บันทึกส่งท้าย : พุชการ์ (3) ภาคอพยพ
แล้วเราควรไปไหนต่อดีล่ะ? ในเมื่อเมืองที่ขึ้นชื่อในรัฐนี้ อย่าง Jodpur- Jaisalmer- Jaipur- Udaipur หรือจะที่อื่น ๆ ในราชาสถานก็ใช่ว่าจะอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่เมื่อรู้ตัวเองแน่แล้วว่าไม่ได้ชื่นชอบกับบรรยากาศแบบนี้เลย ถ้างั้นก็คงถึงเวลาอพยพย้ายถิ่นเสียดีกว่า ไปยังที่ ๆ อยากไปใช้เวลา เป็นช่วงสุดท้าย เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะได้กลับมา และที่สำคัญ ฉันก็มีตั๋วรถไฟสำหรับเดินทางไปที่อื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย
วันนี้คงเป็นวันที่ดี ... ก่อนที่จะเตรียมตัวเดินทางข้ามรัฐในระยะไกลราว 695 กิโลเมตรคืนนี้
ฉันกำลังมองหาพื้นที่นั่งชมทะเลสาบเป็นภาพก่อนลา ถ้าจะมองจากวิวสูง คงหนีไม่พ้นร้านอาหารที่มีดาดฟ้าแน่นอน...แถวนี้มีตัวเลือกค่อนข้างเยอะ อีกทั้งราคาก็ไม่แพงมากด้วย หากจะมีจำกัดก็แต่อาหารเจเท่านั้นแหละ เข้าร้านไหนก็เหมือนกันหมด (ชริ) ...
ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ฉันเคยแวะมากินเป็นประจำจากชั้นบนนั่นจะสามารถ มองเห็นวิวสวย ๆ และเห็นผู้คนที่มาทำพิธีตรงกาต (Ghat) ได้ดีทีเดียว ฉันเดินขึ้นมายังชั้นดาดฟ้าด้วยความคุ้นชิน และหามุมนั่งเหมาะ ๆ ติดระเบียง ในขณะที่กำลังเปิดเลือกดูรายการอาหาร ฉันก็ได้ยินเสียงเตือนทักถึงอะไร บางอย่างที่ดังแว่วมาจากโต๊ะด้านหนึ่ง เขาเป็นชายชาวต่างชาติที่มานั่งอ้อยอิ่ง อยู่ก่อนแล้วพักใหญ่ ...
มีสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นจากอาคันตุกะผู้ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งทำให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ ปลีกตัวออกไปจากร้านอย่างเร่งรีบหลังจบมื้ออาหาร และเมื่อกลับมาค้นอ่าน อะไรบางอย่าง เพื่อความแน่ใจในลางสังหรณ์แรก จากที่อยู่ติดต่อทางออนไลน์ ที่ได้รับมาจากชายตะวันตกผู้นั้น พอได้เห็นอะไรเข้าก็ยิ่งดีใจว่าตัวเองคิดถูกแล้ว ที่เผ่นออกมา!
ถึงเมืองนี้จะขึ้นชื่อว่า Holy place ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนแปลก ๆ นะ
ขอแยกเรื่องเล่าไว้ที่นี่แทนนะคะ
ในเย็นวันเดียวกันนั้น เมื่อฉันออกจากที่พัก แบกกระเป๋าเดินทางเพื่อมารอรถเมล์ ตรงป้ายเดิมจากที่เคยมาลงในวันที่เดินทางมาถึง เพื่อต่อรถไป อัจมีร์ ก่อนจะหา ทางไปต่อยังสถานีรถไฟอีกที คร่าว ๆ ว่ามันอยู่ไม่ไกลกันมากนักและการรอรถ ครั้งนี้ก็ได้สร้างบทเรียนใหม่ให้ฉันเสียด้วยสิ ในช่วงเดียวกันนั้น ฉันได้เห็นผู้หญิงต่างชาติคนหนึ่งมายืนรอรถเหมือนกัน หากดูจากเป้ของเธอแล้วน่าจะหนักหนาเอาการ เราต่างยืนคอยห่างกันพอสมควร แต่ก็เดาได้ว่าเธอน่าจะออกไปยังอัจมีร์เหมือนกัน
นานถึงครึ่งชั่วโมงกว่ารถจะมาถึง ฉันเริ่มเห็นผู้คนที่มายืนรอเริ่มไปจอแจกัน ที่ป้ายหลังเห็นรถเมล์ วิ่งมาลงจอดยังฝั่งตรงข้ามเพื่อให้ผู้โดยสารขามาเดินลง และตีโค้งเพื่อเลี้ยววกกลับมายังฝั่งที่ฉันกำลังยืนรอ
ทันทีที่จอดพวกเขาก็แย่งขึ้นไปแทนที่เบาะนั่งที่ยังว่างอยู่อย่างว่องไว ตอนที่ฉันเดินขึ้นไปก็พบว่ารถยังไม่เต็ม ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะดี แต่บรรดาที่นั่งต่าง ๆ ล้วนแต่มีการจองกันท่าไว้เป็นที่เรียบร้อย
โน่นก็ไม่ว่าง นี่ก็ไม่ว่าง จะบ้าตาย!
จากพุชการ์ไปอัจมีร์ ก็ราวครึ่งชั่วโมงได้ในกรณีที่รถไม่ติด ฉันคงยืนเมื่อยน่าดูแถมยังต้องเบียดกับผู้คนอื่น ๆ อีก ฉันเริ่มหน้าเสีย ในเมื่อบางเบาะที่เห็นถึงจะไม่มีคนนั่งก็จริง แต่ก็ดันถูกเจ้าถิ่นที่ขึ้นมาจองกันท่าห้ามปรามไม่ให้นั่ง นี่คือไม่มีที่ว่างเหลือแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?
....
"เธอนั่งที่ตรงนี้ได้"
วัยรุ่นชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งกำลังนั่งกันที่ไว้ได้สะกิดเรียกฉัน ในขณะที่เบาะข้าง ๆ ก็มีของวางไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ามีคนจองเรียบร้อย ฉันเลยนั่งแทนที่ดังกล่าวก่อนที่จะถามต่อ "อ้าวแล้ว คนที่จะขึ้นมานั่งตรงนี้ล่ะ?"
"ฉันนั่งรถมาลงที่นี่ เดี๋ยวก็ไปแล้ว...แต่ตอนนี้แค่มาช่วยกันที่ให้เพื่อนน่ะ"
จากนั้นไม่นานนัก ฉันก็ได้เห็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เดินขึ้นมาบนรถ และมานั่งที่แทนชายคนที่ทำหน้าที่จองให้
โชคดีเป็นบ้า ที่ยังมีที่นั่ง !
ส่วนสาวตะวันตกคนนั้น เธอช้าไปหน่อย และเจอปัญหาเดียวกับที่ฉันเจอเมื่อครู่ สุดท้ายก็ต้องยืนไปตลอดทางท่ามกลางผู้คนที่เบียดเสียดกันเต็มหลังจากนั้น ฉันถามคนที่นั่งมาด้วยกัน ถึงรถที่จะต่อไปยังสถานีรถไฟ และยังมีเรื่องให้ได้โล่งอกอยู่ เมื่อรู้ว่าเขาเองก็กำลังจะไปที่เดียวกัน
เย็นวันนั้นเมื่อรถได้วิ่งแล่นผ่านทางเก่า ฉันได้มีโอกาสมองเห็นพื้นที่เมืองด้านนอกอีกครั้งแบบไกล ๆ มันอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพื้นที่พุชการ์ ดูเหมือนว่าจะมีทะเลสาบเช่นเดียวกัน ต่างกันก็ตรงที่สภาพบ้านเมืองดูทันสมัยกว่ากันเยอะ
วันนี้ดูเหมือนว่ารถจะติด จากยามเย็นตอนรอรถยังพอมีแสงอยู่ และเมื่อใกล้ มาถึงปลายทางก็ดูมืดค่ำลงเสียแล้ว...ก่อนรถจะเลี้ยวจอดลงที่ท่ารถ ฉันเห็่นผู้คนบางส่วนเริ่มทะยอยตรงไปที่ประตูเพื่อเตรียมอออกกัน รวมไปถึง สาวต่างชาติคนนั้นก็ด้วย ที่น่าแปลกใจหน่อย ก็คือยังมีคนอีกมากยังไม่ลุกขยับออกจากที่ พวกเขาพูดอะไรก็ไม่รู้ให้คนขับได้ยิน ส่งเสียงเอ็ดตะโรเซ็งแซ่ไปหมด ชายที่นั่งข้าง ๆ เหมือนเอะใจอะไรบางอย่าง เลยหันมาบอกให้รอก่อน ประมาณว่าอย่าเพิ่งรีบเดินลง...เขาฝากที่นั่งไว้และเดินไปถามคนขับ
เมื่อรู้ความแล้วเขาก็เดินกลับมาบอก ว่ารถเมล์จะวิ่งไปส่งถึงสถานีรถไฟ เพราะเที่ยวนี้มีผู้โดยสารหลายคนจะไปที่นั่นกัน
อื้อหือ นี่เค้ามีการกดดันคนขับรถด้วยเรอะเนี่ย?
....
หลังจากที่รถ(ยอม)วิ่งเพิ่มระยะทางให้ คนขับก็ได้แวะเติมน้ำมันที่ปั๊มแห่งหนึ่ง แต่แล้วเขาก็ได้หันมาบอกอะไรบางอย่างกับผู้คนในรถ พอได้ยินดังนั้นเหล่า ผู้โดยสาร ต่างก็พากันลุกเดินออกจากรถอย่างว่องไว เราต่างวิ่งไปขึ้นรถเมล์อีก- คันที่จอดอยู่ไม่ไกลแทน และในเวลานั้นเท้าของฉันขยับไปไวก่อนที่จะรอให้ ใครมาแปลความให้เข้าใจเสียอีก
ส่วนเรื่องค่าโดยสารก็ไม่ต้องจ่ายใหม่ แค่แสดงตั๋วฯ เดิม ให้กระเป๋ารถเมล์คันใหม่ดูเป็นหลักฐานเท่านั้น ไม่นานนัก เราจึงได้ไปถึงสถานีรถไฟจนได้ ต้องขอบคุณคนที่นั่งข้าง ๆ ด้วย ที่เป็นหูเป็นตาคอยบอกตลอดเวลา จนกระทั่งเตรียมลงที่ปลายทางนี้
ฉันไม่มีเวลามาสำรวจรอบนอกพื้นที่สถานีรถไฟนี้นานนักหรอก ถึงจะยังไม่ใช่เวลาเดินทางไกลต่อก็ตามเถอะ
เจ้าตั๋วรถไฟปรับอากาศ ชั้น 3AC ที่ได้มา จะเป็นเตียงนอนสามชั้น มันก็มีลักษณะเดียวกับ ชั้น sleeper class แต่คงน่าจะดีกว่าก็ตรงที่ ไม่ร้อนและไม่มีคนมาเพ่นพ่าน หรือเนียนมาแทรกพื้นที่ของเราได้
ส่วนตำแหน่งชั้นนอนถูกระบุในตั๋วว่า MB นั่นก็หมายถึงเตียงชั้นกลางนั่นเอง ฉันเคยได้แต่ตำแหน่งเตียงบน เลยนึกไม่ออกว่าเตียงกลางมันจะคับแคบไหม คงอาจดูน่าอึดอัดหน่อยนะ ถ้าเกิดอยากลุกขึ้นมานั่งบ้าง
ส่วนในเวลา 20.50 น. จะเป็นเวลาที่รถไฟจะมาถึง ฉันมองแถบป้ายไฟที่จะปรากฏชื่อขบวนรถต่าง ๆ และเวลาที่จะมาถึงระคนไปกับเสียงประกาศงึมงำไปพักใหญ่ สลับเสียงดนตรีที่เปิดประกอบคั่น แท้ม แท้มมมม.... ยังคงเป็นเอกลักษณ์คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
สำหรับคนอื่นเรื่องการมารอขึ้นรถไฟแบบนี้ คงดูไม่น่าจะมีอะไรตื่นเต้นนัก แต่สำหรับฉัน มันโคตรท้าทายกับความกลัวลึก ๆ ในใจ ที่ครั้งก่อนโน้น เคยพลาดเที่ยวโดยสารมาก่อน ยิ่งเวลาใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฉันยิ่งเหงื่อตก กระวนกระวายเกินกว่าเหตุล่วงหน้าไปแล้ว
20.30 น. รายชื่อขบวน Yoga Express ปรากฏบอกบนจอ และแจ้งบอกหมายเลขชานชาลาที่ควรไปรอ ฉันพยายามฟังเสียงประกาศ และเดินไปถามเจ้าหน้าที่เพื่อยืนยันความแน่ใจว่ามายืนถูกจุด
อีกสิ่งหนึ่งที่ควรทำซึ่งเป็นเรื่องนอกตำราก็คือต้องเดินหาคนท้องถิ่น ที่จะเดินทางขบวนเดียวกันกับเราให้เจอ เพื่อจะได้ตามติดเขาได้ เพราะฉันไหวตัวทันเสียงประกาศทันที่ซะไหนกันเล่า?
มีชายคนหนึ่งจัดแจงสะพายเป้ไปยืนรอที่ชานชาลาเดียวกับฉัน กำลังก้มดูนาฬิกาดูท่าจะไปเวลาเดียวกันเลยตรงไปถามพร้อมยื่น หมายเลขขบวนให้ดู "พี่จะไป เที่ยวขบวนหมายเลขนี้หรือปล่าว?"
เมื่อเขาดูตั๋วของฉันก็บอกว่าใช่
"น่าจะขบวนนี้แหละ ไม่ได้ซื้อตั๋วไว้หรอก เดี๋ยวค่อยไปจ่ายข้างบนเอาอีกที"
ชายคนที่ว่ากำลังจะนั่งรถไฟไปยังเมืองหนึ่งในราชาสถาน ที่มีระยะทางไม่ไกลมากนัก เลยมาหาที่นั่งเอาดาบหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่า เขาอาจไม่จำเป็นที่จะต้องมาขึ้นขบวนที่ว่านี้ก็ได้
20.50 น. ตามเวลา รถไฟควรจะต้องมาจอดเทียบได้แล้ว! ขบวนก่อนหน้านี้ ยังมาจอดรอนานก่อนครึ่งชั่วโมงเลย แต่ตอนนี้ที่ชานชาลา หมายเลขหนึ่ง ยังคงเงียบกริบ...ส่วนแสงไฟจากหน้าขบวนอื่นที่ส่องผ่านความมืด วิ่งตรงเข้ามาเทียบจอดชานชาลาอื่นนั้น มันก็ยังไม่ใช่หมายเลขขบวนที่จะไปอยู่ดี
ทั้งนี้เสียงประกาศแจ้งเตือน ก็ยังคงดังขึ้นเรื่อย ๆ ต่อเนื่อง
ฉันเริ่มหน้าซีด เพราะกลัวเรื่องจะซ้ำอีหรอบเดิม และคงไม่หวังพึ่งป้ายไฟอย่างเดียวแล้ว...
ยังเหลืออีกบุคคลที่ควรวิ่งโร่ไปถาม ชายผู้ต้องทำหน้าที่คอยฟังสัญญาณการแจ้งขบวนรถตลอดเวลา เขาจะเป็นคนที่รู้เป็นอย่างดีว่า ขบวนไหนจะจอดที่ไหนเพราะต้อง ไปทำหน้าที่รับของมาขนแบก
นี่ฉันได้เคล็บลับนี้มาจากกลุ่มพระไทย ที่เคยบังเอิญไปเจอแถวร้านเครื่องห่มกันหนาว ในเมืองธรรมศาลาปีก่อนเชียวนะ พระท่านเคยว่าไว้...
โยมต้องไปถาม กุลี ที่ใส่ชุดแดง ๆ คนพวกนี้เขาฟังเสียงประกาศได้แม่นยำที่สุดแล้ว
เอ๊าาา... ตามนั้น ฉันวิ่งตรงดิ่งไปหาบุคคลที่กล่าวถึงทันที ถึงเขาจะอ่านตั๋วไม่ออก แต่ยังมีคนอื่นที่ยืนด้วยกันตรงนั้น ช่วยบอกหมายเลขและชื่อขบวนจากตั๋วเป็นภาษาฮินดีให้ฟัง
กุลี ก็ยืนยันให้คอยอยู่ในชานชาลานี้ ส่วนตัวเขาเองนั้น ก็มีนัดรับขนของกับขบวนที่ว่าด้วย โอเค ...ฉันเริ่มเบาใจละ
21.20 น. ฉันได้ขึ้นไปอยู่บนรถไฟเสียที ชั้นนอนปรับอากาศ ที่อาจไม่ได้หรูสุด แต่มันก็ไม่จ้อกแจ้กวุ่นวาย ดูเงียบสงบ และเย็นสบาย ไม่เคยรักการนั่งรถไฟอินเดียเท่านี้มาก่อน สาบานได้เลย
เมื่อขบวนรถไฟได้เริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีไปแล้วครู่หนึ่ง เราก็เริ่มจัดแจงกางเตียงของแต่ละคน เพื่อแยกตัวเข้านอนประจำที่ ในขณะที่ฉันขึ้นไปอยู่บนเตียงชั้นกลาง ที่มันไม่น่าจะเป็นที่ชื่นชอบ ของใครหลายคนเพราะมีพื้นที่แคบเกินกว่าจะเอนตัวนั่งสบาย ๆ ได้
ฉันไม่เคยดีใจสักนิดกับการที่ตัวเองเป็นคนตัวเล็ก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ก็คงจะต้องยกผลประโยชน์ให้ เพราะช่องว่างบนเตียงนี้มันค่อนข้างพอดีตัว ดูไม่อึดอัดคับแคบมากจนเกินไป หากมองเทียบกับคนตัวใหญ่หรือตัวสูงกว่านี้
พักใหญ่ทีเดียวกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาขอตรวจตั๋วโดยสารกับพาสปอร์ต ซึ่งในช่วงเวลานั้น ก็ยังไม่มีใครเอนตัวนอนหลับกันหรอก ลุงที่อยู่ฟากตรงข้าม ก็เช่นกัน แกเดินตรงมาถามฉันด้วยความสงสัยหลังจากการตรวจฯ ผ่านพ้นไป...
คนเนปาล เวลามาเที่ยวอินเดีย เขาต้องใช้พาสปอร์ตมั้ยอ่ะ?
ว้ายยย...ไม่รู้ค่ะ หนูเป็นคนไทย!
.....
ยามเช้าตรู่ พวกคนอื่น ๆ ที่นอนอยู่ล็อคเดียวกับเราต่างลงไปกันหมดแล้ว ก็เหลือแค่ลุงกับป้าที่อยู่เตียงล่างพวกเขาจะไปยังที่เดียวกับฉัน ระหว่างนี้เราก็ได้คุยกันบ้างตอนเก็บพับเตียงและย้ายมานั่งที่เบาะข้างล่าง
พวกเขาสั่งชามาดื่มหนึ่งถ้วย จากคนขายชาที่เดินเร่ผ่านมาขายบนรถไฟ ป้าหยิบกระบอกน้ำที่เก็บความร้อนทรงยาวออกมา และเอาถ้วยมาวางอีกสองใบ เพื่อรินชาที่ซื้อมาแบ่งเป็นสามส่วน จากนั้นจึงเทนมร้อนลงไปในชาให้เต็มอีกที
แม้จะเห็นว่าฉันจัดการเรื่องอาหารเช้าไปเรียบร้อยแล้วก็ตาม
พวกเขานำโรตีหลายแผ่นที่พกเตรียมมาจากบ้าน ปันส่วนแบ่งให้กิน และมีผักดองให้แกล้มเป็นเครื่องเคียงแถมมีขนมอื่น ๆ ที่ป้าหยิบมาให้ลองกิน
ครั้งนั้นเราได้กินอาหารร่วมกันไปจนถึงมื้อเที่ยง
......
ในตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันแล้ว? ฉันมองป้ายสถานีที่ผ่านไปเรื่อยทางหน้าต่างแต่ก็ไม่คุ้นสักชื่อ
และเมื่อสอบถาม ลุงก็บอกอย่างว่องไวว่า UP ก่อนที่จะคิดได้ว่าฉันคงไม่น่าจะเข้าใจดีนัก ก็เลยพูดซ้ำอีกครั้งกับคำตอบเดิมก็คือ รถไฟกำลังแล่นอยู่ที่ รัฐอุตตรประเทศ
จะว่าไปการเรียก คำย่อ สำหรับชื่อรัฐเหล่านั้น ฟังดูแล้วก็ง่ายดีนะเวลาออกเสียงไม่ถูกจะได้ไม่ต้องเขิน หิมาจัลประเทศ - HP, ทมิฬนาฑู - TN, เวสต์ เบงกอล - WB ...
ถ้างั้นใน รัฐ ที่หมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้ ฉันก็ควรใช้ตัวย่อเรียกได้สินะจะได้ฟังดูแล้วเท่ดีเหมือนกัน
หากตอนนั้นจะมีใครมาถามว่ากำลังจะเดินทางไปที่ไหน? แน่นอนที่สุด ฉันควรจะตอบเขากลับไปเลยว่า...กำลังจะไป UK
ป้ายทะเบียนรถของอินเดีย จะมีการขึ้นตัวย่อของรัฐติดบอกไว้
UK ที่เป็นชื่อย่อของ รัฐอุตตราขัณฑ์ ไง
" อื่นๆ "
- รายชื่ออักษรย่อของ รัฐต่าง ๆ ในอินเดีย รวมไปถึง ดินแดนสหภาพ https://slusi.dacnet.nic.in/watershedatlas/list_of_state_abbreviation.htm
- อ้างอิงระยะทางระหว่าง Ajmir - Haridwar จากหน้าตั๋วรถไฟ
- ค่าตั๋วรถไฟที่ จองผ่านที่ทำการไปรณีย์ในพุชการ์ ราคา 1,300 รูปี สำหรับค่าธรรมเนียมฯ จะระบุรวมไว้ในตั๋วโดยสารเลย (ไม่มีจ่ายการเพิ่มส่วนต่างให้เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินเรื่อง)
### สุดท้ายต้องขออภัยสำหรับเรื่องเล่าอันยาวเหยียด และมีรูปประกอบอันน้อยนิดในเอนทรี่นี้ด้วยนะคะ
Create Date : 26 มกราคม 2560 |
Last Update : 22 มกราคม 2561 9:54:24 น. |
|
24 comments
|
Counter : 1385 Pageviews. |
|
|
เข้าไปอ่านเรื่องราวของนายขี้หลีนั่นแล้วน่ากลัวจริงๆด้วยอะ
ดีนะคะที่รีบปลีกต้วออกมาได้
เรื่องรถไฟอินเดียนี่ได้ยินมาว่าโหดมาก ใครขึ้นได้ก็เก่งล่ะ
เดินทางโดยรถไฟไม่ง่ายเลยนะคะ
แต่ก็ได้สัมผัสกับชาวบ้านด้วย อาหารที่ป้าแบ่งให้อร่อยมั้ยคะ
แม่เคยเดินทางโดยรถไฟที่อินเดียกับน้องสาวก็ได้คุยกับคนอินเดียบนรถเขาก็แบ่งอาหารที่ห่อมาจากบ้านให้ลองชิมเหมือนกัน แม่บอกอร่อยดี
แต่ละเมืองมีชื่อย่อให้ใช้เรียกก็ดีนะคะ คนต่างชาติจะได้เรียกง่าย ว่าแต่ ไปถึง UK เลยหรือคะ อิอิ
พรุ่งนี้แวะมาใหม่นะคะ