Group Blog
 
<<
เมษายน 2567
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
16 เมษายน 2567
 
All Blogs
 

หลักของสติ

               

             หลักของสติก็คือปัจจุบัน ให้จิตอยู่ในปัจจุบัน อยู่กับการกระทำของร่างกาย ถ้าอยู่กับการกระทำของร่างกายก็จะมีสติ ถ้าปล่อยให้ร่างกายอยู่ไปตามลำพัง ส่วนจิตไปคิดเรื่องอื่นก็จะไม่มีสติ ถ้าไม่มีสติก็จะไม่สามารถทำใจให้สงบได้ เพราะใจไม่อยู่กับที่ ไปที่โน่นมาที่นี่ คิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ พวกเรามีสติกันน้อยมาก มีพอกับการดำรงชีพ มีสติอยู่กับการกระทำเพียงแวบเดียว แล้วก็ไปคิดเรื่องอื่น แล้วก็กลับมาที่การกระทำ ไม่ได้อยู่กับการกระทำอย่างต่อเนื่อง ใจจึงไม่นิ่ง มีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ตามความคิดปรุงแต่งต่างๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วก็เกิดอารมณ์ต่างๆขึ้นมา อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น อยากไม่ให้เป็นอย่างนี้ เกิดความดีใจเสียใจ ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นไปตามความอยากก็ดีใจ ถ้าไม่เป็นไปตามความอยากก็เสียใจ ชีวิตของพวกเราจึงวนไปเวียนมากับความดีใจเสียใจ ถ้าสามารถควบคุมใจให้นิ่ง ไม่ให้อยาก ใจก็จะไม่เสียใจหรือดีใจ จะรู้สึกเฉยๆกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่เดือดร้อนไม่วุ่นวาย ไม่ดีใจไม่เสียใจ เฉยๆสบายๆ ดีกว่าเสียใจหรือดีใจ เพราะเวลาดีใจก็อยากจะให้ดีใจไปเรื่อยๆ พอไม่ดีใจก็จะเสียใจ ปัญหาของพวกเราคือไม่มีสติ ที่จะคอยควบคุมใจให้อยู่เฉยๆ ให้สักแต่ว่ารู้ เช่นทำอะไรก็ให้สักแต่ว่ารู้ กำลังเดินก็รู้ว่ากำลังเดิน กำลังรับประทานอาหาร ก็รู้ว่ากำลังรับประทานอาหาร ไม่คิดเรื่องราวต่างๆ
 
การเจริญสติจึงเป็นงานที่สำคัญมาก เป็นกุญแจสำคัญต่อการพัฒนาธรรมะต่างๆ คือสมาธิปัญญาและวิมุตติการหลุดพ้น จะเกิดขึ้นจากการเจริญสติเป็นจุดเริ่มต้น เหมือนกับการเรียนหนังสือ ต้องเริ่มต้นที่การเรียน ก. ไก่ ข. ไข่ จนจำได้ทุกตัวอักษร จากนั้นก็หัดสะกด สระ อะ สระ อา แล้วก็ผสมตัวอักษร ศึกษาคำนิยามของแต่ละคำ ก็จะอ่านออกเขียนได้ การบรรลุมรรคผลนิพพาน มีปัญญา มีสมาธิ ต้องมีสติก่อน พวกเราสามารถเจริญสติได้ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่วัดหรืออยู่ที่ทำงาน พอตื่นขึ้นมาก็ควรตั้งสติเลย ผูกจิตให้อยู่กับร่างกาย ไม่ให้จิตไปที่อื่น ให้ดูว่าร่างกายกำลังทำอะไร กำลังนอน กำลังลุกขึ้น กำลังยืน กำลังเดิน กำลังทำกิจต่างๆ กำลังล้างหน้าล้างตาอาบน้ำแปรงฟัน กำลังแต่งตัว ต้องอยู่กับการกระทำ ไม่ไปคิดเรื่องอื่น ถ้ามีความจำเป็นต้องคิด ก็ให้หยุดการกระทำของร่างกายไว้ก่อน แล้วเอาสติมาจดจ่ออยู่กับความคิด ให้คิดด้วยเหตุด้วยผล คิดไปตามความจำเป็น พอคิดเสร็จแล้ว ก็หยุดคิด อย่าคิดเพ้อเจ้อเพ้อฝัน อยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ควรคิด ควรหันกลับมาเฝ้าดูการกระทำของร่างกาย จะสามารถควบคุมความคิดได้
 
ความทุกข์ใจเกิดจากความอยาก อยู่ในพระอริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกี่ยวกับอนิจจังความไม่เที่ยง เพราะอยากให้สิ่งที่ไม่เที่ยงเที่ยง ก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าพิจารณาว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ก็จะไม่อยาก ยอมรับความไม่เที่ยง มีขึ้นมีลงมีเกิดมีดับเป็นธรรมดา ก็จะไม่ทุกข์ใจ อย่างนี้เรียกว่าปัญญา คือการพิจารณาไตรลักษณ์ของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ใจมีความสัมพันธ์ด้วย เป็นไตรลักษณ์ทั้งหมด ร่างกายก็เป็นไตรลักษณ์ ไม่เที่ยง มีเกิดแก่เจ็บตายเป็นธรรมดา เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราของเรา เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ บังคับให้เป็นไปตามความต้องการไม่ได้ ไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่ให้ตายไม่ได้ ถ้าไม่ศึกษาไม่คอยสอนใจ ก็จะยึดติดกับร่างกาย อยากจะให้ร่างกายไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เวลาแก่เจ็บตาย ก็จะกลัวมาก จนไม่สามารถทำอะไรได้ หมดกำลังใจ พอหมอบอกว่าจะต้องตายภายใน ๓ เดือน ไม่รู้จะทำใจอย่างไร เพราะไม่ศึกษาความจริงของร่างกายไว้ก่อน จึงคิดว่าจะอยู่ไปนานๆ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย พอเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ทำใจไม่ได้ เพราะไม่ได้สอนใจให้เตรียมรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ถ้าได้เจริญปัญญาอยู่เรื่อยๆ ก็จะรับกับความเจ็บไข้ได้ป่วยได้ จะรู้สึกเฉยๆไม่เดือดร้อน
 
ถ้าจิตไม่สงบไม่มีสมาธิ เวลาพิจารณาความแก่เจ็บตายจะพิจารณาไม่ได้ เพราะกิเลสคอยขัดขวาง ไม่ให้พิจารณา จึงต้องทำสมาธิ ทำจิตให้สงบก่อน พอจิตสงบแล้วกิเลสตัณหาจะอ่อนกำลังลง เวลาพิจารณาความไม่เที่ยงของร่างกาย ว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย กิเลสตัณหาก็จะไม่มีกำลังมาขัดขวาง จะทำให้จิตเห็นอนิจจังความไม่เที่ยงได้ ก็จะไม่วุ่นวายเดือดร้อน เพราะมีความสุขอยู่กับความสงบของสมาธิ จะไม่รู้สึกเสียดาย ไม่มีร่างกายก็ไม่เป็นปัญหา ตราบใดจิตมีความสุขอยู่กับความสงบ ถ้าจิตไม่มีความสุขความสงบ ก็จะยึดติดกับความสุขทางร่างกาย ความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรส การทำกิจกรรมต่างๆ พอไม่ได้ทำก็จะไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ใจ ถ้าได้ความสงบแล้ว จะไม่พึ่งร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุข ถ้าชอบออกสังคม ชอบหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรส ก็จะพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ จะชอบไปอยู่วัด ชอบอยู่ตามลำพังอยู่ที่สงบ แล้วก็เจริญสตินั่งสมาธิ ออกจากสมาธิก็เจริญปัญญา พิจารณาความจริงของสิ่งต่างๆ ที่จิตสัมผัสรับรู้ ว่าจะต้องจากกันไปในที่สุด ถ้ามีสมาธิเวลาพิจารณาความจริง จะไม่เสียดายหรือทุกข์ใจแต่ประการใด เพราะรู้ว่าเป็นความจริงที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ จะไม่ยึดติด อะไรจะเกิดจะดับก็ไม่เป็นปัญหา สติสมาธิและปัญญานี่แหละที่เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของใจที่แท้จริง ถ้ามีสติมีสมาธิมีปัญญา จิตจะปล่อยวางสิ่งต่างๆได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดก็ตาม อยู่ในสภาพที่ร่างกายเป็นปกติ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือใกล้จะตายก็จะทำได้ ถ้าได้ฝึกมาอย่างต่อเนื่องแล้ว จะไม่เป็นปัญหาไม่มีผลกระทบต่อความสงบสุขของจิตใจ จะสงบสุขไปตลอดเวลา
 
นี่คือความสุขที่พวกเราสามารถผลิตขึ้นมาได้ ไม่มีใครผลิตให้เราได้ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก ไม่สามารถเอานิพพานมาแจกให้พวกเราได้ ได้แต่เพียงบอกวิธีที่จะทำให้เกิดนิพพานขึ้นมา อยู่ที่พวกเราจะต้องขวนขวาย ต้องเจริญสติให้มาก ตั้งแต่ตื่นจนหลับ พอมีเวลาว่างจากภารกิจต่างๆก็นั่งสมาธิ พอได้สมาธิแล้ว เวลาออกจากสมาธิ ก็ต้องพิจารณาความไม่เที่ยง ความทุกข์ และอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา เป็นสมบัติชั่วคราว พอร่างกายตายไป ก็กลายเป็นสมบัติของผู้อื่นไปสมบัติที่แท้จริงอยู่ภายในใจเรา คือมรรคผลนิพพาน เป็นสมบัติที่เอาติดตัวไปได้ เช่นถ้าได้โสดาปัตติผลแล้ว เวลาไปเกิดใหม่ ก็สามารถปฏิบัติต่อได้เลย เหมือนกับเรียนจบชั้นมัธยม ๑ แล้ว เวลาย้ายไปอีกโรงเรียนหนึ่ง ก็ต่อชั้นมัธยม ๒ ได้เลย ไม่ต้องกลับไปเรียนชั้นมัธยม ๑ ใหม่ นี่คือประโยชน์ของการมีทรัพย์ภายใน จะไม่สูญหายไปเหมือนทรัพย์ภายนอก พอกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ปฏิบัติต่อได้เลย จากขั้นโสดาบันก็ขึ้นไปขั้นสกิทาคามีได้เลย ไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ สติสมาธิปัญญาที่ได้เจริญแล้วก็ยังอยู่กับเรา ต้องเจริญส่วนที่ยังไม่ได้เจริญ


 
......................................................



ขอขอบคุณที่มาจาก : 
 เว็บ พระธรรมเทศนา

 
ภาพประกอบจาก : วัดนางพญา จ.พิษณุโลก




 

Create Date : 16 เมษายน 2567
13 comments
Last Update : 16 เมษายน 2567 12:14:57 น.
Counter : 327 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณกะว่าก๋า, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณThe Kop Civil, คุณtoor36, คุณหอมกร, คุณปัญญา Dh, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณmultiple, คุณhaiku, คุณmariabamboo, คุณปรศุราม, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณสองแผ่นดิน, คุณดอยสะเก็ด, คุณฟ้าใสทะเลคราม, คุณร่มไม้เย็น, คุณnewyorknurse, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณkae+aoe, คุณSweet_pills, คุณอุ้มสี, คุณโฮมสเตย์ริมน้ำ, คุณวลีลักษณา

 

สาธุธรรมครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 16 เมษายน 2567 13:30:11 น.  

 

 

โดย: The Kop Civil 16 เมษายน 2567 14:39:39 น.  

 

เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ครับสำหรับสติ

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 16 เมษายน 2567 14:44:21 น.  

 

อนุโมทนาบุญวันพระจ้า

 

โดย: หอมกร 16 เมษายน 2567 16:27:08 น.  

 

สวัสดีครับ

 

โดย: ปัญญา Dh 16 เมษายน 2567 16:39:29 น.  

 

สวัสดี จ้ะ น้องเอ็ม

มาอ่านข้อคิดจากธรรมะ จ้ะ จิตที่นิ่ง ย่อมทำให้
เกิดสติ และไม่ทำข้อผิดศีลธรรม จ้ะ
โหวดหมวด ข้อคิดและธรรมะ

 

โดย: อาจารย์สุวิมล 16 เมษายน 2567 18:14:14 น.  

 

ช่วงนี้ กระแส นิพพานกำลังมาแรงเลยนะครับ
มีทั้งหลวงพ่อ หลวงแม่ ครูอาจารย์ จัดคอร์ส
เจาะจิต ฟอกจิต ถ้าทำได้จริง คนเราไม่ต้องปฏิบัติขวนขวาย เจริญสติภาวนากันแล้ว จ่ายสตางค์ก็สามารถนิพพานกันหมดประเทศ เลยนะครับนี่ เป็นเล่นไปนะครับ

 

โดย: multiple 16 เมษายน 2567 19:41:37 น.  

 

สาธุ

 

โดย: สองแผ่นดิน 16 เมษายน 2567 22:43:52 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 17 เมษายน 2567 4:41:39 น.  

 

ขอบคุณที่แวะไปเยี่ยมบล็อกและให้กำลังใจนะคะ

สาธุค่ะ

 

โดย: ฟ้าใสทะเลคราม 17 เมษายน 2567 21:54:23 น.  

 



สาธุค่ะ

ขอบคุณคุณพีสำหรับกำลังใจด้วยนะคะ

 

โดย: Sweet_pills 20 เมษายน 2567 0:31:32 น.  

 

สาธุ

 

โดย: อุ้มสี 20 เมษายน 2567 22:54:48 น.  

 

สวัสดียามเช้าค่ะ

 

โดย: kae+aoe 22 เมษายน 2567 8:16:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


**mp5**
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 88 คน [?]




สวัสดีครับ

ขอส่งความสุขให้กับทุกคน




New Comments
Friends' blogs
[Add **mp5**'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.