Apple has lost a visionary and creative genius, and the world has lost an amazing human being.

But his spirit will forever be the foundation of Apple. 6 October 2011

<<
สิงหาคม 2568
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
13 สิงหาคม 2568

พระพุทธสิหิงค์ : ข้อสันนิษฐานใหม่ (4)



พระยืนวัดเจดียห์หลวง


ม.จ. สุภัทรได้เขียนบทความเรื่อง การขุดแต่งที่วัดพระพายหลวง
ลงวารสารศิลปากร ในปี พ.ศ. 2509 กล่าวถึงการเดินทางไปสุโขทัย
ร่วมกับ
ดร. บวสเซอลีเย่ และนายกริสโวลด์ เนื้อหาโดยสรุปคือ

มีการพบพระพุทธรูปปูนปั้นรองพระเจดีย์ที่ชำรุด
แต่ยังพอมองเห็นว่าบางส่วนเป็นพระพุทธรูปแบบเชียงแสน
คือ พระพักตร์กลมอูมขมวดพระเกศาใหญ่ พระโอษฐ์หนา
แต่ชายสังวฆาฏิยาวจรดพระนาภี

ที่สั้นเหนือพระถันเป็นแบบเชียงแสนก็มีอยู่บ้าง พระรัศมีส่วนใหญ่เป็นเปลว
ซึ่งนายนายกริสโวลด์ เจ้าของทฤษฎีว่า พระแบบเชียงแสนไม่เก่าไปกว่า
สมัยพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1985-2030) นั้น ก็ยอมเห็นพ้องด้วย

 
ท่านและ ดร. บวสเซอลีเย่ จึงสรุปว่า
เจดีย์นี้เก่าย้อนไปได้ถึงสมัยบายน
และได้รับการปรับปรุงในสมัยต้นสุโขทัย ในปี พ.ศ. 1800-1825
ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะขอม ลังกา และเชียงแสน
ซึ่งก็สอดคล้อง
กับหนังสือ ตำนานพุทธเจดีย์ ของกรมพระยาดำรงฯ ก่อนหน้า
ที่ได้แบ่งศิลปะของไทยในสมัยต่างๆ โดยเชียงแสนอยู่ก่อนหน้าสุโขทัย
 
ในปีเดียวกัน นายกริสโวลด์ ได้เขียนจดหมายถึง ม.จ. สุภัทรดิศ
ซึ่งท่านได้นำมาแปล และพิมพ์ลงวารสารศิลปากรเช่นกัน ในชื่อว่า

จดหมายเรื่อง “ศิลปะแบบเชียงแสน “ ของ นายเอ. บี. กริสโวลด์
เนื้อหาโดยย่อ คือ นายกริสโวลด์ ไม่ได้เห็นพ้องด้วย ตามที่ถูกอ้างถึง
และยังคงยืนยันความคิดตามที่ได้เขียนบทความไว้ก่อนหน้า 

 
ในปัจจุบันเราใช้คำว่า ศิลปะล้านนาแทนคำว่า ศิลปะเชียงแสน
เพราะหลักฐานตามพงศาวดารนั้น เมืองเชียงแสนถูกสร้างในรัชกาล

พญาแสนภู พระนัดดาของพระเจ้าเม็งราย ไม่เก่าไปกว่านั้น
ศิลปะเชียงแสน จึงไม่ได้เก่าไปถึงพุทธศตวรรษ 16 ตามที่เชื่อกันมา

แม้จะพบพระพุทธรูปแบบสิงห์หนึ่งที่สวยงามที่เชียงแสน
มากกว่าที่เชียงใหม่ นำไปสู่ทฤษฎีว่า เมืองเชียงแสนควรจะเก่ากว่า
แต่ในทางประวัติศาสตร์ ก็ไม่ได้มีหลักฐานสนับสนุนเรื่องนี้
ดังนั้นจึงจัดเป็นเพียงสกุลช่างแขนงหนึ่ง จึงเรียกว่า ศิลปะล้านนาแทน 




เจดีย์หลวง ที่เคยประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ 
 

แม้ทฤษฎีของกริสโวลด์ จะน่าเชื่อถือเพราะมีหลักฐานประจักษ์
แต่ก็ผูกกับจารึกพระพุทธรูป จึงยากที่ชี้ชัดลงไปว่า จริงหรือไม่
เพราะไม่สามารถใช้ด้กับพระพุทธรูปอีกจำนวนมากที่ไม่ปรากฏปี พ.ศ.
เราจะยืนยันเรื่องนี้ได้หรือไม่ จากบันทึกที่ชื่อว่า
มูลศาสนา
 
เป็นวรรณกรรมที่เชื่อว่าแต่งขึ้น โดย
พระพุทธกามและพระพุทธญาน
ระหว่างปี พ.ศ. 1999-2053 หรือในสมัยพระเจ้าติโลกราชและสมัยต่อมา
เนื้อหาประกอบไปด้วยสองส่วน คือ ส่วนต้นที่เป็นเรื่อง
กำเนิดพุทธศาสนา
ซึ่งไม่น่าสนใจ และส่วนหลังที่กล่าวถึง การเข้ามาของพุทธศาสนาในล้านนา
 
มีต้นฉบับหลงเหลืออยู่มากกว่าสิบ แต่ที่นักวิชาการสนใจมีอยู่ 2 ฉบับ
นั่นคือ
ฉบับวัดสวนดอก และฉบับวัดป่าแดง เหตุผลก็คือ
ต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่า อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่พำระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนถูกต้อง
ซึ่งต้องขออกตัวก่อนว่า เราเองก็อ่านไม่ค่อยเข้าใจ เพราะว่าเขียนเป็นคำเมือง
 
สรุปสั้นๆ คือ
พระสงฆ์วัดป่าแดงกล่าวหาพระสงฆ์วัดสวนดอกว่า
ถือไม้เท้าเดินบิณฑบาต รับเงินรับทอง สวดบาลีไม่ชัด และไม่ตรงกับพระลังกา

ซึ่งก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า พุทธศาสนาเข้ามาล้านนาได้อย่างไร
ซึ่งก็ต้องกลับไปที่สิหิงคนิทาน และชิลกาลมาลีปกรณ์ ที่เคยเล่าไป   
 
ในสมัย
พระเจ้ากือนา (พ.ศ. 1898-1928) ซึ่งรับราชสมบัติต่อมาจาก
พญาผายูที่ทิวงคต จากการถูกเงือกกัด ที่แม่น้ำเมืองเชียงราย
ล้านนาสมัยนั้นมีความเข้มแข็ง พระองค์จึงอยากเป็นองค์ศาสนูปถัมภก
ทรงเห็นว่าพระสงฆ์ที่บวชสืบต่อกันมา จากเมืองลำพูนในสมัยก่อนมีล้านนา
 
ยังไม่มีความบริสุทธิ์เพียงพอ  จึงอยากจะนิมนต์
พระสุมนเถระ
ที่ได้ชื่อว่าบวชมาจากพระสวามีอุทุมพรที่เมืองพัน
ที่ได้รับการบวชมาจากลังกาถือว่ามีความบริสุทธิ์กว่า
มาเป็นพระสงฆ์ผู้ทำสังฆกรรมในเมืองเชียงใหม่

 



พระแบบพระพุทธสิหงค์ วัดสวนดอก
 
 

 
พระองค์ทรงสละสวนดอกไม้ในอุทธยาน สร้างวัดให้พระสุมนเถระ
ตั้งชื่อว่าวัดบุปผารามหรือ
วัดสวนดอก และพระองค์ก็ยังเลื่อมใส
พระมหาเถระจันทร์ จึงทรงบูรณะวัดเวฬุกัฏฐาราม เชิงดอยสุเทพ
ให้พระมหาเถระจันทร์จำพรรษา ชื่อว่า
วัดอุโมงค์เถรจันทร์
ปัจจุบันเชื่อว่าคือ วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม)
 
ดังนั้นในสมัยของพระเจ้ากือนา วัดสวนดอกจึงทำหน้าที่เป็นคามเวสี
หรือวัดบ้านที่ทำหน้าสั่งสอนผู้คนในเมือง ในขณะที่วัดอุโมงค์เถรจันทร์
ทำหน้าที่เป็นอรัญวาสี หรือวัดสำหรับที่พระสงฆ์ที่มุ่งทางวิปัสสนา

ต่อมาเป็นรัชกาลพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. 1928-1944)
หากจำได้ในสิหิงคนิทาน ก็คือรัชกาลที่มีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์
ต่อมาเป็นรัชกาลของพญาสามฝั่งแกน (พ.ศ. 1945-1984)
 ซึ่งในชินกาลฯ กล่าวว่าไม่ค่อยเลื่อมไสในพุทธศาสนา
แต่ทรงงมงายในไสยศาสตร์

ในรัชกาลนี้มีพระสงฆ์ราว 25 รูป นำโดยพระญานคัมภีร์
สงสัยในคำสอนที่ศึกษาต่อๆ กันมามีความถูกต้องหรือไม่
เพราะแม้พระสุมนเถระ วัดสวนดอก จะได้รับการบวชมาจากพระสวามีอุทุมพร
ที่ได้รับการบวชมาจากลังกาก็ตาม แต่คัมภีร์ที่ใช้ก็ยังเป็นของมอญ
ไม่ได้แตกต่างไปสมัยหริภุญไชยก่อนหน้า ที่รับมาจากมอญเช่นกัน

ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาคัมภีร์ภาษาบาลีที่ศรีลังกา
และกลับมาเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1973
นำไปสู่การตั้งนิกายใหม่ชื่อว่า นิกายสิงหล หรือนิกาย
วัดป่าแดง
 อยู้่ที่เชิงดอยสุเทพ ปัจจุบันร้างไปแล้ว

ดังที่กล่าวไปว่า พระสงฆ์ที่ไปศึกษาพุทธศาสนาโดยตรงที่ลังกา
ถือว่าเป็น
ลังกาวงศ์ใหม่ ที่มีวัตรปฏิบัติทางศาสนาถูกต้องตรงกว่า
จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งกับพระสงฆ์ลังกาวงศ์เก่าจากวัดสวนดอก
พญาสามฝั่งแกนจึงจัดให้มีการโต้เวทีกัน ผลคือวัดป่าแดงชนะ
 
 


พระแบบพระพุทธสิหงค์ วัดดวงดี


แต่ความขัดแย้งระหว่างพระสองนิกายนั้น ก็ไม่ได้ลดลง
พ.ศ. 1977 พญาสามฝั่งแกนจึงขับไล่พระนิกายวัดป่าแดงให้ออกไปอยู่ที่อื่น
ทำให้นิกายวัดป่าแดงไปเจริญเติบขึ้นในเมืองอื่นๆ ข้างเคียง
ในชิลกาลมาลีปกรณ์กล่าวว่า ทรงลุ่มหลงงมงายในเรื่องภูตผี คาถา
ไม่เอื้อเฟื้อพุทธศาสนาเหมือนในสมัยก่อนหน้า มีการเซ่นสรวงสังเวย
 
พ.ศ. 1989 ท้าวลก ผู้เป็นโอรส ทำการชิงราชสมบัติ ได้เป็น
พระเจ้าติโลกราช
และเนรเทศบิดาไปเมืองอื่น พญาสามฝั่งแกนสวรคตลงในปีต่อมา
พระเจ้าติโลกราชสร้างความมั่นคงในอำนาจ ด้วยการส่งเสริมนิกายป่าแดง
ให้กลับมาเป็นนิกายหลักของเชียงใหม่ และมีการสังคายนาพระไตรปิฎก
  หากเชื่อตามกริสโวลด์ พระพุทธสิหิงค์ก็หล่อขึ้นในรัชกาลนี้

นอกจากนี้ยังมีการพบพระแก้วมรกต พระองค์จึงไปอัญเชิญลงมาจากเชียงราย
แต่สร้างตำนานว่าช้างไม่เดินเข้าเมืองเชียงใหม่ แต่เลี้ยวไปลำปาง
ซึ่งทางในทางวิทยาศาสตร์นั้นเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่เป็นไปได้คือ 

พระเจ้าติโลกราชต้องการซื้อใจ
หมื่นโลกพระยานคร เจ้าเมืองลำปาง
ในฐานที่พระองค์แย่งชิงราชสมบัติมาจากพญาสามฝั่งแกน
จึงมอบพระแก้วมรกตให้ไป 
และเมื่ออำนาจของพระองค์นั้นมั่นคงแล้ว
ช้างก็เดินทางไปจากเชียงใหม่ไปลำปาง เพื่ออัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมา
 
ถึงตรงนี้เราก็น่าจะสรุปได้ว่า พระพุทธสิหิงค์น่าจะถูกสร้างขึ้น
ในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช โดยมีที่มาจากพระพุทธเมตตา
ในพุทธคยา ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้าในบทความของกริสโวลท์

โดยการสร้างเน้นที่พุทธลักษณะ เน้นที่พระพักตร์แบบปาละ
แต่ช่างเชียงใหม่บางคนที่ได้รับอิทธิพลจากสุโขทัยตั้งแต่สมัยพระเจ้ากือนา
เลือกที่จะสร้างองค์พระพุทธรูปแบบสุโขทัย
จึงอาจจะมีพระพุทธรูปจีวรยาว หรือเป็นปางขัดสมาธิราบ

ดังนั้นพระแบบสิงห์หนึ่งหรือสิงห์สอง จึงล้วนถูกสร้างในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ต่างกันที่สกุลช่างผู้สร้างเท่านั้น




 

Create Date : 13 สิงหาคม 2568
2 comments
Last Update : 16 สิงหาคม 2568 17:31:56 น.
Counter : 229 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณ**mp5**, คุณหอมกร, คุณปัญญา Dh, คุณhaiku, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณtuk-tuk@korat, คุณสมาชิกหมายเลข 3902534, คุณnewyorknurse

 

พระองค์นี้หลายบล็อกแล้วจ้า

 

โดย: หอมกร 13 สิงหาคม 2568 17:55:21 น.  

 

เท่าที่เคยค้นมานะคะ
วัดอุโมงค์ กับวัดอุโมงค์เถรจันทร์ เป็นคนละวัดกัน
แต่สร้างอุโมงค์ให้พระเถรจันทร์องค์เดียวกัน
วัดอุโมงค์ สร้างในป่าไผ่ 11 กอ - วัดเวฬุกัฎฐาราม
วัดอุโมงค์เถรจันทร์ - วัดโพธิ์น้อย - อยู่ในเวียงเชียงใหม่ ใกล้ๆวัดเชียงมั่น

 

โดย: tuk-tuk@korat 14 สิงหาคม 2568 10:08:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ผู้ชายในสายลมหนาว
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 24 คน [?]




[Add ผู้ชายในสายลมหนาว's blog to your web]