปเรื่อย ๆ ประมาณสาม-สี่โค้ง
ก็มีรถยนต์คนหนึ่งมาจอดดักหน้าไว้
"ไปท่ารถรึปล่าว?"
ยังดีที่ตอนนั้นมีคนหยุดรถให้ติดรถลงไปยังสถานีขนส่ง Reckong Peo นั่นก็ถือว่า
ช่วยให้ได้ร่นแรงไปได้เยอะเลย อ้อ... อย่าห่วงไปเลยว่ามันเสี่ยงที่จะนั่งรถใคร
มาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรือปล่าว ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะมีแค่ฉันที่อาศัยรถคันนี้มาเพียงลำพัง
หรอกนะ ยังมีเด็กนักเรียนตัวเล็กที่เบาะหลังอีกราย ซึ่งแม่ของน้องมายืนโบกเรียก
จากกลางทางเพื่อขอติดมาด้วยเช่นกัน
ดูท่าวันนี้รถประจำทางเส้นทาง Peo - Kalpa จะมีปัญหาจริง ๆ สินะ
ส่วนพี่เจ้าของรถยนต์คันนี้เป็น 'ครู' ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในพีโอ
พอถึงที่หมายแล้ว ครูก็ให้ที่อยู่อีเมล์กับเบอร์โทรฯ ติดต่อไว้ เขาบอกว่าถ้าไป
ซาราฮัน แล้วคิดวกกลับมาอีก ก็จะให้ภรรยาทำอาหารเลี้ยงมื้อเย็น พร้อมกับจะ
แถมแอปเปิ้ลที่ปลูกไว้ในสวนกลับไปกินอีกด้วย
ครูเป็นชาวกัลป้า แต่ก่อนหน้านี้ไปบรรจุที่เมืองอื่นอยู่นาน
และเพิ่งจะได้กลับมาสอนหนังสือที่บ้านเกิดตัวเองปีนี้
ฉันตอบครูไปว่า ...อาจจะได้กลับมา แต่คงอีกก็คงอีกสองปีข้างหน้าโน่น
ครูหัวเราะและบอกกลับ กว่าจะถึงตอนนั้นเขาคงย้ายไปสอนที่อื่นแล้ว
แยก Jeori จะมีป้ายบอกทางขึ้นไปยังซาราฮัน (ซ้ายมือ)
จาก Reckong Peo ไปถึงแยก Jeori
ให้นั่งรถที่จะวิ่งไปทางรามปูร์ หรือชิมลา ก็ได้
ส่วนเรื่องของระยะเวลาเดินทางก็ค่อนข้างหลายชั่วโมง
ยังดีที่เจ้าถิ่นเบาะข้างจะไปลงที่ 'รามปูร์' ดังนั้นฉันจึงมีคน
ช่วยบอกเตือนเรื่องจุดลงรถให้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะนั่งเลยไกล
หากกระเป๋ารถจะลืมสะกิดเรียกเหมือนกับที่ผ่านมาอีก
รถโดยสารที่จะวิ่งขึ้นไปยัง ซาราฮัน อีก 18 กิโลเมตร จะมีทุกชั่วโมง
และหากพลาดรถไปแล้วก็ต้องรออีกนาน ไม่อย่างนั้นก็ต้องเหมาแท็กซี่ขึ้นไป
ฉันติดรถมากับคนพื้นที่สองคน พวกเขาทำงานด้านการท่องเที่ยว
แต่งตัวแบบคนธรรมดา ๆ ทั่วไป แต่เป็นชาวคินนัวร์ที่มาจากเมือง Tapri
ทั้งนี้นายสองคนที่ว่ากำลังเดินทางไปขึ้นยังซาราฮันเพื่อติดต่องานพอดี
"เธอจองที่พักไว้ หรือปล่าว" แฮปปี้ (สาบานได้ว่านี่คือชื่อเล่น)
ผู้เป็นคนขับได้ถามฉัน ระหว่างที่กำลังแล่นพารถขึ้นภูเขา
แฮปปี้ชอบคุยจ้อมาก ส่วนอีกคนไม่ค่อยช่างพูดเท่าไหร่ ...
"น่าจะพักที่วัด แต่ไม่ได้โทรจองล่วงหน้าไว้"
หมดฤดูท่องเที่ยวแล้ว คงไม่น่าเต็มและฉันก็ไม่ได้คิดว่า
ที่พักใน วัด Bhima Kali จะอุ่นหนาฝาคั่งสักเท่าไหร่
"อืม...หวังว่าจะโชคดีนะ"
ถ้าไม่นับเรื่องของวัดที่เป็น Landmark หลักของซาราฮันแล้ว ฉันก็ไม่รู้อะไรอีก
นายแฮปปี้ จึงได้แนะนำเพิ่มเติมว่าที่นี่ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
มีพืชพันธุ์ไม้,ดอกไม้ ต่าง ๆ ที่น่าสนใจแล้ว ก็ยังเป็นแหล่งดูนกอีกด้วย
หลังจากที่รถหยุดจอดปั๊บ
ฉันก็ยังไม่วายถามพวกเขาตามความเคยชิน
"แล้วพวกเธอจะไปพักที่ไหนกัน?"
"เฮ้...พวกเราเป็นคนที่นี่!" ทั้งสองต่างตอบพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย
แหะ ๆ โทษที โม้เพลินไปหน่อย...
ก็พวกนายไม่ใส่หมวกเขียวแบบคนพื้นที่นี่นา!
ที่พักในวัดภีมะกาลี ยังคงมีอยู่แต่ก็เหลือห้องที่ราคาแพง เพราะถูกจองเกลี้ยง
และเวลานี้ก็มีแต่คนพื้นที่ที่เข้าพักกันทั้งนั้น...ไม่รู้มาเพื่อฉลองเทศกาลอะไรกัน?
สุดท้ายแล้วฉันก็ได้เข้าพักที่เกสท์เฮาส์หนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้นแทน
จากความช่วยเหลือของนายสองคนที่เดินไล่หาราคาที่พักไม่เกิน 400 รูปีให้
ในที่สุดเรื่องก็ถูกเฉลย หลังจากที่สงสัยไม่หายว่าทำไมเกสท์เฮาส์ของวัด
จึงเต็มเอียด เพราะช่วงนี้เป็นเทศกาลแต่งงาน (ตุลาคม - ธันวาคม)
อีกทั้งในวัดนี้ ก็เป็นที่นิยมสำหรับการทำพิธีสมรสของคนพื้นที่ นี่อาจเป็นความ-
พลาดที่ฉันไม่ได้สำรวจประเพณีของคนแถวนี้มาให้ละเอียดพอที่จะรู้เรื่องวัน หรือ
ช่วงเวลาสำคัญไว้ แต่ก็ยังดี...ที่ได้โอกาสแวะมาเดินส่องดูพิธีของชาวพื้นเมือง
ในรูปแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เย็นวันนี้...มีบ่าว-สาว 3 คู่ นั่งอยู่บนลานสำหรับประกอบพิธี โดยต่างกลุ่มต่างก็
แยกการดำเนินงานกันไป ในแต่ละจุดทำพิธีจะมีการตกแต่งเหมือนกัน นั่นคือ
การนำต้นกล้วย,ต้นอ้อย มามัดขึงไว้ เพื่อทำเป็นซุ้มประตูเล็ก ๆ ส่วนตรงกลางวง
นั่งก็มีฐานตั้งของแท่นไฟบูชา
หลังจากซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ ก็พบว่าขั้นตอนบางส่วนของงานนั้นจะมีกลุ่มสาวสูงอายุ
ประมาณสามคนที่นั่งข้างวงคอยทำหน้าที่เห่ร้องเวลาทำพิธีฯ และพวกคนที่เล่น
มโหรีที่นั่งอยู่ตรงรั้วด้านนอก จะคอยรอจังหวะเวลาเพื่อบรรเลงกลอง ฉาบ แตร
กันในห้วงสั้น ๆ คล้ายกับเพื่อส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
และขั้นตอนในงานสมรสนี้ ก็จะมีการเดินรอบกองไฟตามธรรมเนียมของฮินดู
แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับฉันก็คือเรื่องของผ้าคลุมไหล่ พวกเขานำเอาผ้าทอ
พื้นเมืองที่เป็นลวดลายเฉพาะของชาวคินนัวร์ มาใช้ประกอบในงานนี้ด้วย โดยจะมี
ผู้ชายสามคนทำหน้าที่ยืนขึงเป็นฉากกั้นไว้ และจากนั้นมันก็จะถูกนำมาห่มคลุม
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวในลำดับพิธีที่พวกเขาจะยืนโรยเครื่องหอมลงกองไฟพร้อมกัน
นี่ถ้าไม่นับเรื่องการเดินรอบกองไฟแล้ว ...
ภาพงานแต่งแบบท้องถิ่นนี้ ก็ช่างต่างไปจากในละครมาก
ทางเข้าพื้นที่ของตัววัด Bhima Kali ด้านใน
บริเวณพื้นที่ของวัดชั้นใน ไม่สามารถถ่ายภาพหรือสวมรองเท้าเข้าไปได้
ของทุกอย่างต้องเก็บไว้ที่ล็อคเกอร์ด้านหน้า และจากนั้นก็ต้องรอให้เจ้าหน้าที่
ทำการอนุญาตเสียก่อน
ฉันมานั่งคอยพร้อมกับกลุ่มชาวคินนัวร์สามคนหลังเอาของไปฝากที่ตู้เก็บ เวลานี้
ก็มีผู้เข้าเยี่ยมชมสถานที่ด้านในเพียงแค่ห้าคน และพวกเขาเหล่านั้นต่างใส่หมวก
เทปังสีเขียวบนศีรษะตามธรรมเนียมกันอยู่แล้ว ฉันเลยไม่ได้เอะใจอะไร ...
กระทั่งเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลได้ส่งสัญญาณอนุญาตให้เราเดินเข้าไปข้างในได้
"มีหมวกใส่มั้ย?" เจ้าหน้าที่ฯ ชี้มาที่หมวกของเขาเพื่อเตือนว่า
ฉันควรหามาใส่ก่อนเข้าเขตวัดชั้นใน ที่ดูท่าจะเข้มงวดกับจารีต
ตายละ!...ฉันลืมกฏของการเข้าสถานที่ทางศาสนาของคนถิ่นนี้ไปเลย
'ว่าต้องสวมหมวก' แต่ก็ยังได้รับการผ่อนปรนอยู่นะในเมื่อเสื้อกันหนาว
ของฉันมันมีฮู้ด พวกเขาจึงอะลุ่มอล่วยให้
"ถ้างั้นเอาฮู้ด มาคลุมหัวไว้ละกัน"
ระหว่างที่เดินเข้าไปยังพื้นที่ชั้นบนของวัดเก่าแก่ที่สร้างเป็นอาคารคู่
มันดูเอี่ยมอ่อง จนเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นโบราณสถานไปมาก แต่ทั้งนี้ก็เพราะ
ใน ปี ค.ศ. 1905 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนได้สร้างความเสียหาย
กับตัววัดไปมาก ดังนั้นภาพตัวอาคารภายนอกที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้รับการบูรณะ-
ซ่อมแซมขึ้นใหม่จนไม่เหลือความเก่าครึเสียแล้วล่ะ
ถาดใส่เครื่องบูชา และภาพวัด Bhima Kali และรูปปั้นเทวีที่นำมาอัดใส่กรอบวางจำหน่าย
ในสมัยก่อน หลังสิ้นสุดเทศกาลนวราตรี ที่จะมีการฉลองกันเก้าคืนไปแล้ว
ถัดจากนั้นหนึ่งวัน ในวันที่ 10 หรือที่เรียกว่าวัน "ดุเซร่า" สถานที่แห่งนี้
ก็ได้เคยใช้ประกอบพิธีบูชายัญซึ่งใช้ 'มนุษย์' เป็นเครื่องสังเวยด้วย
แต่ในปัจจุบันแม้ว่าจะไม่มีการนำคนมาตัดคอบูชายัญแล้ว และเปลี่ยนมาใช้สัตว์
ประกอบพิธีแทนอย่าง แพะ ไก่ ควาย นก ก็ตาม...เวลาที่เดินอยู่ในวิหารด้านบน
ไล่ไปตามชั้นต่าง ๆ ถึงมันจะสวยงามวิจิตรด้วยงานสลักไม้,เงิน,ทอง เต็มไปหมด
ฉันก็ยังต้องแอบระแวงอยู่ดี ไม่รู้ว่าจุดไหนกันที่เคยถูกใช้ทำพิธีฯ อย่างว่ามั่ง....
เหอ เหอ (หลอน)
....
เรื่องอาหารการกิน สำหรับซาราฮัน ฉันคิดว่าที่นี่ดูแปลกมาก ๆ จากที่เดิน
หาร้านอาหารที่จะทำเมนู non-veg ไม่ได้ (มีแค่มังสวิรัติเท่านั้น) ก็อาจไม่พิลึก
เพราะในเหตุผลดังกล่าวก็คงสอดคล้องกับสถานะของ "เมืองศักดิ์สิทธิ์"
ที่จะเป็นเขตอภัยทานงดเว้นการนำเอาเนื้อสัตว์มาบริโภคกัน
ซึ่งเรื่องพรรค์นี้ฉันก็พอจะรู้กฏอยู่หรอกนะ เพราะเคยได้ไปเยือนเมือง
ที่ชื่อว่าเป็น'เขตอภัยทาน'มาก็มากกว่าหนึ่งหน โดยพวกเขาจะงดนำเนื้อสัตว์
เครื่องดื่มมึนเมา กระทั่งไข่ เข้ามาอย่างเคร่งครัด
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมใน ช่วงเทศกาลงานแต่งฯ บนซาราฮัน
แม้จะเป็นเขตนอกวัดก็เถอะ ต่างดูเต็มเตไปด้วยผู้คนที่มีทั้งปกติและเมาแอ๋
กันได้เนี่ย? พอตกเย็นเข้าพวกก็เริ่มเดินเป๋ เดินเซ กันให้เกลื่อนเชียว
และฉันก็มั่นใจว่าไม่ได้แอบไปเมาจากที่อื่นอย่างแน่นอน เพราะที่เกาท์เฮาส์
ของฉันกลับมีการนำเอาเหล้ามาตั้งขายด้วยไงล่ะ... ช่างดูย้อนแย้งซะไม่มี
สุดท้ายแล้ว แม้ฉันไม่ได้เจอกับปราดัม บนเมืองซาราฮันตามที่คาดไว้ก็ตาม
แต่ในช่วงจังหวะที่เดินทางขึ้นมาบนนี้ ฉันได้เหลือบไปเห็นที่ทำการของเหล่า
I.T.B.P. โดยบังเอิญ และก็คิดว่าเวลานี้เฮียปราดัมคงเข้าพักอยู่ในหน่วยฯ นั่นแหละ
......
เรื่องของชนเผ่าหมวกเขียว (ฉบับไม่สมบูรณ์)
มาพูดถึงหมวกแถบกำมะหยี่สีเขียวหรือ เทปัง (Thepang) กัน
ยอมรับว่าครั้งแรกสนใจเรื่องของคินนัวร์ก็เพราะเรื่องของหมวกนี่ล่ะ
เพราะช่วงดิวาลี ปี 2014 ได้มีโอกาสนั่งรถผ่านพื้นที่นี้พอดีซึ่งวันนั้น
ก็ได้เห็นชนชาวคินนัวร์ ประโคมแต่งชุด สวมเครื่องประดับ กันเต็มที่
ดูเด่นสะดุดตาให้น่าสงสัยเสียขนาดนี้ ก็เลยอยากแวะมาที่พื้นที่บ้าง
แม้ว่าอันที่จริงแล้วการสวมหมวกของชาวคินนัวร์ ไม่ได้มีมากไปกว่าเพื่อ
ป้องกันความเย็นจากสภาพอากาศกัน โดยสวมใส่เหมือนกันทั้ง ชาย-หญิง
จนฉันมองว่าเหมือนกับเป็นเครื่องแบบที่แสดงเอกลักษณ์แบบกลาย ๆ
ยิ่งหากมีงานเฉลิมฉลองหรือช่วงเทศกาล พวกเขามักจะใช้ชิ้นส่วนจาก
แผ่นเปลือกที่ติดเมล็ดของพืชท้องถิ่นที่ชื่อว่า Arlu (ชื่อสามัญ คือ Oroxylum)
ที่มีหน้าตาเหมือนแผ่นปีกบาง ๆ มาใช้ติดบนหมวกเพื่อประดับตกแต่งกัน
บ้างก็มีใช้ดอกไม้แห้งอย่างอื่นเสริมไปด้วย ซึ่งดูแล้วก็รู้เลยว่าพวกเขา
จะต้องเตรียมไปงานฉลองที่ไหนแน่นอน...
ส่วนชื่อของแผ่นเปลือกที่ว่าในภาษาไทย ลองค้นแล้วก็พบว่า
มันคือ "เพกา" ค่ะ แต่ไม่แน่ใจนะว่าเป็นสายพันธุ์เดียวกันหรือปล่าว
คำที่ใช้เรียกเฉพาะ
Kinnaur หมายถึง ชื่อภูมิภาค
Kinnaura หมายถึง ชนเผ่าคินนัวร์
Kinnauri หมายถึง ชาวคินนัวร์ (ที่จริงก็อาจใช้เรียกว่า คินนัวรี)
Kinnaurese เป็นคำที่ชาวอังกฤษใช้เรียก
อิทธิพลทางความเชื่อ
ก็มีทั้งศาสนาดั้งเดิมของชาวคินนัวร์ที่เรียกว่า Shu (;Shuism)
แล้วก็ถูกนำมาผสมผสานกับฮินดูและพุทธ จนกลายเอกลักษณ์เฉพาะ
ที่วัดแห่งหนึ่งใน ซังกลา บริเวณถนนล่าง
กงล้ออธิษฐานที่ กัลป้า
ภายในวัดที่กัลป้า ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลไปจากกงล้ออธิษฐานของชาวพุทธ
หรืออาจจะเป็นอาณาเขตเดียวกันด้วยซ้ำ ก็มีเทวรูปท้องถิ่นวางตั้งอยู่ด้านใน
และเมื่อถึงงานเฉลิมฉลองก็จะถูกอัญเชิญออกมาแห่ด้านนอก
ทั้งวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวคินนัวร์คงเรียกได้ว่า
เป็นแบบลูกผสม ที่ผสมปนเปกลมกลืนกันไปหมด
....
แถมด้วยภาพงานสลักไม้ในเทวสถาน
จากศาสนสถาน ใน ซังกลา ที่หมู่บ้าน Kamru
มุมจากลานวัดภีมะกาลี , ซาราฮัน
.....
การเดินทาง
พื้นที่ระหว่างเส้นทางค่อนข้างอันตรายเพราะจะเป็นถนนที่วิ่งเลียบหน้าผา
ซึ่งจะเหมาะกับการใช้รถรับจ้างคันเล็กมากว่า แต่จากการเดินทางของเรา
ได้อาศัยแต่การคมนาคมขนส่งท้องถิ่น จึงอาจฟังดูลำบากไปบ้าง
สำหรับสถานีขนส่งหลัก ของเขตนี้
ก็คือ เรคก็อง พีโอ (Reckong Peo)
ภาพแนวเขาจาก กัลป้า
หากมองหากันดี ๆ ก็จะเจอยอดเขาไกรลาสฯ ด้วยนะ
จะสามารถมองเห็นจากกัลป้าได้ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 6,050 เมตร
เป็นหนึ่งในสถานที่แสวงบุญที่ชาวฮินดูจะยาตราขึ้นไปสักการะเทพเจ้ากัน
บางทีก็คิดนะว่าบรรดากลุ่มแสวงบุญเหล่านี้คงนักเดินเขาตัวจริงเสียงจริง
มาแต่ไหนแต่ไร...เพียงแค่เป้าหมายของพวกเขาอาจต่างไปจากนักเดินเขา
ทั่วไปนิดหน่อย แต่ความอดทนทรหดต่อพื้นที่สูงคงมีไม่แพ้กันแน่นอน
รายชื่อของเมืองที่ได้ไปเยือน
Sangla - Chhitkul - Kalpa - Sarahan
และท้ายที่สุด ...ก็อย่ากระโตกกระตากตกใจไปนะ
หากเมื่อได้พบเห็นนามสกุลของชาว Kinnauri เหล่านี้
จะใช้คำว่า Negi เหมือนกันเกือบทั้งย่าน!