|
|
| | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
| 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
| 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
| 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
| 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
| |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
วนเที่ยวรอบมารีน่าเบย์
บล็อกส่งท้ายปี ขออัพทริปสิงคโปร์ที่เพิ่งไปมาเมื่อวันที่ 21-22 พ.ย. ที่่ผ่านมาครับ มันคือเที่ยวช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ปกตินั่นเอง ทริปนี้วางแผนไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วที่ไปอบรมสิงคโปร์แต่ไม่มีโอกาสได้เที่ยวใดๆ นอกจากเดินช้อปแถวออร์ชาร์ดอย่างไร้จุดหมาย พอเปิดแผนที่สิงคโปร์ดูแล้วรู้สึกว้าวกับโซน City Hall มาก เพราะมันเต็มไปด้วยตึกเก่าและพิพิธภัณฑ์! กว่าจะหาโอกาสเหมาะๆ มาเที่ยวได้เวลาก็ผ่านไป 1 ปีเต็ม...
นับเป็นครั้งที่ 3 ที่มาประเทศนี้ แต่สองครั้งก่อนมาอบรม ครั้งนี้มาเที่ยว! เที่ยวจริงๆ แบบไม่มีอะไรมาปน! ไปกับแม่สองคน พักหนึ่งคืน จองโรงแรม จองเครื่องบิน ไม่มีกระเป๋าโหลด ใช้แบบสะพายเป้ 5-6 โล เดินเตร่เอาครับ สิงคโปร์รูดบัตรเครดิตได้เกือบทุกร้านอยู่แล้ว แต่แลกเงินไปนิดหน่อยกันเหนียว (1 SGD ประมาณ 25 บาท) สมัครแพ็คเกจโรมมิ่ง แล้วเปิดใช้วันที่ไป สิงคโปร์ไม่ต้องขอวีซ่านะ กำพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุไว้แน่นๆ กรอก ICA Arrival Card ออนไลน์ก่อนเดินทางสามวัน จากนั้นก็เตรียมเดินทางโลดครับ 
ออกจากบ้านตีห้าเอารถไปจอดสนามบินดอนเมืองแล้วขึ้น Thai Lion Air ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม.ครึ่งก็ถึงสิงคโปร์โดยสวัสดิภาพ ที่นี่เวลาเร็วกว่าไทย 1 ชม. พอเปิดโรมมิ่งแล้วเวลาในมือถือก็อัพเดทตามเวลาท้องถิ่นโดยอัตโนมัติครับ เรากรอก arrival card ออนไลน์มาแล้วก็เอาพาสปอร์ตแตะที่เกทผ่าน ตม. มาแบบไม่ต้องสัมภาษณ์อะไร
ทุกอย่างดูไร้ปัญหาจนกระทั่งเรียก grab ก็พบว่าบัตรเครดิตมันตัดไม่ได้ เลยเอาเงินสดจ่ายแท็กซี่ไปครับ 24 SGD เดี๋ยวคืนนี้ค่อยติดต่อ UOB ว่ามันเป็นอิหยัง? ถ้าใช้บัตรไม่ได้ทริปนี้ต้องเขียมมาก หรือไม่ก็ต้องไปแลกเงินเพิ่มแบบเรตแพงๆ แถวที่พักเอา
ก่อนอื่นขอแนะนำแผนที่ของโซน City Centre จากเว็บ https://www.tamwaihong.com/city-centre-map-singapore
 มาริน่าเบย์ที่เป็นปากแม่น้ำสิงคโปร์ถูกโอบล้อมด้วยสถานที่สำคัญใจกลางประเทศ ทิศเหนือคือเขต City Hall ทิศตะวันตกคือ Chinatown และทิศตะวันออกคือสวนพฤกษศาสตร์ Gardens by the Bay ฝั่ง ฺBay South ช่วงบ่ายวันแรกจะเที่ยว City Hall ช่วงเช้าวันที่สองจะเที่ยว Chinatown และช่วงบ่ายวันที่สองจะเที่ยว Gardens by the Bay ถือว่าโปรแกรมค่อนข้างแน่นเลยครับ วิ่งตามมาเลย!    
แผนที่โซน City Hall
National Museum of Singapore (พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสิงคโปร์)
นั่งแท็กซี่มาถึงที่เที่ยวแห่งแรก National Museum of Singapore ตัวอาคารนี้สร้างในยุคราชินีวิคตอเรีย ตั้งแต่ปี 1887 ทริปนี้ไม่ได้เอากล้องไปนะครับ กลัวน้ำหนักกระเป๋าเกินแบบจัดๆ เลยเอาไปแค่มือถือนี่แหละ ทดสอบความสามารถ Samsung Galaxy S25 Ultra ไปด้วย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงครึ่ง ฝากกระเป๋าเข้าล็อคเกอร์แล้วก่อนเที่ยวขอกินมื้อเที่ยงก่อนครับ เอา Dame Museum Cafe ร้านในพิพิธภัณฑ์นี่แหละ สั่ง Bacon & Suasage Rosti กับ Black Pepper Crab Linguine มื้อนี้ค่าตัว 53 SGD ครับ ค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ในสิงคโปร์ส่วนใหญ่จะแบ่งเรตราคาคนสิงคโปร์และชาวต่างชาติ ผู้สูงอายุ/เด็กนักเรียน/คนพิการ จะได้ลดราคาลงมาด้วย เวลาดูคู่มือท่องเที่ยวระวังเตรียมเงินไปไม่พอนะครับ เราต้องจ่ายเรตราคาสูงที่สุดคือคนต่างชาติที่ยังไม่สูงวัย สำหรับพิพิธภัณฑ์นี้ค่าเข้าชาวต่างชาติ 24 SGD สูงอายุ 18 SGD ครับ
National Museum of Singapore จะเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติสิงคโปร์ ด้วยความที่ประเทศไม่ได้มีประวัติศาสตร์ยาวนานอะไร พิพิธภัณฑ์นี้จะไม่ได้มีของเก่าแก่ให้ชมมากมายแบบพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของหลายๆ ประเทศ แต่ชดเชยด้วยการจัดแสดงที่ทันสมัยและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้เข้าชม ตอนนี้เปิดแสดงสองห้องคือ Singapore Odyssea และ Once Upon a Tide
Singapore Odyssea: A Journey through Time แจกริสแบนด์ให้ผู้เข้าชม ก่อนเดินลงทางเดินวนลงไปชั้นล่าง จะมีหน้าจอมัลติมีเดียแบบอินเตอร์แอคทีฟให้มีสัตว์เวทบินตามเรามาตลอดทาง หน้าจอจะแสดงยุคต่างๆ ของสิงคโปร์ ไล่จากปัจจุบัน ย้อนอดีตไปเรื่อยๆ จนถึงยุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์เมื่อ 700 ปีก่อน วนลงมาชั้นล่าง เป็นจออินเตอร์แอคทีฟทั้งรอบห้องและบนพื้น ฉายภาพทะเลของสิงคโปร์ในยุคต่างๆ Once Upon a Tide: Singapore's Journey from Settlement to Global City นิทรรศการที่เพิ่งจัดขึ้นมาในปีนี้ เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีการประกาศเอกราช แสดงความเป็นมาของสิงคโปร์ตั้งแต่ยุค 700 ปีก่อน จนถึงยุคของการสำรวจ การตั้งรกราก ยุคล่าอาณานิคม และการประกาศเอกราช มีของจัดแสดงนิดหน่อยอย่างแผนที่สิงคโปร์ที่ปรากฎในแผนที่ตะวันตก แปลนเมืองสิงคโปร์ ภาพถ่ายการถมทะเล สนธิสัญญา ถ้วยแข่งม้า ธงสิงคโปร์ที่ปักบนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ฯลฯ ขอเล่าประวัติศาสตร์สิงคโปร์แบบสั้นๆ ครับ แม้จะเป็นดินแดนที่มีความสัมพันธ์กับต่างชาติมายาวนาน แต่สิงคโปร์เพิ่งขึ้นมามีบทบาทด้านการค้าทางทะเลเป็นอย่างมากหลังอังกฤษเข้ามายึดครอง
ในอดีตกาล - สิงคโปร์เป็นที่รู้จักในชื่อเทมาเส็ก (Temasek-เมืองแห่งทะเล) เป็นเมืองท่าค้าขายของภูมิภาค ศตวรรษที่ 13 - สิงคโปร์ถูกปกครองโดยชวาและเปลี่ยนชื่อเป็นสิงหปุระ ก่อนตกเป็นเมืองขึ้นของอีกหลายอาณาจักร ทั้งสยาม มะละกา โปรตุเกส ฮอลันดา 1819 - อังกฤษส่ง Stamford Raffles มาสร้างสิงคโปร์เป็นสถานีการค้าของอังกฤษ สิงคโปร์อยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษกว่าร้อยปี (ยกเว้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตกเป็นของญี่ปุ่น) 1959 - ลีกวนยูขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และนำสิงคโปร์เข้าร่วมกับมาเลเซียเป็นสหภาพมลายาเพื่อให้พ้นสถานะเมืองขึ้นของอังกฤษ 1965 - สิงคโปร์ประกาศเอกราชจากมาเลเซียจากความขัดแย้งทางการเมือง เชื้อชาติ และเศรษฐกิจ รัฐบาลของลีกวนยูปกครองประเทศยาวนาน 31 ปี สร้างระเบียบวินัยและความเจริญเป็นอย่างมาก จนสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่เจริญที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงปัจจุบัน ทั้งด้านรายได้ต่อหัวประชากร ความโปร่งใส นวัตกรรม คุณภาพชีวิต
ตรงข้าม National Museum จะมี Fort Canning ป้อมปราการเก่าที่คนนิยมลงไปถ่ายอุโมงค์ต้นไม้กัน แต่ไม่มีเวลาไปอะครับ ขี้เกียจต่อคิวด้วย เป้าหมายหลักวันนี้คือพิพิธภัณฑ์แบบรัวๆ
Peranakan Museum (พิพิธภัณฑ์เปอรานากัน) เดินต่อมาอีก 10 นาทีก็ถึงพิพิธภัณฑ์แห่งที่สอง Peranakan Museum จัดแสดงวัฒนธรรมความเป็นมาของชาวเปอรานากัน เป็นเลือดผสมจีน-มลายู และเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศสิงคโปร์ เปอรานากันแปลว่า "เกิดที่นี่" แสดงถึงกลุ่มคนจีนที่หอบเอาวัฒนธรรมจากต่างแดนมายังคาบสมุทรมลายูและหมู่เกาะชวา ตึกสวยไหมครับ อาคารนี้เดิมทีเป็นโรงเรียน Tao Nan ก่อตั้งในปี 1906 เป็นโรงเรียนภาษาจีนที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ และเคยถูกใช้เป็น Asian Civilisations Museum ก่อนย้ายไปที่ Empress Place แล้วรีโนเวตตึกนี้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เปอรานากันในปี 2008 ที่นี่ปิดปรับปรุงไปพักใหญ่ๆ ช่วงปี 2019-2023 ตอนนี้กลับมาเปิดปกติแล้วครับ ค่าเข้าชาวต่างชาติ 18 SGD ผู้สูงอายุ 12 SGD
ภายในจัดแสดงวิถีชีวิตชาวเปอรานากัน ข้าวของเครื่องใช้เก่า พิธีแต่งงาน ความเชื่อ ช่วงที่ไปมีการจัดนิทรรศการนกยูง Peacock Power ซึ่งชาวเปอรานากันใช้เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความงดงาม และศักดิ์ศรี นิยมนำขนมาประดับตกแต่ง รวมถึงใช้ในพิธีการอย่างงานแต่งงาน
บ่ายนี้จะเที่ยว 4 พิพิธภัณฑ์ หนทางยังอีกยาวไกลนัก มีอีกหลายอาคารที่ไม่ได้เข้า แต่รูปตึกโคโลเนียลก็สวยงามจนอดใจไม่ถ่ายรูปมาไม่ไหว  Children's Museum Singapore มีกิจกรรมให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีร่วมเพื่อการเรียนรู้ เดิมอาคารนี้เป็นโรงเรียน Anglo-Chinese ก่อสร้างในปี 1906 |  The Masons Table สถานที่จัดงานเลี้ยงและงานแต่งงาน ถ่ายมาเพราะคิดว่าเก่าแต่ไม่เก่าครับ เพิ่งเปิดปี 2018 นี้เอง | National Gallery Singapore (หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์) หอศิลป์แห่งชาติสิงคโปร์ เป็นที่รวบรวมโมเดิร์นอาร์ตของศิลปินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในอดีตอาคารนี้ถูกใช้เป็นศาลสูงและศาลากลาง สร้างในปี 1929 และเป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายครั้ง เช่น เป็นสถานที่ที่กองทัพญี่ปุ่นอ่านแถลงการณ์ยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นในปี 2005 นายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงได้ประกาศเปลี่ยนอาคารนี้เป็นหอศิลป์แห่งชาติ และเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา ค่าเข้าชมชาวต่างชาติ 20 SGD ตอนนี้มีนิทรรศการพิเศษถ้าซื้อแบบ all access เข้าได้ทุกห้องก็อัพราคาเป็น 30 SGD ครับ
อาคารมีโซนจัดแสดงศิลปะ 4 ชั้น ดาดฟ้าอีกสองชั้น และที่จอดชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น เดินกันให้ขาบิดครับ ชั้น 1 - เวิร์คช้อปสอนงานศิลปะเด็กๆ ชั้น 2 - นิทรรศการถาวร และโถงศาลสูง ชั้น 3 - ห้องประชุมผู้ว่า และนิทรรศการพิเศษ (Into the Modern) ชั้น 4 - ประวัติการก่อสร้าง และนิทรรศการพิเศษ (Fernando Zobel) เป็นอาคารที่กว้างใหญ่ไพศาล และได้ชมฝีมือศิลปินจากหลากหลายประเทศ แต่ผมชอบงานศิลป์ในแกลเลอรี่ที่ไทยอย่าง MOCA มากกว่าแฮะ ด้วยการถ่ายทอดฝีมือมายาวนานและจำนวนคนทำอาชีพด้านศิลปะแล้วเรื่องนี้ไทยกินขาด
ตึกรัฐสภาหลังเก่า อันนี้อยู่ระหว่างทางเดินไปริมน้ำครับ อาคารนี้ถูกก่อสร้างในปี 1827 เป็นที่พักของพ่อค้าต่างชาติ ก่อนรัฐบาลจะเข้าซื้อใช้เป็นศาลสูง และเปลี่ยนเป็นรัฐสภาในช่วงปี 1965-1999 ก่อนถูกปรับเป็น The Art House ในปี 2004 สำหรับจัดงานแสดงศิลปะ ถือเป็นหนึ่งในอาคารเก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์  | ข้างอาคารมีอนุสรณ์รำลึกเหตุการณ์ที่ ร.5 มาเยือนสิงคโปร์ ในปี 1871 สยามถือเป็นชาติแรกที่ มาเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการ  |
Asian Civilisations Museum (พิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย) Asian Civilisations Museum (ACM) หรือพิพิธภัณฑ์อารยธรรมเอเชีย รวบรวมศิลปะวัฒนธรรมของประเทศต่างๆ ในทวีปเอเชียไว้ เดิมทีตั้งอยู่ในอดีตโรงเรียน Tao Nan จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์เปอรานากันและย้าย ACM มาที่อาคาร Empress Place แทน
อาคารหลังนี้สร้างในปี 1867 แบบนีโอคลาสสิคริมแม่น้ำสิงคโปร์ และต่อขยายอีกหลายครั้ง เคยถูกใช้เป็นศาลท้องถิ่น สำนักทะเบียนราษฎร์ โรงกษาปณ์ พิพิธภัณฑ์เอ็มเพรสเพลส ก่อนจะกลายเป็น ACM ในปี 2003 ริมน้ำหน้าอาคารมีอนุสาวรีย์ Sir Thomas Stamford Raffles ซึ่งอังกฤษส่งเข้ามาฟื้นฟูเมืองท่าในยุคอาณานิคม สร้างความเจริญให้สิงคโปร์เป็นอย่างมาก ราฟเฟิลขึ้นเทียบท่าตรงนี้เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 1819 เปลี่ยนสิงคโปร์จากชุมชนชาวประมงเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ |  |
ที่นี่เปิดถึง 1 ทุ่ม และวันนี้วันศุกร์จะเปิดถึง 3 ทุ่ม แถมอยู่ด้านล่างสุดของโซน City Hall ก่อนข้ามไปไชน่าทาวน์ จึงเหมาะที่จะเป็นพิพิธภัณฑ์สุดท้ายของวันนี้ด้วยประการทั้งปวง ค่าเข้าชาวต่างชาติ 25 SGD สูงอายุ 20 SGD มี 3 ชั้น และด้วยความใหญ่โตมโหฬารของ Empress Place แล้ว ดูกันตาแฉะเลยครับ สิงคโปร์เป็นประเทศเพิ่งเกิด ถ้าเป็นของสิงคโปร์เองจะไม่เก่า แต่พิพิธภัณฑ์นี้รวมของมาจากทั้งเอเชีย ทั้งไทย กัมพูชา เมียนมาร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ติมอร์ อินเดีย ศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย ฯลฯ ของเก่ากึ้กเพียบ! กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ชอบมากที่สุดในทริปนี้ไปเลย
ชั้น 1 Trade and Maritime Silk Routes Galleries จัดแสดงวัตถุโบราณยุคการค้าทางเรือ และโบราณวัตถุที่ขุดพบในซากเรือยุคราชวงศ์ถัง ชั้น 2 Faith and Belief Galleries แสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อความศรัทธาของแต่ละประเทศ มีทั้งศิลปะของศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดู ไปจนถึงศาสนายุคโบราณและการกราบไหว้ผี ชั้นนี้จัดแสดงเต็มชั้น ใช้เวลาดูนานที่สุดครับ  พระอวโลกิเตศวรและพระศรีอารย์ ศิลปะจีนยุคราชวงศ์เว่ย อายุ 1,500 ปี |  พระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย อายุ 600 ปี |  พระพุทธรูปนาคปรก ศิลปะขอม อายุ 1,000 ปี |  พระปารศวนาถ ศาสนาเชน จากอินเดีย อายุ 1,100 ปี |  เทพีซิมหาวักตรา จากทิเบต อายุ 300 ปี |  ภาชนะรูปนกฮินธา จากพม่า อายุ 100 ปี |  รูปสลักไม้เพื่อปกป้องต้นข้าว จากฟิลิปปินส์ อายุ 200 ปี |  รูปสลักบรรพบุรุษในสุสาน จากติมอร์ตะวันออก อายุ 200 ปี |
Special Exhibitions Gallery ด้านหลังจัดแสดง Let's Play เป็นนิทรรศการวิวัฒนาการของเกมกระดานตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงยุคคอมพิวเตอร์  | กระดานโกะและเม็ดหมากชุดนี้มาจากการแข่งรายการชิงตำแหน่งฮงอินโบของญี่ปุ่นในปี 1951 ระหว่างแชมป์ฮาชิโมโตะ ยูทาโร่ และผู้ท้าชิงซากาตะ อิโอ ซึ่งชัยชนะของฮาชิโมโตะ 4-3 เกม ทำให้สมาคมโกะคันไซที่แยกตัวออกจากสมาคมที่โตเกียวได้รับการรับรองฐานะอย่างเป็นทางการด้วย |  | โต๊ะแข่งหมากรุกชิงแชมป์โลก FIDE World Championship 2024 ที่จัดที่ประเทศสิงคโปร์ รอบชิงชนะเลิศระหว่างแชมป์เก่า Ding Liren จากจีน และผู้ท้าชิง Gukesh Dommaraju จากอินเดีย จบลงด้วยชัยชนะของ Gukesh ทำให้เขากลายเป็นแชมป์โลกอายุน้อยที่สุดด้วยวัยเพียง 18 ปี | ชั้น 3 Materials and Design Galleries แบ่งเป็นห้องเล็กๆ 3 ห้อง จัดแสดงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และเซรามิค
ออกจากพิพิธภัณฑ์เกือบหกโมงเย็น เที่ยวครบ 4 พิพิธภัณฑ์ในครึ่งวันแล้ว เย้~ เวลาที่เหลือก็เที่ยวริมแม่น้ำชิลๆ ละครับ ติดกับ ACM มี Victoria Theatre & Concert Hall เป็นสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตโรงภาพยนตร์ และการแสดง สร้างในปี 1862 ยุคราชินีวิคตอเรีย มีหลายสะพานเชื่อมระหว่าง City Hall กับ Chinatown นอกจากสถาปัตยกรรมโครงสร้างสะพานที่สวยงามไม่ซ้ำกันแล้ว ยังมีรูปสำริดบอกเล่าประวัติศาสตร์ของสิงคโปร์ ซึ่งพื้นที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์บริเวณนี้มีความสำคัญต่อการเติบโตของประเทศเป็นอย่างยิ่ง  | รูปสำริด From Chettiars to Financiers บอกเล่าวิวัฒนาการของภาคการเงินและการค้าในสิงคโปร์ แสดงการเปลี่ยนแปลงจากระบบดั้งเดิมของพ่อค้าและเงินกู้ชุมชนซึ่งยุคแรกคนปล่อยกู้ส่วนใหญ่มาจากอินเดีย ไปสู่การเงินสมัยใหม่ระดับโลก ได้มีการตั้ง Bank of Calcutta เป็นธนาคารแห่งแรกในปี 1840 (สยามกัมมาจลธนาคารแห่งแรกของไทยก่อตั้งในปี 1904) และสำนักงานธุรกิจการค้าส่วนใหญ่ถูกสร้างริมแม่น้ำใกล้แหล่งซื้อขาย |  | รูปสำริด A Great Emporium บอกเล่าเรื่องราวการกำเนิดและบทบาทของสิงคโปร์ในฐานะศูนย์กลางการค้าโลก แสดงพ่อค้า นักเดินเรือ แรงงาน จากหลากหลายเชื้อชาติที่ร่วมกันสร้างความเจริญขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่สิงคโปร์ถูกพัฒนาเป็นท่าเรือเสรี และกลายเป็นจุดเชื่อมการค้าระหว่างจีน อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโลกตะวันตก นี่คือค่านิยมของชาวสิงคโปร์ว่าทุกเชื้อชาติทุกอาชีพล้วนมีส่วนร่วมในการทำให้ชาติสิงคโปร์ยิ่งใหญ่ |
เดินข้ามมาอีกฝั่งแล้วลอดใต้สะพานจนถึงสวนสาธารณะเมอร์ไลออน ตรงนี้เป็นจุดชมวิวอ่าวมารีน่ายอดนิยมที่เห็นทั้งเมอร์ไลออน และมารีน่าเบย์แซนด์ฝั่งตรงข้าม เมอร์ไลออน (Merlion) หัวเป็นสิงโต หางเป็นปลา มาจากตำนานเรื่องเจ้าชายนีละ อุตามะ จากปาเล็มบัง สุมาตรา ที่ได้เดินทางมาถึงสิงคโปร์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13 เห็นสิงโตบนเกาะนี้ จึงเรียกเกาะนี้ว่าสิงหปุระ ก่อนกลายเป็นชื่อประเทศสิงคโปร์ และหางเป็นปลาแสดงถึงทะเล ตามชื่อเทมาเส็กชื่อเดิมของเกาะนี้ เมอร์ไลออนถูกออกแบบในปี 1964 สำหรับเป็นโลโก้ของ Singapore Tourism Board (STB) และกลายเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์ (ส่วนผมจะคุ้นเคยกับเจ้าเมอร์ไลออนตอนมันเป็นช็อคโกแลตหรือคุกกี้ไปแล้วมากกว่า) รูปปั้นเมอร์ไลออนตัวแรกสร้างขึ้นในปี 1972 สูง 8.6 เมตร พ่นน้ำออกจากปาก หันไปทางทิศตะวันออก ถือเป็นทิศมงคล เดิมตั้งที่ปากแม่น้ำสิงคโปร์ แต่พอสะพานเอสพลานาดสร้างเสร็จมันบังเมอร์ไลออน เลยย้ายมาตั้งที่ Merlion Park แห่งนี้ในปี 2002  | ในสวนใกล้กันมี Merlion Cub ตัวนี้ลูกเมอร์ไลออนครับ สูง 2 เมตร สร้างในปี 1972 พร้อมตัวใหญ่ แสดงถึงการเติบโตต่อเนื่องไปยังรุ่นถัดไป |
หาร้านมื้อเย็นเอาตามมีตามเกิดระหว่างเดินไปโรงแรม สิงคโปร์มีศูนย์อาหารทั้งแบบ Hawker Centre ตามทางเท้า หรือ Food Court Centre ในอาคาร เข้า China Square Food Centre นี่ละครับ เลือกกินบะหมี่ไข่ร้าน Kallang Airport Wanton Noodle กับข้าวมันไก่ร้าน Golden Mile ได้กินข้าวมันไก่สิงคโปร์ละ อร่อยฉ่ำแฉะกินกับน้ำจิ้มขิงและซีอิ๊วดำตามสไตล์สิงคโปร์ มื้อนี้ 12 SGD ครับ ถูกกว่ากินตามร้านจมเลย คืนนี้และคืนเดียวของทริปนี้ พักที่ Mercure ICON Singapore City Centre คืนละ 4,316 บาท ห้องเล็ก แต่ราคาเป็นมิตรที่สุดในแถบนี้แล้ว อยู่ใกล้ไชน่าทาวน์และมีสายฉีดตูดด้วย ได้พักชั้น 19 แต่ก็ไม่เห็นวิวอะไรครับ โรงแรมฝั่งตรงข้ามบังมิด ติดต่อหา UOB เพื่อหาเหตุว่าทำไมบัตรมันรูดไม่ได้ฟะ เพราะปกติไปรูดต่างประเทศก็ไม่ต้องโทรไปแจ้งก่อน โชคดีที่เว็บมีบริการ chat 24 ชั่วโมง พอคุยแล้วก็พบว่าบัตรถูกระงับเพราะไปรูดใช้ในเว็บหลอกลวง นึกๆ แล้วก็น่าจะวันที่ลงทะเบียน arrival card online ที่ทีแรกเปิดไปเจอเว็บปลอมเรียกเก็บตังค์นั่นแหละ ดีแล้วที่ระงับบัตร ไม่งั้นจ่ายฟรี 60 SGD เลยจ้า ตอนนี้เจ้าหน้าที่ปลดล็อคบัตรให้แล้ว วันที่สองจะรูดใช้อย่างคนมีอันจะกิน~ ไม่ต้องไปแลกตังค์เพิ่มละ
เช้าวันถัดมา (22 พ.ย. 68) เช็คเอาท์ออกจากโรงแรม 7.30 น. ไปหาข้าวเช้ากินแถวไชน่าทาวน์ เพิ่งเห็นถนนเปียกเหมือนฝนตกเมื่อคืน ก่อนมาทริปนี้ดูพยากรณ์อากาศว่าจะเจอฝนตลอดวัน ด้วยความที่สิงคโปร์ฝนจะชุกช่วงปลายปี นับว่าโชคดีมากครับทริปนี้แทบไม่เจอฝนเลย ได้เพลิดเพลินเดินชมสตรีทอาร์ทยามเช้า งานดีนะครับ ว่าแต่เหตุใดบ้านหลังนั้นจึงยอมให้มีคนมาวาดโคนันไว้ข้างๆ บ้าน? ขอแปะแผนที่ไชน่าทาวน์ไว้สักนิด เป้าหมายช่วงเช้าเราจะเที่ยววัดพระเขี้ยวแก้ว ก่อนขึ้นมา Heritage Centre ที่เปิดสายหน่อย เที่ยววัดเทียนฮกเก๋งทางตะวันออก แล้วค่อยไปหาข้าวเที่ยงกินก่อนไป Gardens by the Bay กินมื้อเช้าที่นี่ครับ Nanyang Old Coffee เปิดมาตั้งแต่ยุค 1940s ขายเซ็ตอาหารเช้า และข้าวจานเดียว สั่งเซ็ตชาร้อน ขนมปังปิ้ง และไข่ลวก กับข้าวราดกุ้งผัดพริกสิงคโปร์ และขนมจีบสองลูก มื้อนี้ 23 SGD อิ่มสบายท้อง และได้บรรยากาศสิงคโปร์มาก ผมชอบมื้อนี่ที่สุดในทริปนี้ละ แต่ไม่ได้กินกาแฟดั้งเดิมของเขานะ ชั้นบนเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ Singapore Traditional Coffee Museum ที่อนุรักษ์บรรยากาศของร้านกาแฟดั้งเดิมไว้ เปิดตอน 8 โมงครับ
Buddha Tooth Relic Temple (วัดพระเขี้ยวแก้ว) ได้เวลาไปยังวัดพระเขี้ยวแก้ว ตามที่เคยเล่าในบล็อกศรีลังกานะครับว่าพระเขี้ยวแก้วที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคือที่วัดพระเขี้ยวแก้วในเมืองแคนดี้ ประเทศศรีลังกา ส่วนที่อื่นๆ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนพอว่าเป็นของแท้ จะมีที่เจดีย์หลิงกวง ประเทศจีน (ซึ่งให้ไทยยืมมาแสดงที่สนามหลวงปีนี้) และที่วัดพระเขี้ยวแก้วในไชน่าทาวน์แห่งนี้ ที่มีหลักฐานเอกสารรองลงมา วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วที่พบจากซากเจดีย์ในพม่า และสร้างเป็นวัดตามแบบสถาปัตยกรรมยุคราชวงศ์ถังในปี 2007 ด้วยงบ 75 ล้าน SGD แม้จะไม่เก่าแก่ แต่วัดนี้ก็รวบรวมพระพุทธรูปเก่าแก่จากต่างแดนไว้มากมายเป็นพิพิธภัณฑ์เลย ไม่เสียค่าเข้าชม แต่ต้องแต่งกายสุภาพนะครับ เมื่อเดินเข้าวัดมาจะเป็นห้องโถงร้อยมังกร เป็นโถงใหญ่ที่สุดของวัด ประดิษฐานพระศรีอาริยเมตไตรยสูง 27 ฟุต ผนังด้านข้างมีพระพุทธรูปน้อยใหญ่ปางต่างๆ จำนวนมาก ห้องด้านหลังมีพระโพธิสัตว์และเทพตามความเชื่อพุทธมหายานรายละเอียดสวยงาม ขอลงไว้แค่บางองค์นะครับ ขึ้นลิฟต์ชมได้ทั้งชั้น 1-4 วัดนี้มีอะไรให้ชมมากกว่าที่คิด ที่สำคัญ ติดแอร์ด้วย 
ชั้น 2 Sacred Relics Museum แสดงประวัติความเป็นมาของวัด และ Bodhisattvas of the World Museum รวบรวมพระโพธิสัตว์จากหลากหลายประเทศมาจัดแสดง และร้านขายของที่ระลึก  พระสกันทโพธิสัตว์ สลักไม้ปิดทอง จากจีน อายุ 200 ปี |  อุจจิษมหาวัชรปาล จากญี่ปุ่น |  พระนางตารา จากเนปาล |  พระอวโลกิเตศวร จากจีน อายุ 200 ปี |
ชั้น 3 Buddha of the World Museum รวบรวมพระพุทธรูปและโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธจากทั่วโลก แบ่งแสดงพระศากยมุนีช่วงต้น และพระศรีอาริยเมตไตรยช่วงท้าย  ภาพประสูติ สลักจากหินชนวนสีเทา ยุคจักรวรรดิกุษาณ อายุ 1,900 ปี |  ภาพพระนางศิริมหามายาทรงพระสุบิน สลักจากหินชนวนสีเขียว ยุคจักรวรรดิกุษาณ อายุ 1,900 ปี |  พระพุทธเจ้าสลักหินทราย ยุคราชวงศ์เว่ยตะวันออก อายุ 1,500 ปี |  พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ปราบเดียรถีย์ ณ เมืองสาวัตถี สลักจากหินชนวนสีเทา ศิลปะคันธารราฐ ยุคจักรวรรดิกุษาณ อายุ 1,900 ปี | 
พระศรีอาริยเมตไตรยนั่งสมาธิ สลักจากหินชนวนสีเทา ยุคจักรวรรดิกุษาณ อายุ 1,800 ปี ชั้น 4 เป็นโถงประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วในสถูปทองคำแท้หนัก 320 kg ชั้นนี้ห้ามถ่ายภาพครับ
ตรงข้ามวัดพระเขี้ยวแก้วมี Maxwell Food Centre ศูนย์อาหารที่รวมร้านอาหารจีนชื่อดังของไชน่าทาวน์ไว้มากมาย โดยเฉพาะ Tian Tian Hainanese Chicken Rice ข้าวมันไก่สิงคโปร์ในตำนานที่กินแล้วแสงออกปาก จนคนแน่นทั้งวันทั้งคืน เข้าคิวอย่างต่ำครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาของมื้ออะไรทั้งนั้น ผ่านคับ
ตอนนี้ 9 โมงเช้า แต่ Heritage Centre มันเปิด 10 โมง ฆ่าเวลากันไปครับ แวะเข้า Sri Mariamman Temple (วัดศรีมาริอัมมัน) สร้างในปี 1827 โดยผู้อพยพชาวอินเดีย เพื่ออุทิศให้พระแม่อุมาเทวี เป็นวัดฮินดูที่เก่าแก่ที่สุดในสิงคโปร์ จุดเด่นคือปูนปั้นแสนอลังการตรงประตูเข้าวัด Chinatown Street Market แถวสถานีรถไฟ MRT มีร้านขายของที่ระลึกมากมาย พวกแม่เหล็ก เสื้อ ตุ๊กตา ซื้อตรงนี้ถูกที่สุดแล้วครับ แต่ต้องซื้อแบบยั้งมือไว้เพราะกลัวน้ำหนักกระเป๋าเกิน
Chinatown Heritage Centre (ศูนย์มรดกทางวัฒนธรรมไชน่าทาวน์) และแล้วก็ได้เวลา 10 โมง เข้า Chinatown Heritage Centre เป็นที่จัดแสดงชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งแต่ปี 1822 เพื่อหางานทำในยุคที่อังกฤษปกครองสิงคโปร์ เปิดในปี 2002 ตั้งอยู่หน้าทางขึ้น MRT เหมือนให้นักท่องเที่ยวศึกษาเรื่องราวเพื่อความอินก่อนเดินเข้าไชน่าทาวน์ ค่าเข้าชาวต่างชาติ 25 SGD สูงอายุ 20 SGD ภายในจำลองบ้านเรือนของคนประกอบอาชีพต่างๆ ทั้งช่างไม้ ช่างตัดเสื้อ ร้านอาหาร ฯลฯ ซึ่งอยู่อย่างยากลำบากในช่วงทศวรรษ 1950s ก่อนประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา จะว่าไปบ้านตามชุมชนห่างไกลของไทยก็ยังเป็นแบบนี้อยู่นะ สงสัยอนุรักษ์ไว้แบบไม่ตั้งใจ
เดินเข้า Telok Ayer Street เป็นถนนเก่าแก่ที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก เพื่อไปยังวัดเทียนฮกเก๋ง วัดที่เก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ครับ ระหว่างทางก็เจอวัดเรื่อยๆ สมเป็นถนนสายบุญ  มัสยิด Nagore Dargah สร้างในปี 1830 โดยชาวมุสลิมจากอินเดียใต้ที่อพยพมาช่วงนั้น |  Yu Huang Gong วัดนิกายเต๋าเล็กๆ อยู่ติดวัดเทียนฮกเก๋ง มุดเข้าช่องแคบๆ ด้านข้างไปไหว้จักรพรรดิหยกด้านในได้ แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ |
Thian Hok Keng Temple (วัดเทียนฮกเก๋ง) วัดเทียนฮกเก๋ง สร้างโดยชาวจีนฮกเกี้ยนในปี 1822 เป็นศาลเจ้าเล็กๆ เพื่อแสดงความขอบคุณแก่เจ้าแม่ทับทิมที่คุ้มครองการเดินทางจนมาถึงสิงคโปร์ได้โดยสวัสดิภาพ ต่อมาเศรษฐีชาวจีนได้บริจาคทรัพย์ให้สร้างเป็นวัดในปี 1842 คนนิยมมาขอพรเรื่องชีวิตคู่ ขอบุตร และคุ้มครองการเดินทาง ด้านในถ่ายภาพได้แต่ห้ามถ่ายเทพเจ้าต่างๆ ในวัดมีการตั้งสมาคมจีนฮกเกี้ยน ซึ่งสมาคมนี้เองได้ก่อตั้งโรงเรียน Tao Nan ขึ้น
11 โมงละครับ เดินผ่าน Lau Pa Sat เลยขอกินข้าวเที่ยงเร็วหน่อยแล้วกัน ที่นี่เป็นศูนย์อาหารขนาดใหญ่ที่รวมร้านดังๆ ไว้มาก และหลากหลาย เป็นอาคารแปดเหลี่ยมล้อมหอนาฬิกาที่สร้างในศตวรรษที่ 19 มีอาหารทั้งอาหารจีน อาหารไทย อาหารฮาลาล อาหารอินเดีย อาหารตุรกี ฯลฯ ส่วนถนนสายสะเต๊ะด้านข้างเปิดตอนเย็นครับ สั่งเซ็ตข้าวมันไก่ ร้าน Fragrance Garden กับ Ayam Taliwang อาหารอินโดนีเซียระดับมิชลินจากร้าน Nasi Lamek และชานมมะม่วง มื้อนี้ 21 SGD ข้าวมันไก่เซ็ตในเมนูเป็นผักคะน้าฮ่องกงไหงสั่งแล้วมีถั่วงอกปนมาครึ่งจาน ไก่มิชลินก็แห้งและเผ็ดเกินกว่าที่คนไทยจะชอบ แถมกินไม่หมดอีก เยอะเกิน กินอิ่มแล้วก็เดินไปสถานที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้คือ Gardens by the Bay ครับ ระหว่างทางขอเดินอ้อมชมมารีน่าเบย์เต็มๆ ตาอีกรอบ จากทิศใต้ของอ่าวเห็นแลนด์มาร์คสำคัญๆ ครบเลย  เมอร์ไลออนตัวเมื่อวานนี้อยู่ไกลลิบแล้ว ภาพนี้ซูมซูเปอร์เทเลโฟโต้ถ่ายมา |  ตึกเรือ Marina Bay Sands เป็น Entertainment Complex ด้านซ้ายคือ ArtScience Museum จัดแสดงความรู้ด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ การออกแบบ |  ด้านหลังมีกลุ่มตึกอาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม ออกันมารับพลังฮวงจุ้ย |  Red Dot Design Museum อยู่หน้าตึกเรือ จัดแสดงสินค้าที่ได้รับรางวัลการออกแบบ Red Dot Award |
Gardens by the Bay (สวนพฤกษศาสตร์การ์เด้นบายเดอะเบย์) และแล้วเราก็มาถึง Gardens by the Bay สวนพฤกษศาสตร์บนพื้นที่ 600 ไร่ เป็นเหมือนโอเอซิสใจกลางสิงคโปร์ที่มีการออกแบบสวนแบบต่างๆ ขึ้นมาเต็มพื้นที่ ดูแลโดยคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติสิงคโปร์ แบ่งเป็นสามส่วนคือ Bay East ทางตะวันออกของมารีน่าเบย์ Bay Central ติดกับ City Hall และ Bay South ติดกับ Marina Bay Sands เป็นส่วนที่ใหญ่โตที่สุด (329 ไร่) และเป็นส่วนเดียวที่เปิดให้เข้าชมแล้วตั้งแต่ปี 2011 สวนนี้ออกแบบโดย Grant Associates จาก UK ซึ่งชนะการประกวดออกแบบจาก 70 รายที่เข้าประกวด
มาชมแผนที่ Bay South กันเต็มๆ ครับ ถ้าเป็นบัสนักท่องเที่ยวจะหย่อนเราลงจุดรับส่งหน้าโดมด้านหลังเลย แต่นี่เดินเอง ก็เดินจากสวน Serene Garden ด้านหน้าสุดเข้าไปเลยครับ ไกลประมาณโลนึง แต่ได้ชมสิ่งที่น่าสนใจระหว่างทางมากมาย  Serene Garden จัดสวนด้วยคอนเซ็ปต์มินิมัล แบบสวนเซนของญี่ปุ่น |  Planet รูปปั้นสำริดทาสีขาว เด็กนอนหลับยาว 9 เมตรที่จุดสมดุลอยู่บนมือข้างเดียว ผลงาน Marc Quinn สร้างในปี 2013 และเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ |  Dragonfly Lake แหล่งน้ำที่ดึงน้ำจากอ่าวเข้ามาหล่อเลี้ยงสวน คั่นกลาง Gardens by the Bay และ Marina Bay Sands |  Silver Garden มีซูเปอร์ทรีที่มองเห็นจากริมทะเลสาบ | และแล้วก็เดินเข้ามาถึงด้านในของสวน มีโดมขนาดยักษ์สองโดมติดกันคือ Flower Dome และ Cloud Forest แต่ก่อนเข้า ขอแวะไปเก็บภาพ Supertree Grove ก่อนครับ นี่คือกลุ่มซูเปอร์ทรีกลางสวน และเป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในซูเปอร์ทรีด้วยกัน แต่ละต้นมีแผงโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้า ต้นที่สูงที่สุดสูง 50 เมตร ด้านบนมีร้านอาหารและลานชมวิว (ค่าขึ้น 14 SGD) และมีทางเดิน OCBC Skyway เชื่อมซูเปอร์ทรีเข้าด้วยกันยาว 128 เมตร ที่ระดับความสูง 22 เมตร สำหรับเดินชมวิวสวน (ค่าเข้า 14 SGD) ถ้ามาตอนกลางคืนก็จะได้วิวอีกแบบครับ ไม่ได้เสียตังค์ขึ้นซูเปอร์ทรีนะครับ ขอใช้เวลากับสองโดมดีกว่า ค่าเข้ารวม 46 SGD ไม่มีลดราคาผู้สูงอายุนะ
Cloud Forest จำลองธรรมชาติหุบเขา สร้างน้ำตกและถ้ำเลียนแบบธรรมชาติเพื่อปลูกพืชในที่สูงและพืชดึกดำบรรพ์ จะมีลิฟต์ขึ้นไปชั้น 7 แล้วค่อยๆ เดินลงมา ที่นี่เป็นที่แรกที่เปิด Jurassic World: The Experience ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2025 พาบรรดาไดโนเสาร์มาคอลแลบประกอบฉากด้วย คุ้มเลยครับ เข้าหนึ่งได้ถึงสอง จำนวนไดโนเสาร์และฉากดำเนินเรื่องยังน้อยกว่าที่เอเชียทีคที่เปิดตามมาในเดือนสิงหาคม 2025 นะครับ เพราะแถมเข้ามาทีหลัง ไม่ได้สร้างขึ้นใหม่แบบของไทย เน้นเดินชมบรรดาพืชที่มีอยู่มากกว่า 7 หมื่นต้นกับธรรมชาติจำลองสุดตระการตามากกว่า พวกสวนสัตว์/สวนสนุกไว้ไปเที่ยวเกาะเซ็นโตซ่ารอบหน้าครับ Supertree Grove มองจากด้านบนของ Cloud Forest มุมนี้ชัดแจ๋ว โดมนี้สูง 35 เมตร เตี้ยกว่าซูเปอร์ทรีต้นใหญ่ๆ นิดนึงครับ Flower Dome เป็นโดมกระจกจัดแสดงพรรณไม้แยกตามโซน ทั้งเมดิเตอเรเนียน ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย แอฟฟริกาใต้ อเมริกาใต้ ทะเลทราย ทุ่งดอกไม้ เบาบับ และต้นมะกอกพันปี ที่นี่ถูกบันทึกในกินเนสบุ๊คว่าเป็นเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดความจุเท่าสระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิค 75 สระ ช่วงนี้มี Chrismas Train Show เป็นรถไฟจำลองบนรางยาว 145 เมตร แล่นกลางโดม ผ่านโมเดลจำลองสถานที่สำคัญในสหรัฐ สิงคโปร์ และยุโรป เช่น เทพีเสรีภาพ สะพานโกลเด้นเกท ซูเปอร์ทรี เมอร์ไลออน เมืองและต้นคริสต์มาสที่ประกอบจากเลโก้ แม้บัตรเครดิตจะใช้ได้แล้ว แต่ตอนนี้เกิดอีกปัญหาคือแบตมือถือใกล้หมดครับ พกพาวเวอร์แบงค์มาก็จริงแต่ชาร์จไม่เข้า สงสัยในนี้อากาศจะชื้นไปหน่อย เวลาตอนนี้เพิ่งบ่ายสาม เครื่องบินออกสามทุ่ม เที่ยวอีกสัก 1-2 ที่ยังได้ แต่มันไม่ได้เพราะมือถือแบตจะหมด! รีบไปหาที่ชาร์จที่สนามบินโดยด่วน ว่าแล้วก็ใช้ Grab เรียกแท็กซี่ไปสนามบิน Changi Airport เลยครับ
ถึงสนามบินก็หาปลั๊กเสียบชาร์จไฟมือถือได้สัก 40% รู้สึกเหมือนฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง จาก Terminal 1 ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามเป็นห้าง Jewel Changi Airport ที่มาสิงคโปร์รอบก่อนๆ ไม่เคยเดินเข้ามาเลย ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นน้ำตก The Rain Vortex สูง 40 เมตร ทริปนี้ได้ดูครบทั้งเมอร์ไลออน มารีน่าเบย์แซนด์ ซูเปอร์ทรี และน้ำตกในห้างจีเวล เรียกได้ว่าเราได้มาถึงสิงคโปร์อย่างแท้ทรูแล้ว ตายตาหลับ กลับไทยได้   ตอนนี้ 16.30 น. เวลาสิงคโปร์ หาร้านกินในห้างนี้ละครับ เน้นเอาร้านที่ยังไม่ไปเปิดที่ไทย สุ่มได้ Soup Restaurant ที่ดังเรื่องไก่ต้มและเมนูซุปต่างๆ มื้อนี้สั่ง Samsui Ginger Chicken ไซส์ S, Chilli Crab กินกับหมั่นโถว, ไก่ตุ๋นโสม และข้าวอบหนำเลียบ อร่อยนะครับ ยกเว้นอีไก่ตุ๋นโสมขมปี๋ ได้กินข้าวมันไก่สิงคโปร์เป็นมื้อที่สาม และร้านนี้ไก่ฉ่ำเนื้อแน่น อร่อยกว่าสองร้านที่ผ่านมา แต่น่าจะหาโอกาสไปกินเมนูประจำชาติอื่นๆ อย่างบักกุดเต๋หรือสะเต๊ะมั่ง มื้อนี้ 67 SGD แพงแบบตั้งใจใช้ดอลลาร์สิงคโปร์ที่แลกมาให้หมด แต่ก็ยังไม่หมด |  | เหลือเศษเหรียญติดกระเป๋าอีก 18 SGD เดินหาช็อคโกแลตในสนามบินให้ได้ราคานี้พอดี ก็เป็นอันสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่ต้องแลกตังค์คืนครับ
นั่ง Air Asia บินกลับถึงไทย 22.40 น. เวลาประเทศไทย เป็นเสาร์-อาทิตย์ที่เที่ยวได้จุใจมาก สิงคโปร์เที่ยวง่ายกว่าที่คิด แก๊งเพื่อนที่ออฟฟิศก็ชวนกันมาหลายทีแล้ว หาเวลาตรงกันไม่ได้สักที รอบหน้าคงเที่ยวเกาะเซ็นโตซ่า และอาจไปโซนอื่นๆ ที่น่าสนใจด้วยครับ
แต่ขอเว้นระยะสะสมทรัพย์ก่อน เพราะค่าใช้จ่ายประเทศนี้มิใช่น้อย ทริปนี้มากับแม่สองคน มีค่าใช้จ่าย (แปลงเป็นเงินไทยที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 SGD = 25.5 THB) ค่าเครื่องบิน 10,770 ค่าโรงแรม 4,316 ค่าเน็ต 299 ค่ากิน 4,625 ค่าเข้าสถานที่ 6,502 ค่าแท็กซี่ 1,173 ค่าซื้อของฝาก 1,734 รวมทั้งสิ้น 29,420 บาท ...นี่เที่ยว 2 วัน 1 คืนเองนะเฮ้ย! 
กลายเป็นบล็อกที่ยาวสุดในรอบปีไปเลย ยาวกว่า บล็อกศรีลังกา(1) อีก เพราะอยากรวบทริปให้จบในเอ็นทรี่เดียว เวลากลับมาดูจะได้หาง่ายๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้บล็อกเป็นไดอารี่ครับ แฟนานุบล็อกท่านใดอ่านไม่ไหวก็ข้ามไป หรือเก็บไว้อ่านหลายๆ รอบก็ได้ เอาไว้กินกับข้าวได้หลายๆ วัน ดุจดังปลาเค็มชั้นดี

| Create Date : 23 ธันวาคม 2568 |
|
18 comments |
| Last Update : 24 ธันวาคม 2568 10:18:32 น. |
| Counter : 288 Pageviews. |
|
 |
|
|
| ผู้โหวตบล็อกนี้... |
| คุณกะว่าก๋า, คุณhaiku, คุณสองแผ่นดิน, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณThe Kop Civil, คุณmultiple, คุณcyberlifenlearn, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณNENE77, คุณอุ้มสี, คุณtanjira |
| | |
โดย: กะว่าก๋า 23 ธันวาคม 2568 22:17:17 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 24 ธันวาคม 2568 4:58:00 น. |
|
|
|
| | |
โดย: หอมกร 24 ธันวาคม 2568 6:58:12 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 24 ธันวาคม 2568 11:48:56 น. |
|
|
|
| | |
โดย: multiple 24 ธันวาคม 2568 14:25:04 น. |
|
|
|
| | |
โดย: multiple 24 ธันวาคม 2568 19:08:43 น. |
|
|
|
| | |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 24 ธันวาคม 2568 21:28:29 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 25 ธันวาคม 2568 5:24:38 น. |
|
|
|
| | |
โดย: multiple 25 ธันวาคม 2568 5:28:57 น. |
|
|
|
| | |
โดย: multiple 26 ธันวาคม 2568 6:01:11 น. |
|
|
|
| | |
โดย: NENE77 26 ธันวาคม 2568 11:24:37 น. |
|
|
|
| | |
โดย: อุ้มสี 27 ธันวาคม 2568 3:23:03 น. |
|
|
|
| | |
โดย: tanjira 27 ธันวาคม 2568 5:58:12 น. |
|
|
|
|
|
|
| BlogGang Popular Award#21 |

|
|
|
|
|
|
|
น้องชีริวเรียบเรียงเนื้อหาได้ดีมากครับ
มาครบแบบจัดเต็มทั้งสถานที่ท่องเที่ยว และอาหาร
ที่น่าทึ่งที่สุด
คือเค้าสามารถเก็บงานศิลปะ วัตถุโบราณได้เยอะมาก
อันนี้น่าจะตรงกับที่มีคนเคยบอกว่า
ประเทศเค้ายอมลงทุน "ซื้อ" งานศิลปะดีดีของศิลปินเอเซีย
และศิลปินระดับโลกเก็บไว้เยอะมากๆ
ไม่ได้เก็บแต่ของเก่า
แต่งานศิลปะวัฒนธรรมของศิลปินรุ่นใหม่เขาก็เก็บด้วย
อีกหน่อยใครอยากดูงานอาจารย์จ่าง แซ่ตั้ง
อาจต้องบินไปดูที่สิงคโปร์ครับ
failure story และ lesson learned
มันมีประโยชน์จริงๆครับ
ยิ่งถ้าเราเรียนรู้และถอดบทเรียนออกมาดีดี
มันช่วยเตือนให้คนที่เดินตามหลังมาได้ระวัง
และไม่พลั้งเผลอเหมือนที่เราเคยพลาดมาก่อน
ก็นับว่าเป็นการช่วยประหยัดเวลาในชีวิตได้มากเลยครับ