เรื่องบันทึกระหว่างทาง : วันเลี้ยงส่ง
"ไม่มีให้จองไปมะนาลีหรอก... ถ้าจะเดินทางก็คงต้องสองต่อ"
พนักงานจองตั๋วรถฯ บอกให้ฉันควรหาเส้นทางอื่นไป อาจจะต้องไปเดลีแล้วต่อ ไปยังที่หมายอีกที ไม่ก็อ้อมโลกไปจันดิการ์ก่อน ซึ่งกินเวลานานข้ามวันข้ามคืน!
ที่ฝั่งตลาด ของเมืองริชชิเกช ก่อนถึงท่ารถสามล้อ
จะมีซุ้มเล็ก ๆ สำหรับจองตั๋วรถโดยสารล่วงหน้า ฉันมองหาตารางเที่ยวรถจากที่นี่ ไปยังมะนาลี แต่กลับไม่เจอสักบรรทัด จำได้ว่าเมื่อปีก่อนมีน้องคนหนึ่งที่เคย ติดต่อพูดคุยกันเรื่องเดินทาง ช่วงที่เขามาอินเดียก็ได้นั่งรถโดยสารรอบเย็น จาก มะนาลี มาลงที่สถานีขนส่งเดห์ราดูนได้นี่... เลยต้องยอมลงทุนเสียเวลาเดินทางไปถามที่ขนส่งฯ โดยตรงซะเลยดีกว่า
ก็พบว่า มีรถโดยสารวิ่งไป เดห์ราดูน-มะนาลี โดยตรง เพียงแต่ไม่มีบริการให้จอง ล่วงหน้าเท่านั้น อีกทั้งยังมีแค่รอบเดียวต่อวัน คือบ่ายสามโมงครึ่ง และต้อง ซื้อตั๋วโดยสารก่อนเวลารถออกล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงจากหน้างานสถานเดียว
ฉันได้แต่ถ่ายรูปหน้ารถที่ติดป้ายบอกชื่อเมืองเป็นภาษาฮินดี เอาไว้เทียบเคียงสำหรับวันพรุ่งนี้หากเกิดโชคร้ายหารถไม่เจอ
.....
ที่ริชชิเกช หลังจากได้เจอกับ สุนีล เพื่อนเก่าที่ตั้งซุ้มขายน้ำผลไม้ ฉันเลยได้ถามหา สุราช เพื่อนบาบาที่รู้จักเมื่อปีก่อน ... ก็พบว่าเขาไม่อยู่ที่นี่เสียแล้ว
"สุราชหายไปตั้งแต่ปีก่อน ตอนปลายเดือนตุลาคม หลังจากที่เธอย้ายเมืองไปแล้ว จะว่าไปก็ครบปีพอดี"
สุนีลเดาว่าเขาคงไปอยู่แถวหริดวาร์ เพราะพวกบาบามักชอบไปรวมกลุ่มกัน ในสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน อีกทั้งยังไม่ค่อยจะอยู่เป็นที่เสียเท่าไหร่ เขาบอกเล่าไปพร้อม ๆ กับหยิบส้มมาวางใส่เครื่องคั้นที่หมุนด้วยแรงมือ พลางเทใส่แก้วและยื่นส่งให้กับฉัน หลังจากนั้นก็รวบรวมกากผลไม้ที่เหลือ ของวันในกระป๋องรองมาเทให้กับวัวตัวหนึ่งที่มายืนรอตรงหน้าร้าน
"เจ้าตัวนี้เป็นเด็กดีนะ เขาเวียนมาขอกินทุกวัน แต่วัวบางตัวก็แสบ ชอบขโมยผลไม้ฉันไปกินตอนเผลอ"
ชีวิตคนเมืองนี้ ก็ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างเว้นแต่ผู้คนที่มีเยอะมากขึ้น จนเหล่า แผงขายของตามริมทางเดินมีการขยับขยายเยอะมากกว่าเก่า ฉันแอบคิดว่าปีต่อ ไปถัดจากนี้ พื้นที่ค้าขายคงขยายยาวไปจนถึงหน้า อาศรม เดอะบีทเทิล แน่
กุลดีพ เพื่อนจากเดวปรายัค แวะตรงมาเยี่ยมฉันหลังกลับจากบ้านพี่สาวที่อยู่แถว เนปาลีฟาร์ม ซึ่งไม่ไกลไปจากริชชิเกชนัก ฉันไม่รู้ว่าจะนัดเจอกันที่ไหนเลยต้อง ขอเป็นที่รโหฐาน มีคนเยอะ ๆ น่าจะเหมาะ
นั่นคือลานหน้าท่าน้ำของปารมารท นิเกตัน นี่แหละ เพราะยังไงก็ต้องแอบดอดมาถ่ายภาพทุกเย็นอยู่แล้ว
ในเย็นวันนี้ ฉันเลยมีคนช่วยอธิบายเรื่องบางอย่างในพิธีให้ฟังด้วย โดยเฉพาะเรื่องของภาษาสันสกฤตที่พวกพราหมณ์ใช้พูดกัน
"เป็นเล่นไป ภาษานี้ยังใช้พูดได้ด้วยเรอะ?" ฉันหันกลับไปถามถึงเรื่องภาษาโบราณที่ว่า "แล้วฟังออกรึปล่าว?"
"ฟังออกสิ เคยเรียนเรื่องพวกนี้มาก่อนเพราะฉันอยู่ในวรรณะพราหมณ์ อ่อ เจ้าสุมาลเด็กข้างบ้านฉันคนนั้นเป็น ราชปูต์"
กุลดีพบอกกับฉันว่าที่เดวปรายัค จะมีอสองวรรณะเป็นหลักเลยต้องขอให้ฉันอุบ เป็นความลับเอาไว้ว่า ห้ามบอกคนที่นี่ว่าเขาเป็นคนมาจากที่ไหนเด็ดขาด เพราะ กลัวใครจะมารู้ว่าตัวเองเป็นวรรณะพราหมณ์
ฉันอยากจะถามซะจริงว่า เพื่อ???
ในบางความรู้สึกของใครบางคน ฉันอาจเข้าใจได้ไม่ดีนัก เพราะโตมาคนละ วัฒนธรรม ยิ่งเวลาที่ได้นั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มปัณฑิตเหล่านี้ มันก็เหมือนกับว่า ยิ่งไปตอกย้ำปมในใจของกุลดีพ
อาจเพราะรอยสักที่ต้นคอ แขน และที่อื่น ๆ หากเอาไปมองเทียบ กับคนในวรรณะเดียวกันแล้ว เขากลับรู้สึกเขินอายที่จะบอกว่าตัวเอง เป็นใครมาจากไหน โดยเฉพาะเรื่องงานของกุลดีพที่เป็นคนทำครัว ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเดลีกับหน้าที่คนหั่นแต่งเนื้อสัตว์
....
ยังมีอีกเรื่องน่าประหลาดใจในคืนนี้ ฉันเจอ วิเวก เพื่อนจากเมื่อปีก่อน! ฉันเจอเขาที่นี่ระหว่างรอเรือข้ามฟาก และในปีนี้ก็ยังได้บังเอิญมาเจอกันที่ ริชชิเกชอีก โลกโคตรกลม! เขาเคยส่งข้อความมาให้ฉันรู้ว่าจะเดินทางไปยัง บาดรินารท ในอีกไม่กี่วัน ในขณะที่ตัวฉันเองก็กำลังนั่งอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อเตรียมเดินทาง มาอินเดีย แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวติดต่อให้รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว
ฉันดีใจมากที่ยังได้มาเจอกันอีกเลยเดินเข้าไปทักพร้อมกับลากกุลดีพไปด้วย วิเวก เพิ่งเดินทางกลับมาจากบาดรินารท และเพิ่งเข้าพักที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ทั้งที่เราอาจจะสวนทางกัน ไม่ก็ควรแยกย้ายเมืองกันไปเป็นที่เรียบร้อย ก็ไม่คิดเลยว่าจะยังได้กลับมาเจอกันอีก
ฉันแนะนำกุลดีพให้รู้จัก แต่ก็ยังอุบบางเรื่องเอาไว้ก่อน
"ผมมาจากเดลี ทำงานเป็นพ่อครัวอยู่ที่นั่น" กุลดีพ ยื่นมือเข้าไปเชคแฮนด์ แนะนำตัวอย่างว่องไว
"แต่อันที่จริง กุลดีพมาจากเดวปรายัค" ฉันพูดแซวไป เพราะดูแล้ววิเวกไม่น่าจะ ถือสาเรื่องนี้เท่าไหร่ พอรู้เข้าพี่วิเวกกลับดีใจที่ได้รู้จักกับคนเมืองนี้ เพราะได้แวะ พักที่นั่นเมื่อไม่กี่วันก่อน "ทำไมนายถึงไม่บอกแต่แรก ว่ามาจากเดวปรายัค"
กุลดีพบอกเหตุผลที่ต้องโกหกไป เพราะถ้าบอกตรง ๆ ว่ามาจากเมืองไหน ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นพราหมณ์ ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจสถานภาพ ของคนแต่ละคนที่ผูกติดหน้าที่เรื่องวรรณะสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่หมอนี่คงหนักใจ ไม่ใช่น้อย
"ไม่เป็นไรหรอกน่า" วิเวกพูดปลอบ พร้อมเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องกินแทน "เคยไปกินอาหารที่แคนทีนใน ปารมารท กันรึยัง?"
ฉันกับกุลดีพ ส่ายหน้าไม่เคยได้ยินเรื่องโรงอาหารของที่นี่ วิเวกเลยชวนไปกินทาลี อาหารถาดที่ขายด้านในซะเลย เขาว่าถูกมากแค่ 60 รูปีเอง มีตักเติมเพิ่มได้หนึ่งครั้งอีกต่างหาก จากนั้นพวกเราก็ย้ายเรื่องคุยในประเด็นอ่อนไหวมาเป็นเรื่องกินแทน
ที่โรงอาหาร ในเวลาหัวค่ำเราได้ยินเสียงร้องสวดมาจากห้องโถงที่อยู่ด้านข้าง ที่ไกลแค่ผนังกั้น ซึ่งแยกเป็นที่กินข้าวสำหรับนักเรียนของที่นี่ โดยมีคนกล่าวนำ และคนท่องตาม พี่วิเวกไม่รู้ว่าเสียงสวดนี้คืออะไรแต่พอถามกุลดีพ ก็ได้ใจ ความว่าเป็นบทสวดขอบคุณพระเจ้าที่จะต้องท่องกันก่อนกินข้าว ตัวเขาเองก็ เคยทำแบบเดียวกันนี้ในวัยเด็ก
หลังมื้ออาหารค่ำวันนั้นพวกเราก็ได้เดินตระเวณดูรูปปั้นเทพเจ้าในศาสนาฮินดู ที่ตั้งวางไว้ในมุมต่าง ๆ ของสวนหย่อมและพื้นที่จัดวางในอาคาร หนนี้เรามี วิทยากรจำเป็นแบบกุลดีพมาช่วยพูดอธิบายให้ด้วย เขาดูเหมือนกับคนมีความ- หลังนิดหน่อยเมื่อพูดถึงเรื่องจารีตและหลักความเชื่อที่มีติดตัวมาแต่พื้นเพ และบางทีก็ดูเหมือนคนเพี้ยนหลุดโลก
สามทุ่มแล้ว เราข้ามสะพานรามจุฬามาอีกฝั่ง เพื่อส่งกุลดีพกลับเนปาลีฟาร์ม ด้วยการไปยืนโบกสามล้อเป็นเพื่อน
"แล้วเจอกันพรุ่งนี้"
เขานัดเจอฉันเพื่อเลี้ยงส่ง ตรงสถานีขนส่งเดห์ราดูน พร้อมกับย้ำ ๆๆๆ เรื่องการขึ้นรถจากที่นี่ไปที่โน่นจนดูน่ารำคาญ
"ไปถูกแน่นะ ขึ้นรถแล้วบอกกระเป๋ารถเมล์ ว่าไปลง I.S.B.T. เดห์ราดูน เธอจำได้ใช่ไหม"
"เออ...จำได้ ชั้นไม่ใช่หน้าใหม่สำหรับที่นี่นะ" จะพูดยังไงกุลดีพมันก็ไม่เชื่อ จะย้ำให้หยิบเอาสมุดมาจดให้ได้
"ถามวิเวก สิ เขายืนยันได้ ปีก่อนฉันก็แยกไปที่ท่ารถพร้อมเขา"
"จริงเหรอพี่?" เขาหันไปทางวิเวก
วิเวก จึงช่วยตอบยืนยันให้อีกเสียงว่า ฉันรู้ทางดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
เรารอรถที่จะวิ่งผ่านมานานพอสมควรเพราะมันน่าจะดึกเกินไปสำหรับ การเดินทาง ไปยังเนปาลีฟาร์ม ที่อยู่ห่างไปจากเมืองนี้ 14 กิโลเมตร เราแอบกลัวอยู่ว่าหมอนี่ จะไม่มีรถกลับเพราะถูก ตุ๊กตุ๊ก ปฏิเสธมาแล้วหลายหน แต่สุดท้ายก็มีสามล้อ(แบบแชร์ค่าโดยสาร) คันหนึ่งยินยอมให้ติดรถไปด้วยจนได้ กุลดีพ ขอเวลาครู่หนึ่งเพื่อวิ่งกลับมาเชคแฮนด์กับวิเวกและสวมกอดตามธรรมเนียม
"ยินดีที่ได้รู้จัก ครับพี่"
จากนั้นหันมาเช็คแฮนด์ลาฉันต่อ
"แกไปเหอะ" เช็คแฮนด์เฉย ๆ ก็พอ!
จากนั้นเขาก็วิ่งไปนั่งที่รถตุ๊กตุ๊กตรงด้านข้างคนขับ หันโบกมือบ๊ายบายส่งท้าย ก่อนหายไปจนลับสายตา
"เค้าดูบ้าดีเนอะ" วิเวกบอกถึงนายนั่นแบบไม่อ้อมค้อม
จะว่าไปเขาก็ไม่มีพิษภัยอะไรนักหรอกแค่เหมือนคนเพี้ยน ๆ
จากนั้นพวกเราไม่ได้โต๋เต๋ไปไหนต่อหรอก แต่กลับรีบเดินจ้ำข้ามสะพานอย่างไว เพราะเวลาก็ล่วงเลยมานานพอสมควร และอาศรมของฉันก็กำลังจะปิดตอนสี่ทุ่ม!
....
ชู้ช เป็นชาวเดวปรายัค แต่ตอนนี้อาศัยอยู่ที่เดห์ราดูน เพราะต้องมาเรียนครู ที่มหาวิทยาลัยดูน ช่างน่าประหลาดดีแท้ที่เขาเป็นเพื่อน กับกุลดีพมานานถึงแปดปี ได้นับย้อนไปก็ตั้งแต่วัยกระเตาะสมัยเรียนโน่นเลย อีกคนหนึ่งดูไม่ค่อยพูด แต่อีกคนกลับพูดมากเป็นต่อยหอย
ชู้ชยังไม่เคยคบใครเป็นแฟน ส่วนกุลดีพดูทรงแล้วก็ไม่(น่า)มี
ระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งสุมหัวจิบน้ำอัดลมที่สถานีขนส่งฯ ปากฉันก็ดันพูดพล่อยไปว่า ทำไมพวกนายไม่คบกันเองไปซะเลยล่ะ ทั้งสองคนหันมาบอกหน้ากันแบบแปลก ๆ แล้วก็รีบตอบโดยไม่นัดแนะ
"ไม่มีทาง!"
ฉันออกมาจากที่พักตอนสิบโมงเช้า และมาเจอสองคนนี้ที่ท่ารถ ก่อนจะออกไปหาอะไรกินกันที่ห้างฯ ที่อยู่ไม่ไกลจากนั้น
แต่ขอบอกเลยว่าห้างสรรพสินค้าในอินเดีย กว่าจะได้เข้าก็ต้องลำบากเดินผ่าน เครื่องตรวจโลหะและตรวจค้นตามร่างกายเสียก่อน คงเพราะฉันมีสัมภาระติดตัว ก็เลยมองว่ามันดูยุ่งยากและเข้มงวดไปหมด
มื้อกลางวันนี้กุลดีพกับชู้ช ตกลงกันว่าจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงส่งฉันกัน ก็เลยพลิกดูรายการอาหารที่ไม่น่าจะเป็นภาระให้พวกเขาต้องจ่ายหนัก วันนี้ฉันคิดจะกินแกงไก่ ... อดอยากปากแห้งมานานหลายวันแล้ว ได้กินแต่อาหารมังสวิรัติมาตลอดเลย!
ยอดเยี่ยมมาก! ที่เดห์ราดูนมีอาหารประเภทเนื้อสัตว์ขาย
"ชู้ช เป็นมังสวิรัติรึปล่าว" ดูจากหน้ากับรูปร่างผอมบางแล้วไม่น่าพลาด และคำตอบก็คือใช่ แต่จริง ๆ ฉันก็อยากจะถามต่อว่าน้ำหนักตัวของชู้ชนี่ สเกลตาชั่งจะกระดิกไปถึง 40 กิโลฯ ไหมเนี่ย?
ฉันคิดจะสั่งเมนู non-veg แต่รู้สึกเกรงใจ เพราะพวกไม่กินเนื้อนี่จมูกไวจะตาย จากที่ตัวเองเคยกินมังสวิรัติมานานสองปี จำได้ว่าเวลานั้นพอเดินผ่านร้านข้าวที่ ทำอาหารตามสั่ง ก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นเนื้อสัตว์ที่กำลังปรุงจะมีกลิ่นคาวแปลก ๆ อย่าง บอกไม่ถูก
แต่สุดท้ายก็สั่ง แกงไก่ มากินจนได้ ไปสิงอยู่แต่ holy place มาหลายวัน กินแต่ถั่วและผักมาหลายมื้อแล้วจะลงแดงตาย
หลังจากสั่งเมนูไก่ไปแล้วก็เหลือแต่โรตี ที่จะเอากินกับแกง ฉันแอบเลือกประเภทของมันไม่ถูกเพราะดันมีเยอะแยะมากมายไปหมด เลยแอบสงสัยว่ามีใครเคยเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องโรตีบ้างรึยังเนี่ย?
พอถึงบ่ายสองโมงกว่า เราเดินออกมาจากห้างตรงมายังที่ท่าจอดรถ ตำแหน่งเดิมกับที่ฉันมาดูลาดเลาเมื่อวาน
นั่นไง... ป้ายหน้ารถคันนี้ดูเหมือนกับที่ถ่ายเก็บเอาไว้เมื่อวานเป๊ะ เลยให้กุลดีพช่วยยืนยันอีกหนว่ามันคือรถไปมะนาลีจริงหรือปล่าว
พวกเรานั่งรอเวลาแถวนั้นอยู่พักใหญ่ ก็เห็นโต๊ะจำหน่ายตั๋วถูกวางตั้งและเตรียม ขายจากพนักงานฯ ที่เริ่มเรียกลูกค้า ก็คงไม่ต้องถามนะว่าคนที่มารอซื้อจะต่อแถว กันเป็นไหม? พวกเขาต่างพากันไปยืนมะรุมมะตุ้มรุมซื้อกันจนน่าปวดหัว ชู้ช เป็นคนตัวสูงที่สุดในกลุ่มเลยถูกส่งไปทำหน้าที่ซื้อตั๋วให้
"กว่าจะออกตั๋วใบนึงได้ใช้เวลาตั้ง 15 นาที!"
ชู้ช แอบหันมาบ่นให้ได้ยิน ในขณะที่กำลังยืนขวางคนที่กำลังพยายาม เบียดแทรก เขาว่าฉันตัวเล็กไปถ้าต้องมาซื้อเองคงไม่ทันกิน หลังจากรู้หมายเลขที่นั่งแล้วกุลดีพก็ช่วยหอบเป้ลูกโตยัดใส่ชั้นวางบนรถ
ส่วนตัวเองก็โดนไล่ให้ไปหาของกินมาเตรียมไว้ระหว่างเดินทาง
ก่อนที่พวกเราจะลาจากกันไป
รถโดยสารออกเดินทางตรงเวลาและฉันก็ได้ที่นั่งริมหน้าต่างพอดี แต่น่าเสียดายหน่อย ที่ซีกฝั่งด้านนี้มันเป็นเบาะนั่งสำหรับสามคน ดังนั้นมันจึงดูคับแคบไปมาก
ฉันเดินทางออกจากเดห์ราดูน ตอนบ่ายสามโมงครึ่ง และจะไปถึงยังมะนาลี ในอีกวันถัดไปนั่นคือแปดโมงเช้า
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2559 |
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 15:32:39 น. |
|
29 comments
|
Counter : 1225 Pageviews. |
|
|
คนเสื้อเชิ้ตลายทางใช่มั้ย ชู้ช พี่ว่า เลย 40 นะ เพราะเค้าน่าจะสูง และหนักกระดูก
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ร่มไม้เย็น Dharma Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น