GAUMUKH (1) โกลกาตา...แค่แวะผ่านมา
เสียงประกาศที่ดังขึ้นจากบนเครื่องฯ กำลังแจ้งให้รู้ถึงที่หมายซึ่งกำลังจะ ไปถึงในไม่ช้านี้ ได้ปลุกให้ฉันตื่นมามองดูพื้นด้านล่างที่เป็นทุ่งสีเขียว ไม่รู้ว่า เป็นผืนนา,พื้นที่การเกษตรหรือว่าป่าไม้กัน? แต่ที่แน่ ๆ เจ้าสิ่งที่จงใจดึงดูดให้ อยากเห็นผ่านสองตาจากการที่เลือกบินมาลงที่นี่ก่อนออกเดินทางจริง นั่นก็คือ ภาพแม่น้ำที่ไหลยาวเป็นสายหลัก แตกสาขาแยกเป็นแขนงเล็ก ๆ จนสุดปลาย และฉันเดาว่าในตอนนี้เราคงจะเข้าสู่เขตน่านฟ้าของ รัฐเบงกอลตะวันตก กันแล้ว
โชคดีชะมัดที่ฉันจับจองที่นั่งริมหน้าต่างได้ถึงมีโอกาสเห็นภาพนี้ได้ ถึงแม้ว่าจะ เกือบมีปัญหาเล็กน้อย ที่เมื่อคืนนี้ต้องมาเจอกับเพื่อนร่วมแถวนั่งเจ้าถิ่นที่ขึ้นมา อยู่บนเครื่องก่อนใครเพื่อนทำแกล้งตีเนียนสลับตำแหน่งที่เอาเสียดื้อ ๆ ช่วงแรกของการเดินทาง ในครั้งนี้ฉันมีเป้าหมายหลักที่จะเดินทางกลับไปยัง ที่มาของ ต้นกำเนิดแม่น้ำคงคา จากเท่าที่จำได้ในสมัยเรียน เราเองก็ได้แต่ ท่องจำกันมาแบบสั้น ๆ ว่า "แม่น้ำคงคาไหลมาจากเทือกเขาหิมาลัย" หรือบางทีก็อยู่ใน "ป่าหิมพานต์" ก็มี แต่ที่จริงแล้วในยุคที่ยังไม่มีแหล่งข้อมูลค้นหาทางอินเตอร์เน็ตได้ง่ายแบบปัจจุบัน จะมีใครสักกี่คนกัน ที่จะจินตนาการภาพได้ถูกต้อง ซึ่งในตอนนั้นฉันก็นึกไปเอง ว่ามันคงผุดพุ่งออกมาแบบน้ำตกแน่ ๆ เมื่อเวลาผ่านไป อาการอยากรู้อยากเห็นในรายละเอียดของเรื่องนี้มันก็มีเยอะขึ้น และพอได้ลองค้นหาที่มาของข้อมูลนี้ก็พบว่า แม่น้ำคงคา เกิดจากการละลายตัว ของ ธารน้ำแข็ง ที่ชื่อว่า โกมุข (Gaumukh) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่กลางป่ากลางขุนเขา ณ เมืองกังโกตรี บริเวณทางตอนเหนือของรัฐอุตตราขัณฑ์
หลังจากรวบรวมข้อมูลได้บางส่วน ฉันก็เริ่มเตรียมตัวร่างแผนการเดินทาง ยืมกล้อง เย็บขอบรองเท้า ซ่อมเป้ตัวเล็ก จองตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า แลกเงินสด- สำรองไว้เล็กน้อย ฟังดูแล้วก็แปลกพิลึกไปนิดใช่ไหมล่ะ ฉันไม่ได้เดินทางเป็นอาชีพนี่นา แม้ทุกสิ่งอย่างที่ว่ามาจะดูไม่ค่อยสมบูรณ์แบบเต็มร้อยนักก็ตาม
ยามเช้าตรู่ ประมาณ 6.25 น. ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งช้ากล่าเมืองไทย 1.30 ชม. ที่สนามบินอันแสนจะยาวเหยียด นามว่า Netaji Subhus Chandra Bose International Airport (CCU) หรือที่เรียกสั้น ๆ คือ Dum Dum Airport เมืองโกลกาตา, สาธารณรัฐอินเดีย หลังลงจากเครื่องด้วยอาการง่วงนอน สะลึมสะลือ... เมื่อคืนนี้ฉันต้องรีบมาเช็คอินตั้งแต่ตีหนึ่ง ไม่ต้องคิดเลยว่าบนเครื่องบินที่ลอย เท้งเต้งบนอากาศพาทะยานพุ่งลัดฟ้าเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง มันจะไปมีหลับสนิทได้ สักแค่ไหนกัน? แต่ฉันก็ต้องมาตาตื่นอีกที ตอนยืนตรวจหนังสือเดินทางและข้อมูลเข้าพัก ที่ดันไปลงที่อยู่ของอาศรมแห่งหนึ่งเอาไว้ และที่นั่นไกลจากโกลกาตามากซะด้วย
"อาศรมศรีเวดนิเกตัน เมืองริชชิเกช?" เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกำลังทวนอ่าน ที่พักของฉันในใบ Arrival card ตามที่ระบุไว้ "นี่มันโกลกาตา อยู่ห่างไกลจาก รัฐอุตตราขัณฑ์ คนละโยชน์" เขาแย้งถึงความไม่สมเหตุสมผลของข้อมูลดังกล่าว ฉันเลยต้องชี้แจงต่อเพิ่มเติม ว่าจะเดินทางต่อไปยังเดลีในรอบค่ำ พร้อมยื่นเที่ยวบินถัดไปให้ดูเป็นหลักฐาน หลังจากเจ้าหน้าที่ทราบเรื่องแล้ว ก็ประทับตราขาเข้าลงในพาสปอร์ตและส่งคืนให้ อันที่จริงแล้วยังมีเที่ยวบินไปเดลีในรอบเช้า ที่อยู่ในครึ่งชั่วโมงถัดไปนะ แต่ฉันกลับอยากพักแรงเอาเสียก่อน เลยเลือกที่จะเดินทางช่วงหัวค่ำแทน
.....
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจหมวย เมื่อผ่านขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยก่อนที่จะไปรับกระเป๋า และหาที่งีบหลับตาม ที่ตั้งใจไว้ฉันก็ต้องมายืนรอ 'ร็อกซี่' สาวหมวยจากจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ขอยืม ปากกาของฉันไปกรอกข้อมูลฯ ระหว่างเข้าแถวเสียก่อน เธอมาอินเดียเป็นครั้งแรก และตั้งใจมาเพียงโกลกาตาประมาณหนึ่งเดือนเศษ เพื่อเป็นอาสาสมัครที่ Mother House กับเพื่อน ๆ ของเธอ ซึ่งได้ล่วงหน้า มาปักหลักอยู่ก่อนแล้วพักใหญ่
ว่าแต่ เธอขนอะไรมาเยอะนักหนากับกระเป๋าใบโตที่มีมากถึงสามใบเนี่ย!?
"เธอจะอยู่ โกลกาตา กี่วันล่ะ?"
ร็อกซี่หยิบเอาเป้ใบโตของฉันใส่ในรถเข็นรวมกับเธอ พลางหันมาถาม "ไม่ได้พักที่นี่หรอก ฉันต้องขึ้นเครื่องไปเดลีเย็นนี้ กะว่าจะหาที่หลับ ในสนามบินนี่แหละ อากาศข้างนอกมันร้อนเกินไป" ฉันตอบไปแบบตาปรือ ๆ และออกอาการง่วงนอนให้เห็น "อีกตั้งหลายชั่วโมงน่าเบื่อออก" หมวยแย้ง
"เธอมีเวลาเยอะนี่ ไปพักที่ย่าน Sudder St. ไหม? ฉันมีเพื่อนรออยู่ที่นั่น"
หมวยดูกระตือรือล้นที่จะพาฉันออกไปจากที่นี่เสียเหลือเกิน ระหว่างนั้นก็พิมพ์ข้อความรับ-ส่ง ผ่านมือถือคุยกับเพื่อนตลอดเวลา
"นี่! ค่าโดยสารก็แค่ 300 รูปีเอง เพื่อนฉันบอกมา"
ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงกับหมวย เพราะไม่มีเงินรูปีติดตัวมากไปกว่า 100 รูปี ที่เหลือจากปีก่อน เลยอยากหาตู้ ATM กดเงินสำรองไว้เดินทางสักจำนวนหนึ่ง แล้วค่อยไปแลกเงินจากที่ไหนสักแห่งภายหลัง (แน่นอนว่าไม่ใช่จากสนามบิน) แต่ก็แย่หน่อย ...ที่ตู้กดเงินในสนามบินกลับไม่ทำรายการใดออกมาได้เลย พี่อินเดียคนหนึ่งที่ยืนรอคิวต่อจากฉัน ก็มีปัญหากดเงินออกมาไม่ได้เช่นกัน พอได้คุยกันเล็กน้อย เลยรู้ว่าเขาทำงานสอนพิเศษอยู่ที่สถาบันแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และเดินทางมาที่นี่ด้วยเที่ยวบินลำเดียวกันกับฉันนี่แหละ เขาชี้บอกทางไปยังจุดจอดรถโดยสาร ที่เชื่อมจากสนามบินไปยังสะพานฮาว์ร่าห์ ให้รู้ หลังจากที่ซักถามเรื่องการเดินทางด้วยรถประจำทาง พร้อมบอกเตือนให้รีบ กลับมาก่อนช่วงเย็น เพราะอาจต้องเจอกับปัญหาการจราจรที่ขึ้นชื่อลือชาพอ ๆ กับกรุงเทพฯ บ้านเรา หากไม่อยากพลาดเที่ยวบินไปเดลีในช่วงหัวค่ำ
ฉันชักจะเริ่มลังเล ระหว่างการไม่ออกไปไหน กับเที่ยวชมเมือง ในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง และต้องรีบฉุกละหุกกลับมาให้ทัน
ถ้าหากจะต้องไปด้านนอกจริง ๆ ล่ะก็ ขอฝากกระเป๋าก่อนได้ไหม ?
ฉันตกลงกับหมวยว่า ถ้าฝากกระเป๋าได้ก็จะออกไปด้วยกัน จะแบกข้าวของเต็มหลังเป็นผู้เฒ่าเต่าคงจะไม่เหมาะนัก ก็เหมือนฟ้าไม่เป็นใจให้ออกไปเท่าไหร่ เมื่อเจ้าหน้าที่สนามบินให้ข้อมูล ไม่ตรงกันเลย อีกคนบอกให้ไปข้างล่างส่วนคนข้างล่างก็บอกให้ไปข้างบน
สรุปก็คือ หาที่ฝากไม่เจอ
เจอแต่หมวยผู้ยืนเฝ้ารถเข็นส่งยิ้มให้อย่างใจเย็น ยามฉันเดินขึ้นลงบันไดเลื่อน ระหว่างสองชั้นนี้ หลังจากถอดใจไปคิดจะออกไปแล้ว ฉันก็กลับมาบอกหมวยว่า หาจุดรับฝากกระเป๋าฯ ไม่ได้ แล้วเธอก็ผลักรถเข็นเลื่อนออกจากสนามบินไป โดยไม่รอถามความเห็นใดเลย "แปลกจังเลยเนอะ ทำไมไม่มีที่ฝาก"
เฮ่ย... กระเป๋า ช้านน!
วินาทีนั้น ฉันต้องเดินออกมาจากสนามบินไปด้วยอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ เธอไม่รู้เรื่องกฏของที่นี่หรือไง ฉันย้อนกลับเข้าไปไม่ได้แล้วนะ!!!
ตรงซุ้ม Prepaid Taxi ที่ไปติดต่อ ได้แจ้งค่าโดยสารสำหรับการเดินทางไป Sudder St. ที่ 700 รูปี - ก็แหงละ... มันเยอะเกินกว่าที่ควรจะเป็น และร็อกซี่ ก็แก้ปัญหาด้วยการกดพิมพ์ข้อความคุยกับเพื่อนทางโทรศัพท์พร้อมยกหน้าจอ ให้คนยื่นราคาดูเป็นหลักฐาน "แต่เพื่อนฉันบอกว่า มันแค่ 300 รูปี "
ฉันแทบกุมขมับกับการอธิบายของร็อกซี่ ปัดโธ่ คนพวกนั้นเขาอ่านภาษาจีนของเธอออกที่ไหนกันเล่า !
ถามว่าสำเร็จไหม...คงเดาได้ไม่ยาก
ก่อนที่อะไรจะบานปลายไปมากกว่านี้ ฉันเห็นจุดจอดรถโดยสารข้างสนามบิน เลยหยิบเป้ของตัวเองออกมาจากรถเข็นนั่น ไหน ๆ ตอนนี้ก็กลับเข้าไปที่ สนามบินไม่ได้แล้ว งั้นเปลี่ยนไปเป็นที่หมายสำรองก็ได้ อยากเห็นสะพานฮาว์ร่าห์ ยังไงเสียขากลับจากที่นั่นฉันไม่จำเป็นต้องขึ้นแท็กซี่ ซึ่งใคร ๆ ก็รู้ดีว่ามันไม่มี ราคามาตรฐานสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว
"ไปทางรถกับฉันไหม? ยังไงถ้าเจอสถานีรถไฟใต้ดิน เธอลงที่นั่นแล้วก็ไปโผล่ยังที่พักของเธอได้" ฉันตัดบท
แต่ร็อกซี่ก็ยังยืนกรานที่จะไปกับรถแท็กซี่และพูดโน้มน้าวให้ไปกับเธอ มากกว่าจะขึ้นรถโดยสาร ฉันไม่อยากไปยังที่ ๆ ไม่ใช่จุดหมายของตัวเอง แล้วไหนจะยังต้องหาทางกลับมาที่สนามบินแห่งนี้คนเดียวหลังจากนั้น "ฉันไม่ได้อยากไปฮาว์ร่าห์" หมวยบอก "ฉันก็ไม่ได้อยากไป Sudder St." เข้าใจไหมเนี่ย?
เราแยกกันที่ท่ารถตรงนั้น ... บางทีก็ต้องแข็งใจบ้าง ถ้าคำว่า มิตรภาพ มันกำลังถูกบิดเบือนเจตนา เพียงเพราะแค่อยากได้ คนร่วมหารจ่าย
ฉันรู้สึกว่าที่ร็อกซี่คะยั้นคะยอให้ฉันออกมาจากสนามบิน ก็เพื่อหาคนแชร์ค่าโดยสารมากกว่า เห็นฉันเป็นเพื่อนร่วมทาง ได้แต่หวังว่าหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นร็อกซี่คงจะเข้าใจ ฉันตรงไปยังรถเมล์คันหนึ่งที่มีหมายเลขเดียวกับข้อมูลที่จดมา "คันนี้ไป ฮาว์ร่าห์ ใช่ไหมไบ?" ฉันถามกระเป๋ารถฯ ที่กำลังยืนเรียกผู้โดยสารอยู่ตรงทางขึ้น "ใช่แล้ว ขึ้นไปรอได้เลย 50 รูปีเท่านั้น" ยังดีที่เป็นรถโดยสารแบบปรับอากาศ ฉันนั่งรออยู่บนนั้นด้วยความรู้สึกหัวเสีย ว่าทำไม ๆๆๆ ตัวเองถึงพลาดได้ขนาดนี้นะ
สองหนุ่มอินเดียที่นั่งเบาะเยื้องถัดไปกำลังผลัดกันอวดชมภาพของกันและกันบน หน้าจอมือถือ ได้หันมาถามทักคนหน้าแปลก ๆ ที่มีเบ้าตาโหลคล้ำเป็นหมีแพนด้า นั่งกอดกระเป๋าเดินทางท่าทางหดหู่อยู่คนเดียวที่ริมหน้าต่าง
"ยูมาจากประเทศไหนน่ะ เวียดนามเหรอ?"
"มาจากเมืองไทย" ฉันหันไปตอบ พวกเขาต่างตื่นเต้นเพราะเพิ่งเดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ เมื่อคืนนี้เช่นกัน ก็เลยหันมาคุยโม้พร้อมกับโชว์ภาพถ่ายให้ฉันดูไปด้วย
ถึงเครื่องปรับอากาศบนรถจะเปิดจนเย็นฉ่ำ แต่ฉันก็รู้สึกถึงอากาศร้อน ๆ ที่มอง เห็นได้จากภายนอก มันเป็นภาพของสังคมเมืองขนาดใหญ่ที่มีผู้คนเยอะไปหมด บนเขตพื้นที่ของ รัฐเบงกอลตะวันตก ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีสถานะเป็นเมืองหลวง ของประเทศอินเดีย ในยุคสมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครอง
ภาพของโกลกาตาในปัจจุบัน จึงยังคงมี แท็กซี่สีเหลือง,รถราง และสถาปัตยกรรม สิ่งก่อสร้างในสถานที่สำคัญ ๆ ที่รับอิทธิพลมาจากยุคนั้นหลงเหลือให้เห็นอยู่
ที่ฟากฝั่งของสถานีรถไฟ
เมื่อฉันพบว่าสิ่งที่เห็นในความเป็นจริงกับภาพถ่ายกลับไม่เสมือนจริง
สะพานยื่น ฮาว์ร่าห์ หรืออีกชื่อหนึ่งที่ตั้งขึ้นภายหลังคือ Rabindra Setu เพื่อเป็นเกียรติแด่ รพินทรนาถ ฐากูร กวีชาวอินเดีย และถือว่าเป็นชาวเอเชีย คนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม มันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1943 ด้วยความกว้างของถนน 8 เลน และใหญ่ติดอันดับ 6 ของโลก พาดผ่านแม่น้ำสายหลักของเมืองนี้ ที่ชื่อว่า ฮูกรี ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างฝั่ง โกลกาตา กับ ฮาว์ร่าห์
ถึงจะดูอลังการณ์งานสร้างแค่ไหนก็ตามเถอะนะ พื้นที่รอบข้างซึ่งดูรกและเต็มไป ด้วยขยะเหล่านี้ มันช่างไม่น่าดูเอาเสียเลยรวมไปถึงมลภาวะทางฝุ่น ที่คลุ้งไปทั่ว บริเวณจากรถที่วิ่งสวนไปมา และผู้คนที่เยอะแยะไปหมด อาจเป็นเพราะมีสถานีรถไฟบริเวณนี้ด้วย ฉันตัดใจขีดฆ่าเรื่องการเดินไปหามุม ถ่ายรูปตลาดดอกไม้ที่ Mulik Ghat ออกโดยไม่นึกคิดจะเสียดายแล้ว
ที่ริมท่าน้ำบริเวณนั้น มีการจัดพื้นที่สำหรับให้คนลงไปอาบกันแต่ดูเหมือนจะมี ผู้ชายเยอะจนเต็มลานไปหมด ฉันไปหยุดยืนพักตรงใต้ร่มไม้อยู่ครู่ใหญ่เพื่อมองดู แม่น้ำอย่างเงียบเชียบและยังไม่กล้าหยิบเอากล้องออกมาถ่ายรูปใครทั้งนั้น
จากต้นทางของแม่น้ำคงคา ที่ทอดยาวมาจนถึงปลายทาง 2,525 กิโลเมตร ที่ ณ วันนี้ ตัวฉันกำลังหยุดยืนมองปลายสาย ที่ไหลผ่านอย่างเอื่อยเฉื่อย ก่อนที่ มันจะไปสิ้นสุดลงยังปากอ่าวเบงกอล
และเริ่มนึกไปถึงการเดินทางในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ว่าจะพาตัวเองไปให้ถึงยังจุดหมายได้ไหม?
ไม่นานนักฉันก็จับรถโดยสารหมายเลขเดิม เดินทางกลับไปยังสนามบิน ที่ ๆ ควรจะตั้งหลักอยู่ตั้งแต่แรก ทริปนั่งรถชมเมืองนอกแผนที่ไม่ได้ตั้งใจจะออกมา มันช่างสั้นและเลือนลาง ต่อ ความรู้สึก พอ ๆ กับเลนส์กล้องที่เจอกับปัญหาไอน้ำเกาะหลังลงจากเครื่องฯ นี่แหละ
เที่ยวบินไป โกลกาตา-เดลี ในเย็นวันนี้ บินช้ากว่ากำหนดหนึ่งชั่วโมง และลงจอดที่สนามบินภายในประเทศ ซึ่งมันต้องนั่งรถโดยสารอีกหนึ่งต่อ ไปยัง Airport Express เพื่อเชื่อมถึง Metro อีกที และกว่าจะไปถึงสถานีขนส่ง I.S.B.T. ที่ Kashmiri Gate ได้นั้นก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว! ฉันตรงมายังจุดประชาสัมพันธ์ของรถขนส่งอุตตราขัณฑ์โดยไว ที่หน้าจอโทรทัศน์ จะมีชื่อเมืองปรากฏผ่านบนหน้าจอให้พอรู้คร่าว ๆ ว่าต้องไปขึ้นที่ท่ารถหมายเลข อะไรหรือมีเที่ยวรถกี่โมง
ฉันหยุดยืนมองครู่ใหญ่ เพื่อจ้องหาชื่อเมืองที่หมายตาไว้ก่อนที่จะตรงไปยังท่ารถ มี อุตตระกาสี ด้วยเหรอเนี่ย? ถ้าตรงดิ่งไปที่นั่นได้ในคืนนี้ก็เยี่ยมเลย
แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่อได้สอบถามกับพนักงานที่ประจำจุดสอบถาม เขาบอกว่า เที่ยวรถไปอุตตระกาสีมีแค่รอบเดียวต่อวัน ฉันจึงแอบกังวลเล็กน้อย ถ้าหากว่า คืนนี้ไม่มีเที่ยวรถโดยสารให้เดินทางไปต่อแล้วคงแย่ เพราะไม่อยากเสียเวลา ค้างที่เดลี แต่แล้วก็ยังพอใจชื้นอยู่ บ้างกับอีกหนึ่งทางเลือกที่ว่า ยังมีรถแบบ Ordinary ไป ลงที่ ริชชิเกช รอบสี่ทุ่มและถ้าหากจะไปตอนนี้ก็ยังทันอยู่ หลังจากรู้หมายเลขท่า รถแล้ว ฉันจึงรีบโกยหน้าตั้งลงไปยังท่ารถนั้นโดยไว
ค่ำคืนแรกในประเทศอินเดียของฉัน แทนที่จะได้นอนพักอย่างเต็มอิ่มหลังออกไป ผจญกับเรื่องยุ่ง ๆ มาเกือบครึ่งวัน กลับต้องมานั่งหลับบนรถท่ามกลางอากาศที่ เริ่มเย็นลงในช่วงกลางดึกแทน แถมยังต้องเจอกับไอฝุ่นผสมเขม่าควันจากด้าน นอก ที่พัดปะทะหน้าเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เช้ามืดของวันถัดมากับสถานที่คุ้นเคยกับสภาพอากาศที่เย็นลง มีแสงดาว ระยิบระยับบนท้องฟ้าที่เปิดโล่ง ในช่วงเวลาตีสี่ครึ่งที่บริเวณท่ารถของเมืองริชชิเกช
ขณะที่เดินหนาวสั่นงึกงักไปซื้อหากาแฟร้อน ๆ จากท่ารถมานั่งดื่มรอเวลาให้สว่าง ก็ได้ลองถามเรื่องเที่ยวรถไปอุตตระกาสี จากร้านน้ำชาแถวนั้นเอาไว้
"ท่ารถก็อยู่ด้านหลังเนี่ย มีวิ่งตอนรอบตีห้าครึ่ง"
เจ้าของร้านชี้ไปยังทิศทางด้านหลัง ซึ่งฉันไม่ยักรู้มาก่อนว่าที่ตรงนั้นมีจุดจอดรถ อีกแห่งด้วย พอเดินไปสอบถามก็พบว่ารถยังไม่เต็มและยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง
ฉันเลยรีบซื้อตั๋วเดินทางต่อทันที พอมาคิดย้อนหลังดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะรีบเร่งทำไมนัก? เอาเหอะ... แล้วค่อยไปพักที่ อุตตระกาสี ก็แล้วกัน
" อื่น ๆ " - List of longest contilever bridge
https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_longest_cantilever_bridge_spans
- การเดินทางเข้าเมืองจากสนามบินภายในประเทศ ที่เดลี
คือ Domestic Airport : T1 จะไม่มีรถไฟฟ้าต่อเข้าเมืองโดยตรง แบบ International Airport : T3
ให้ต่อรถประจำทางที่มีบริการไปลงที่ Aero city Metro Station และต่อไปยังสถานี New Dehli ซึ่งจะสามารถเชื่อมไปยัง สถานีรถไฟ New Delhi Railway Station : NDLS และ เมโทร อื่น ๆ ได้
- Kolkata (โกลกาตา) เคยใช้ชื่อเดิมว่า Culcatta (กัลกัตตา)
ในสมัยที่ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ถูกสถาปนาเป็นเมืองหลวงของ ประเทศอินเดีย ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1772-1911
- ข้อมูลสำหรับอาสาสมัคร Mother House, Kolkata
https://www.motherteresa.org/07_family/volunteering/v_cal.html
### เรื่องควรรู้สำหรับกฏของสนามบิน ประเทศอินเดีย ###
- อนุญาตให้เข้าเฉพาะผู้โดยสารเท่านั้น โดยจะต้องมีตั๋วเครื่องบิน และ
หนังสือเดินทางยืนยัน ซึ่งต้องอิงกับเวลาการเดินทางที่เหมาะสมด้วย
- หากเดินออกนอกอาคารไปแล้ว ไม่มีสิทธิย้อนกลับเข้ามาเด็ดขาด แม้ว่า
จะมีเที่ยวบินในวันเดียวแต่ถ้าเวลาทิ้งช่วงห่างมากไปก็จะไม่อนุญาตเช่นกัน
- ถ้าจำเป็นจะต้องออกไปด้านนอก ต้องทำเรื่องแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ฯ
เพื่อออกบัตรสำหรับเข้า-ออก ให้เป็นกรณีพิเศษ
Create Date : 17 มกราคม 2559 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 14:33:15 น. |
|
27 comments
|
Counter : 1732 Pageviews. |
|
|
วันนี้อ่านไม่ไหวแล้วค่า..ง่วง
พรุ่งนี้มาใหม่เนาะ ^__^