นอกจากเรื่องความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา ในแง่มุมที่ทิพย์สุรางค์ได้รับการไขปัญหาจากเจนนิเฟอร์แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่หญิงสาวเคยพูดคุยกับพีสะใภ้ของเธอ คือเรื่องส่วนตัวบางเรื่องของผู้หญิงที่สมัยยังเป็นโสดสามารถทำได้โดยไม่มีใครมาสนใจ วิพากษ์วิจารณ์หรือคาดหวังว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ บางเรื่องก็ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกริดรอนสิทธิเสรีภาพในร่างกายของตัวเอง
“พี่น้อยคะ พี่ใหญ่เคยบ่นบ้างไหม เวลาที่พี่น้อยม้วนผมหรือทาครีมบำรุงหน้าเข้านอนน่ะค่ะ” ทิพย์สุรางค์เคยลองถามพี่สะใภ้ ที่เธอรักใคร่นับถือเหมือนพี่สาวแท้ๆ
“คุณคริสล่ะสิ” แล้วสิริมาก็หัวเราะ
“ตอนแต่งงานใหม่ๆ ก็โดนคุณใหญ่ต่อว่าเหมือนกัน ทั้งเรื่องม้วนโรลเต็มหัวกับเรื่องครีมทาหน้า สมัยที่ยังไม่ได้แต่งงานพี่ก็ต้องม้วนผมเข้านอนทุกคืน พอเช้าขึ้นมาก็เอาโรลออก หวีสองสามทีก็เข้ารูปเป็นทรงสวยงามแล้ว พร้อมที่จะไปทำงานหรือออกนอกบ้าน ทำมาจนชิน
หลังแต่งงานก็ยังทำต่อ ก็เราอยากสวยในวันรุ่งขึ้นใช่ไหมล่ะ แรกๆเขาก็ยังไม่พูดอะไรหรอก แต่พอแต่งงานได้สักพักก็เริ่มแล้ว บ่นว่าทำไมต้องม้วนผมทุกคืน ถามอีกด้วยนะว่านอนหลับเข้าไปได้ยังไง มีอะไรเต็มอยู่บนหัวอย่างนั้น แถมยังอ้างอีกว่าเวลานึกเอ็นดู อยากจะลูบผมเราเล่น ก็ดันไปเจอโรลแข็งๆเข้าอีก”
“เดี๋ยวนี้พี่น้อยยังม้วนผมเข้านอนอยู่อีกหรืออีกหรือเปล่าคะ?”
สิริมาส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธ “ไม่ได้ทำนานแล้ว ก็คุณใหญ่เธอบ่นได้บ่นดีจนพี่ทนไม่ไหว ต้องยอมแพ้ ตอนนั้นพี่ไม่ได้ออกไปทำงานข้างนอกแล้วด้วย พี่ก็เลยแก้ปัญหาด้วยการม้วนผมตอนกลางวัน หรือบางครั้งก็ไปทำผมที่ร้านเสียเลย แต่พูดก็พูดเถอะ ใครจะไปร้านทำผมได้ทุกวันล่ะ”
แล้วเธอก็ย้อนถามทิพย์สุรางค์บ้าง “แต่ผมน้องทิพย์ก็ไม่เห็นจะต้องม้วนโรลให้ยุ่งยาก ทำไมคุณคริสถึงบ่นล่ะ?”
“เขาไม่ได้บ่นเรื่องผมหรอกค่ะ น้องไม่เคยม้วนผม แต่เขาบ่นเรื่องครีมทาหน้า เขาว่าทำให้หน้ามันเยิ้มเหนียวเหนอะหน่ะ เขาไม่ชอบ”
พี่สะใภ้ของเธอหัวเราะชอบใจอีก
“แหม เหมือนกันเลยนะ พวกผู้ชายเนี่ยไม่ค่อยจะยอมเข้าใจเสียเลยว่าผู้หญิงก็อยากจะสวยด้วยกันทั้งนั้น ถึงต้องพยายามหาทางทำให้ตัวเองสวย คนที่สวยตามธรรมชาติอยู่แล้วเป็นคนโชคดี ตื่นนอนใหม่ๆยังไม่ได้แต่งหน้าแต่งตาก็สวยแล้ว แต่ไอ้เรื่องครีมบำรุงผิวก่อนนอนเนี่ย ไม่ว่าคนสวยอยู่แล้วหรือขี้เหร่ ก็คงต้องใช้เหมือนกันทั้งนั้น แล้วน้องทิพย์ทำยังไงล่ะ?”
“ก็เหมือนพี่น้อยค่ะ ทำตอนที่เขาไม่อยู่ แต่บางครั้งก็อึดอัดที่ต้องทำเหมือนหลบๆซ่อนๆ”
“อย่าไปคิดยังงั้นเลยน้องทิพย์ ผู้ชายส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น อยากให้เมียหรือคนรักของเขาสวยอยู่ตลอดเวลา สมัยที่ยังเป็นแค่แฟนกันก็ทำได้สิ ไม่ได้อยู่ด้วยกันเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่ ตอนนั้นอยู่กันคนละบ้าน เวลามีนัดกันหรือรู้ว่าเขาจะมาหาที่บ้า นเราก็เตรียมตัวแล้วสิ ทำผมแต่งหน้าเสียสวย ใส่น้ำหอม สารพัดละ เขาก็จะเห็นเราสวยพร้อมสรรพ ไม่เคยได้เห็นหรอก ตอนที่เราต้องทำอะไรตั้งหลายอย่าง เพื่อให้สวยถูกใจเขาน่ะ
แต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้วสิ เขาเห็นเราเกือบตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ เขาก็ต้องเห็นกรรมวิธีของเราก่อนจะสวยด้วย ก็เริ่มไม่ชอบใจแล้ว ผู้ชายน่ะอยากเห็นของสำเร็จรูป ไม่อยากเห็นหรอกไอ้ขั้นตอนกรรมวิธีต่างๆ ก่อนจะสวยเช้งถูกใจเขาน่ะ”
สิริมาหยุดดื่มน้ำก่อนจะกล่าวต่อว่า “ผู้หญิงบางคนตอนยังเป็นแฟนกันก็แต่งหน้าแต่งตัวสวยงาม พอแต่งงานกันแล้วก็เริ่มไม่สนใจแล้ว เวลาอยู่บ้านก็ปล่อยให้ผมเผ้าเป็นกระเซิง หน้าตาก็ปล่อยให้มันเยิ้ม บางคนก็ใส่ชุดนอนอยู่ได้ทั้งวัน คงคิดว่าไม่เป็นไรมั้ง ยังไงก็ได้ จะไปทำตัวให้สวยอีกทีก็ตอนไปทำงาน
ไปๆมาๆเลยกลายเป็นว่าทำตัวสวยให้คนอื่นชื่นชม ส่วนคนที่บ้านซึ่งเป็นคนสำคัญ กลับปล่อยให้เขาเห็นในสภาพยายเพิ้ง หน้าซีดๆผมเผ้ากะรุงกะรังไม่เจอหวี นานเข้าเขาก็จะเริ่มเห็นเราไม่สวยแล้ว เขาอาจประหลาดใจด้วยซ้ำไปว่าแต่ก่อนทำไมถึงได้เห็นเราสวยถูกใจจนต้องขอแต่งงานด้วย ทีนี้เมื่อเมียปล่อยตามบุญตามกรรมเพราะคิดว่าแต่งงานกันแล้ว สวยไม่สวยก็เห็นกันอยู่แล้ว เขาก็เลยต้องไปมองคนสวยๆในที่ทำงานบ้าง ตามศูนย์การค้าบ้าง ผู้ชายเขาต้องการอาหารตาไงล่ะ”
“แหม ผู้ชายเนี่ยเอาใจยากเหมือนกันนะคะ ชอบเรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่ใครทำให้ก็ไม่ถูกใจ ต้องให้เราเป็นคนทำ”
ทิพย์สุรางค์ออกความเห็นบ้างจากประสพการณ์ชีวิตคู่ไม่กี่เดือนของเธอ
“พี่จะบอกให้ฟังนะ น้องทิพย์ หลังแต่งงานทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างคนต่างก็เปลี่ยนแปลง ผู้ชายเปลี่ยนแปลงมากกว่าผู้หญิงตรงที่ว่า หลังแต่งงานเขาจะเรียกร้องต้องการมากกว่าเดิม คนที่เป็นเมียนอกจากจะต้องทำตัวให้สวยเหมือนเดิมแล้ว ยังต้องคอยเอาอกเอาใจปฏิบัติวัตรถากเขาตั้งแต่เรื่องในครัวไปจนถึงเรื่องบนเตียง ผู้ชายเขาถือว่าเป็นหน้าที่โดยตรงของเมีย ไม่งั้นเขาจะแต่งงานไปทำไม”
ทิพย์สุรางค์ฟังแล้วก็ยังสงสัยอยู่ “พี่น้อยคะ หมายความว่าพวกผู้ชายเขาเห็นค่าผู้หญิงตรงแค่รูปร่างหน้าตาเท่านั้นเองหรือคะ อย่างอื่นไม่มีความสำคัญเลยหรือคะ?"
“ผู้ชายส่วนใหญ่ภูมิใจที่จะได้อวดว่าเขาเก่งที่หาเมียหรือแฟนสวยๆได้ แต่ความสวยก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากผู้หญิง ยังมีอะไรอีกมากมายที่เขาคาดหวังจากเมีย อย่างที่คนโบราณเขาเรียกว่าเรือนสามน้ำสี่นั่นไง
พี่ไม่รู้ว่าน้องทิพย์เคยได้ยินมาบ้างหรือเปล่าคำว่าน้ำคำ น้ำมือ น้ำใจแล้วก็น้ำปูนน่ะ แต่คุณสามีทั้งหลายก็นึกไม่ถึงหรอกว่าพวกผู้หญิงก็ต้องการไอ้สิ่งต่างๆที่ว่านี้จากเขาเหมือนกัน คือทุกอย่างมันต้องมีทั้งกีฟทั้งเทค จะดีแต่เทคอย่างเดียว ให้เราเป็นฝ่ายกีฟตลอดเวลาก็แย่สิ จริงไหม?"
“น้องไม่เคยได้ยินหรอกค่ะ เรือนสามน้ำสี่อะไรเนี่ย น้ำคำน่ะพอจะเดาออกหรอก ว่าคงจะหมายถึงคำพูดคำจา น้ำใจก็คงจะเป็นความโอบอ้อมอารี แต่อย่างอื่นไม่เข้าใจ”
สิริมายกแก้วน้ำข้างตัวขึ้นดื่มเพราะรู้สึกคอแห้ง เนื่องจากพูดมานานแล้ว เธอรู้สึกว่าทิพย์สุรางค์ซึ่งเพิ่งแต่งงานไม่นาน ให้ความสนใจและพยายามที่จะเป็นภรรยาที่ดี ถึงจะรู้ว่าบางอย่างทำตามได้ยาก แต่สิริมาก็มีแต่ความหวังดีให้น้องสาวสามี ที่เธอรักเหมือนน้องสาวแท้ๆ เลยถือเป็นหน้าที่ที่จะให้ความกระจ่าง เมื่อฟังแล้วทิพย์สุรางค์จะสามารถนำไปปฏิบัติได้หรือไม่ก็แล้วเธอ
“เรือนสามนั่นโบราณเขาเน้นเกี่ยวกับการดูแลบ้านดูแลตัวเอง คือเรือนนอน เรือนครัวและเรือนผมหรือเรือนกาย เรือนนอนก็คือบ้านช่องห้องหับทั้งหลัง เป็นหน้าที่ของผู้หญิงที่จะต้องดูแลบ้านทั้งหลัง ให้สะอาดเรียบร้อยน่าอยู่อาศัย พร้อมที่จะรับแขกได้ทุกเวลา ไม่ใช่ปล่อยให้บ้านช่องรกรุงรัง พอจะมีแขกมาบ้านสักทีก็ต้องวิ่งวุ่นทำความสะอาดบ้านเป็นการใหญ่ ห้องน้ำก็ปล่อยให้เขรอะจนเข้าไม่ลง ตื่นแล้วก็ไม่ทำเตียงให้เรียบร้อย แต่งแต่ตัวให้สวยอยู่อย่างเดียว
เรือนครัวก็หมายถึงครัวนั่นแหละ ครัวต้องสะอาด ไม่ปล่อยให้หนูหรือแมลงสาปวิ่งกันให้พล่าน แต่ก็คงหมายถึงเสน่ห์ปลายจวักด้วยมั้ง คือผู้หญิงควรจะทำอาหารเป็นทำอาหารได้อร่อย เพื่อพ่อเจ้าประคุณสามี จะได้ไม่แอบไปหาอาหารนอกบ้านกิน”
“แต่บ้านที่มีคนรับใช้หรือแม่บ้าน ผู้หญิงก็ไม่ต้องลงมือทำเองนี่คะ หรือว่าเรื่องพวกนี้คนที่เป็นภรรยาต้องลงมือทำเองหมด ถึงจะมีคนช่วยก็ตาม” ทิพย์สุรางค์แย้งอย่างสงสัย
“คนโบราณเขาคงหมายรวมว่าถึงไม่ได้ลงมือลงแรงเอง ก็ต้องคอยควบคุมดูแลแม่บ้านหรือคนรับใช้ให้ทำ แล้วตรวจสอบให้เรียบร้อยอีกที ก็ดูอย่างพี่สิ มีน้าละม่อมคนเก่าคนแก่ของคุณแม่พี่ เป็นแม่บ้านช่วยดูแลอยู่แล้วก็จริง แต่พี่ก็ยังต้องคอยตรวจคอยกำกับอีกทีอยู่ดี น้องทิพย์ก็รู้นี่ว่าคุณใหญ่เป็นยังไง อย่างเธอก็เหมือนกัน ที่บ้านคุณคริสทั้งที่โน่นที่นี่ก็มีคนช่วยทำงานบ้านไม่ใช่หรือ?”
“ค่ะ แต่เรื่องห้องนอนน้องต้องทำเอง คริสเขาไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาวุ่นวายในที่ส่วนตัว”
“คุณคริสเจ้าระเบียบไหม?”
“เขาระเบียบจัดกว่าน้องอีกค่ะ พี่น้อย เห็นสนุกสนานพูดเล่นพูดหัวอย่างนั้นเถอะ” ทิพย์สุรางค์พูดถึงสามีอย่างเอ็นดู
“พอน้องบ่นเขาว่าเจ้าระเบียบเกินไป เขาก็แก้ตัวว่าเขาเป็นทหารต้องมีระเบียบวินัยอยู่แล้ว เขาชินน่ะค่ะ”
“แล้วเธอรำคาญไหมล่ะ?”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ เพราะบางครั้งที่น้องบ่นเขาก็หย่อนระเบียบลงเสียที แต่พอนานๆก็เข้าแบบเดิมอีกแล้ว หลังๆน้องเลยปล่อยตามใจเขา อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
สิริมาหัวเราะ "ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน" แล้วเธอก็เสริมว่า “แต่สมัยนี้น่ะนะ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วส่วนใหญ่ต้องทำงานนอกบ้านด้วย คนรับใช้ก็อาจจะไม่มี จะเอาเวลาที่ไหนมาทำความสะอาดบ้าน หรือทำกับข้าวกับปลาให้พ่อเจ้าประคุณกินล่ะ
อย่างดีก็หิ้วอาหารถุงกลับบ้านตอนเย็น บ้านช่องจะมีเวลาทำทีก็ต้องรอจนถึงวันเสาร์วันอาทิตย์โน่น คุณใหญ่น่ะไม่ต้องพูดหรอก ลองให้กินอาหารถุงสักเดือนเดียวแหละ เธอคงลุกขึ้นขอหย่ากับพี่แน่”
ทิพย์สุรางค์ฟังแล้วก็รำพึงว่า “นึกถึงผู้หญิงสมัยนี้แล้วน่าเห็นใจนะคะ ภาระเยอะไปหมด ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน หาเงินมาช่วยครอบครัว ดูแลลูกแล้วยังต้องมาหาข้าวหาปลาให้สามีอีก ส่วนผู้ชายก็ทำแต่งานนอกบ้านอย่างเดียว ภาระอื่นไม่เห็นมีเลย เพราะโยนให้ผู้หญิงหมดแล้ว”
สิริมาหัวเราะแล้วช่วยเสริมว่า “อย่าลืมเรื่องสำคัญอีกเรื่องด้วยล่ะ ต้องปฏิบัติวัตรถากสามีให้ดีให้ถูกใจเขาด้วย ไม่งั้นเขาจะอ้างเป็นสาเหตุไปมีเมียน้อยเสียเฉยๆ
ญาติห่างๆพี่คนหนึ่งเป็นคนเก่ง ตำแหน่งหน้าที่การงานดี เงินเดือนสูง แต่ก็ต้องทำงานหนักทั้งนอกบ้านและในบ้าน เพราะสามีเขาเรื่องมาก อะไรๆก็ต้องให้เมียทำให้ มีคนใช้ก็ไม่ยอมใช้ ญาติพี่กลับถึงบ้านก็ต้องมาปรุงอาหารที่คนรับใช้เตรียมไว้ให้ แล้วยังต้องสอนการบ้านลูกอีก สามีเขาไม่ยอมทำอะไรเลยแม้แต่เรื่องลูก อ้างว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขา
เขาทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวแล้ว ทั้งๆที่ความจริงเงินเดือนเขาคนเดียวอยู่ไม่ได้หรอกถ้าเมียไม่ช่วยหาเงิน ญาติพี่คนนี้พอตอนเข้านอนก็เหนื่อย หมดแรงหมดอารมณ์แล้ว พ่อเจ้าประคุณสามีก็ไม่ยอมเข้าใจ เรียกร้องเรื่องบนเตียงอีก
อ้างแต่ว่าเขามีสิทธิ น้องทิพย์คิดดูสิ ทั้งผู้ชายผู้หญิงแหละถ้าเหนื่อยด้วยแถมอารมณ์ขุ่นอีกด้วย จากการพูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นอกเห็นใจกัน แล้วใครจะมีอารมณ์แบบนั้นอยู่ได้ หนักๆเข้าก็ทะเลาะกันทุกวัน จนเดี๋ยวนี้เลิกกันไปแล้ว สามีเขาไปมีผู้หญิงคนใหม่ อ้างว่าที่มีเพราะเมียไม่สนใจ ตลกไหม”
“เรื่องนี้สำคัญมากหรือคะ พี่น้อย?”
“เรื่องเซ็กส์น่ะหรือ? สำคัญสิ น้องทิพย์ต้องเข้าใจนะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกผู้ชาย ผู้หญิงส่วนใหญ่น่ะถึงไม่มีเซ็กส์ก็อยู่ได้ แต่ผู้ชายเขาอยู่ไม่ค่อยได้หรอก จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ ธรรมชาติสร้างเขามาให้เป็นแบบนั้น”
“เรือนผมล่ะคะ หมายถึงอะไร?”
“เรือนผมหรือเรือนกาย ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าผู้หญิงต้องทำเนื้อตัวให้สะอาด ผมเผ้าต้องไม่เป็นกระเซิงอยู่ทั้งวัน คงจะหมายถึงว่าผู้หญิงควรจะต้องสะอาดและดูแลตัวเองไม่ให้กลายเป็นยายเพิ้งละมัง
แต่พี่คิดว่าผู้หญิงนอกจากสะอาดแล้วก็ควรทำเนื้อทำตัวให้สวยด้วย แต่คงไม่ต้องถึงขนาดไปทำศัลยกรรมหรอก อาจจะใช้เครื่องสำอางค์เล็กๆน้อยๆช่วยให้สวยขึ้น ออกกำลังกายให้เฟิร์มรูปร่างจะได้ดีขึ้น ทำจิตใจให้สบาย พยายามไม่เครียด พี่ว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้หญิงสวยขึ้นได้ ที่เราอยากสวยก็เพื่อตัวเองและเพื่อแฟนเราด้วยไม่ใช่หรือ”
“โอ้โฮ ผู้หญิงนี่มีหน้าที่หลายอย่างเลยนะคะ พวกผู้ชายไม่เห็นต้องทำอะไรมากมายเลย” ทิพย์สุรางค์ทำหน้านิ่ว “คำว่าน้ำสี่ล่ะคะ น้องรู้จักอย่างเดียวคือน้ำคำ”
สิริมาหัวเราะ “ตอนแต่งงานใหม่ๆพี่ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย แต่จำได้ว่าตอนส่งตัวเข้าหอคุณแม่พี่อบรมใหญ่ ว่าพี่จะต้องทำอะไรในหน้าที่ของภรรยาที่ดีบ้าง ท่านพูดเรื่องเรือนสามน้ำสี่นี่แหละ แต่ตอนนั้นพี่ไม่ได้สนใจเลย หลังจากแต่งงานได้พักใหญ่ อยู่บ้านเฉยๆไม่มีอะไรจะทำ พี่อ่านหนังสือมากขึ้นก็เลยได้รู้จักเรื่องพวกนี้ คำว่าน้ำสี่ของคนโบราณหมายถึงน้ำใจ น้ำคำ น้ำมือแล้วก็น้ำปูนหรือน้ำเต้าปูน”
“น้ำเต้าปูน?” ทิพย์สุรางค์ทำหน้าแปลกใจ “มีด้วยหรือคะ น้ำเต้าปูน ไม่เคยได้ยินเลย”
“นั่นสิ คนสมัยใหม่ไม่ค่อยจะรู้จักหรอก เดี๋ยวพี่จะอธิบายให้ฟังทีละคำก็แล้วกัน ทำตามได้หรือไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่รู้ความหมายของมันเอาไว้บ้างก็ดี” แล้วเธอก็อธิบายต่อ
“น้ำใจ หมายถึงว่าผู้หญิงที่เป็นเมียต้องแสดงน้ำใจต่อสามีและบริวารในบ้าน รวมไปถึงพ่อแม่พี่น้องและวงศาคนาญาติของเขาด้วย ต้องให้ความช่วยเหลือเจือจุนพวกเขา เวลาไปเยี่ยมก็ควรจะมีอะไรติดมือไปฝากเขาบ้าง อย่าไปมือเปล่า
น้องทิพย์ก็คงรู้อยู่แล้วว่าการแต่งงานของคนไทยเราน่ะ ไม่ใช่ว่าแต่งกันแค่สองคน แต่หมายรวมไปถึงแต่งกับครอบครัวของเขาด้วย ถ้าเข้ากับครอบครัวของสามีไม่ได้ หรือไม่ยอมรับครอบครัวเขา ในที่สุดก็จะมีปัญหาตามมา บางคู่ถึงกับต้องแยกทางร้างหย่ากันไปเลย ทั้งๆที่ยังรักกันอยู่นี่แหละ
สังคมของเราไม่เหมือนสังคมของพวกฝรั่งที่พอแต่งงานแล้ว ก็จะแยกตัวเองออกจากพ่อแม่พี่น้องอย่างเด็ดขาด ไม่มาเกี่ยวข้องวุ่นวายกันอีก แต่เรื่องนี้น้องทิพย์คงไม่มีปัญหาละมัง ครอบครัวคุณคริสเขาคงคิดแบบฝรั่งเพราะพ่อเขาก็เป็นฝรั่ง ส่วนคุณธัญญาถึงจะเป็นคนไทยแต่ก็อยู่เมืองนอกมานานกว่าสามสิบปีแล้ว เธอคงไม่มาวุ่นวายอะไรกับน้องทิพย์หรอก จริงไหม?”
“ค่ะ คุณแม่น่ารักมาก ท่านไม่เคยมาเจ้ากี้เจ้าการอะไรเลย”
“เธอโชคดีแล้วละ ที่ไม่ต้องมีปัญหาโลกแตกประเภทแม่ผัวลูกสะใภ้ เพราะถ้ามีปัญหาขึ้นมาจริงๆคนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือคนกลางนั่นแหละ ทำตัวไม่ถูกหรอก โน่นก็แม่นี่ก็เมีย กลายเป็นปัญหาโลกแตกไปเลย”
พูดคุยกันมาถึงตอนนี้ สาวใช้ก็เคาะประตูห้องเข้ามายอบตัวรายงานสิริมาว่าอาหารกลางวันพร้อมแล้ว สิริมาลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่
“ไปเถอะ ไปทานข้าวกัน ทานไปคุยไปก็ได้ น้องทิพย์คงหิวแย่แล้ว พี่ก็พูดเพลินจนลืมเวลาไปเลย”
ระหว่างรับประทานอาหาร ทิพย์สุรางค์ถามพี่สะใภ้ว่า “แล้วพี่ใหญ่ล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง เขาคอยจู้จี้พี่น้อยเรื่องพวกนี้บ้างไหมคะ?”
หญิงสาวใหญ่หัวเราะก่อนตอบว่า “โอ๊ย น้องทิพย์ก็รู้ไม่ใช่หรือว่าคุณใหญ่น่ะหัวโบราณจะตาย แล้วก็เจ้าระเบียบ อะไรในบ้านอยู่ผิดที่ผิดทางไม่ได้หรอก เห็นทุกครั้ง ไม่ใช่แค่เห็นเฉยๆนะ ถามทันทีว่าทำไมมันถึงมาอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่อยู่ตรงโน้น แล้วก็จะสั่งว่าให้เอากลับไปไว้ที่เดิม”
ทิพย์สุรางค์หัวเราะ เพราะเรื่องความเจ้าระเบียบของพี่ชายเธอก็พอจะรู้อยู่บ้าง “แล้วพี่น้อยทำยังไงคะ?”
“จะทำอะไรได้ล่ะ พี่ก็ต้องทำตามที่เขาต้องการน่ะสิ บางครั้งพี่ก็อยากจะแข็งข้อเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาแล้วก็เห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะไปเอาชนะคะคานเขา ปล่อยให้เขาได้ทำอะไรอย่างที่เขาอยากทำ เราจะได้ไม่ต้องมารำคาญกับสีหน้าหรือคำพูดของเขาไง ถึงไม่ชนะแต่ก็ได้ความสบายใจและความสงบในครอบครัว”
“เรื่องเล็กๆแค่นี้ ถึงขนาดจะทำให้ครอบครัวไม่สงบเลยหรือคะ?”
“เรื่องเล็กๆนี่แหละสำคัญ จำเอาไว้เลย วันนี้เราอาจจะคิดว่าเรื่องเล็กๆแค่นี้เอง แต่พอวันที่มีปัญหาอื่นกัน เรื่องเล็กๆที่เขาไม่ชอบใจนี่แหละ จะถูกเขายกมาอ้างว่าเราไม่เอาใจเขา ไม่เข้าใจเขา ในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเลย ทั้งๆที่เราก็ไม่เห็นว่าเรื่องสองเรื่องนั่นมันจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย
น้องทิพย์ต้องจำไว้ด้วยนะว่าผู้ชายน่ะ เวลาโกรธมักจะพาล ขุดเอาเรื่องเก่าๆที่เราเคยทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมาพูด ทั้งๆที่เราก็ลืมไปตั้งนานแล้ว”
ฟังแล้วทิพย์สุรางค์ก็นิ่งคิดว่าคริสเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่า แล้วก็รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่า เขายังไม่เคยขุดเรื่องอะไรที่เธอทำไว้กับเขาขึ้นมาพูดเลย หญิงสาวย้อนกลับไปถามเรื่องเดิมที่คุยกันค้างไว้
“แล้วน้ำคำล่ะคะ พี่น้อย นอกจากว่าควรพูดจาดี พูดจาเพราะแล้วยังหมายถึงอะไรอีกไหมคะ?”
สิริมานิ่งคิด “พี่คิดว่าน่าจะรวมถึงการพูดถึงแต่เรื่องดีๆด้วย เช่นไม่นินทาว่าร้ายใคร ไม่เอาเรื่องร้อนใจมาเล่าให้เขาฟัง พูดจาอ่อนหวาน น้ำเสียงไม่กระโชกโฮกฮาก อะไรแบบนี้ละมัง
ผู้ชายชอบคำหวานทุกคนแหละ แล้วปกติเขาก็ไม่ชอบให้เมียเอาเรื่องชาวบ้านมาเล่าให้เขาฟังหรอก แต่พี่คิดเอาเองนะว่าน้ำคำเนี่ย น่าจะรวมถึงการรู้กาละเทศะว่าควรพูดอะไรเมื่อไรด้วย
ถึงคำพูดของเราจะอ่อนหวาน แต่ไปพูดในเวลาที่เขาไม่อยากฟัง เช่นอยากอยู่เงียบๆคิดอะไรของเขาตามลำพัง ถึงจะไพเราะเสนาะหูแค่ไหนเขาก็อาจจะไม่อยากฟังในตอนนั้นก็ได้ จริงไหม?”
“แล้วน้ำมือล่ะคะ น่าจะหมายถึงข้าวปลาอาหารที่ต้องทำ หรือหาให้เขากินใช่ไหมคะ พี่น้อย”
“พี่ว่าน่าจะหมายรวมถึงอย่างอื่นด้วยนะ” สิริมาทำท่าคิด
“ถ้าสมัยโบราณก็คงหมายถึงปรนนิบัติพัดวี นวดเฟ้น ทำอาหารดีดีมาปรนเปรอสามีด้วยละมัง”
ทิพย์สุรางค์ทำหน้าตกใจ “โอ้โฮ ถึงกับต้องนวดต้องพัดกันเลยหรือคะ?”
อีกฝ่ายหัวเราะขัน “คงหมายถึงแต่ก่อน ตอนนี้เขาคงไม่ต้องรอให้เมียมานวดให้แล้วมั้ง อาบอบนวดมีบริการแบบนี้ถมเถ ร้อนขึ้นมาก็มีแอร์หรืออย่างน้อยก็พัดลม หมดสมัยต้องมาพัดกันเพยิบพะยาบแล้ว น้ำมือนี่อาจจะหมายรวมถึงช่วยลงมือจัดการอำนวยความสะดวก หรือความสุขให้เขาในเรื่องอื่นๆด้วยละมัง”
“ผู้ชายสมัยก่อนคงจะทำอะไรเองไม่เป็นนะคะ พี่น้อย สงสัยจะเป็นประเภทเจ้าขุนมูลนาย อะไรๆก็ใช้แต่ผู้หญิง"
"ใช่สิ เพราะคนสมัยก่อนเขาเลี้ยงลูกผู้ชายเพื่อให้เป็นเจ้าคนนายคนไง แม้แต่สมัยนี้ก็เถอะ หลายบ้านยังเลี้ยงลูกชายแบบไม่ต้องทำอะไรเองอยู่เลย
ถ้าไม่มีข้าทาสบริเวณมารองมือรองเท้า แม่ก็มักจะยอมทำให้เสียเอง ผู้ชายพวกนี้พอแต่งงานมีลูกมีเมียก็เลยมักจะใช้เมียแบบนังแจ๋ว"
ทิพย์สุรางค์หัวเราะขันสีหน้าเซ็งๆของพี่สะใภ้
"คำว่าน้ำปูนล่ะคะ”
“อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่าจะเอามาใช้กับสมัยนี้ได้หรือเปล่า ถ้าสมัยก่อนน่ะได้แน่ ก็สมัยก่อนคนไทยกินหมากกันทั้งผู้หญิงผู้ชาย บ้านเรือนทุกหลังจึงต้องมีปูนกินหมาก โบราณเขาใช้ดูนิสัยใจคอ ความเป็นแม่บ้านแม่เรือนของผู้หญิงในบ้านนั้น ว่าขี้เกียจหรือขยัน จากการคอยดูแลน้ำในเต้าปูนให้มีปริมาณพอเหมาะแก่การใช้ ไม่ขาดไม่เกิน แต่สมัยนี้คงดูตรงนี้ไม่ได้ เพราะเลิกกินหมากกันไปนานเนแล้ว พี่เล่าให้ฟังเป็นความรู้เท่านั้น”
“พี่น้อยคะ น้องอยากย้อนกลับไปถามเรื่องพี่น้อยบอกว่า หลังแต่งงานกัน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงต่างก็เปลี่ยนแปลงนั่นน่ะ เมื่อกี้พี่น้อยพูดถึงแต่ผู้ชาย แล้วผู้หญิงเล่าคะ เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?”
“อ๋อ เรื่องนั้นน่ะหรือ ผู้ชายเปลี่ยนไปในทางคาดหวังจากผู้หญิงมากขึ้น แต่ผู้หญิงกลับตรงกันข้าม ไม่ได้เรียกร้องต้องการอะไรมากขึ้นกว่าเดิมเลย ขอเพียงให้สามีรักและเอาอกเอาใจเหมือนสมัยที่เป็นคู่รักกันเท่านั้นก็พอใจแล้ว พร้อมที่จะทำตัวเป็นนังแจ๋ว เหนื่อยยากตรากตรำยิ่งกว่าสมัยยังเป็นสาว บำรุงบำเรอให้เขามีความสุข ทั้งๆที่บางคนตอนที่ยังอยู่กับพ่อแม่ไม่เคยแตะต้องงานบ้านเลยด้วยซ้ำ
แล้วไหนยังจะต้องอุ้มท้องเลี้ยงดูลูกอีกล่ะ ภาระมากมายขนาดนี้จะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลตัวเองให้สวยงาม ตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนสมัยยังเป็นโสดอยู่ได้ ทั้งๆที่ก็ยังอยากสวยอยากงามอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ”
“แหม..ไม่ค่อยยุติธรรมเลยนะคะ แต่งงานแล้วแทนที่จะสบายขึ้น กลายเป็นว่าต้องรับภาระอะไรต่ออะไรเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย” ทิพย์สุรางค์ฟังแล้วรู้สึกอ่อนใจ
สิริมาหัวเราะขำสีหน้าของน้องสามี
“นั่นแหละ แต่ผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ก็เต็มใจที่จะแบกภาระนะ พี่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ดี อาจจะเป็นเพราะความรัก แล้วก็อาจจะเป็นสัญชาตญาณ ที่ต้องการจะรักษาสถาบันครอบครัวเอาไว้ก็ได้ เพราะอาจจะเชื่อว่าถ้าโอนอ่อนผ่อนตามทำทุกอย่างที่สามีต้องการแล้วเขาก็จะไม่ไปไหน ไม่ทอดทิ้งครอบครัวไปหาผู้หญิงคนใหม่
พี่คิดว่าสำหรับบางคนอาจจะได้ผล แต่สำหรับพี่ๆกลับเห็นว่าส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย พี่เห็นผู้ชายหลายคนที่มีเมียแสนดีอย่างที่ว่ามานี้ แต่ครอบครัวก็ยังพังอยู่ดี"
หญิงสาวยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ
"ไม่รู้นะ พี่อาจจะคิดไม่เหมือนคนอื่นก็ได้ พี่ว่าครอบครัวจะพังหรือไม่พังน่าจะขึ้นอยู่ที่ผู้ชายมากกว่า คือถ้าผู้ชายดีมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวสูง ถึงผู้หญิงที่เป็นเมียจะดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ถ้าผู้ชายดีเสียคนครอบครัวพังยาก
ผู้ชายดีคือผู้ชายที่มีคุณธรรม รู้จักหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ผิด เช่นการไปมีผู้หญิงอื่น ซึ่งมักจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตรอบครัวพัง ส่วนผู้หญิงน่ะมีน้อยมากที่จะนอกใจสามีไปมีผู้ชานอื่น"
"เรื่องนี้น้องเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นเลยค่ะ" ทิพย์สุรางค์เสริม
สิริมากล่าวต่อว่า “ พี่คิดว่าผู้ชายไม่ควรเรียกร้องจากผู้หญิงมากเกินไป อะไรช่วยได้ก็ควรจะช่วย ทุกวันนี้ผู้หญิงต้องเหมาหมด ทั้งงานบ้านจิปาถะ ทั้งทำงานช่วยหาเงินเข้าบ้าน ดูแลลูก หน้าที่บนเตียง แถมยังต้องทำตัวให้น่ารัก ให้สวยงามอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ไม่งั้นพ่อเจ้าประคุณจะถือโอกาสไปมีอีหนู
คิดดูสิภาระหนักขนาดนี้ทำให้ผู้หญิง เปลี่ยนจากสาวน้อยน่ารักแสนสวยก่อนแต่งงาน ไปเป็นผู้หญิงหงุดหงิดพูดจาไม่เข้าหู หน้าตาร่วงโรยอารมณ์เสียได้ง่ายๆ ด้วยกันทั้งนั้นแหละ
แต่ผู้ชายก็กลับมากล่าวหาว่าผู้หญิงเปลี่ยนไป ไม่น่ารักน่าพิศวาสเหมือนสมัยที่เป็นแฟนกัน พี่ว่าคนที่เปลี่ยนแปลงจริงๆน่ะคือผู้ชาย ที่เรียกร้องจากผู้หญิงมากเกินไป จนผู้หญิงรับไม่ไหว”
คุยกันแบบนี้ไปอีกพักใหญ่ศัพท์ มือถือของทิพย์สุรางค์ก็ดังขัดจังหวะขึ้น
หญิงสาวหัวเราะ บอกพี่สะใภ้ว่า “คริสค่ะ สงสัยคงอยากรู้ว่าทำไมยังไม่กลับบ้านเสียที”
“เห็นหรือยังว่าเขาติดน้องทิพย์แค่ไหน อย่าเพิ่งรำคาญล่ะ เขาติดเราดีกว่าเขาอยากจะหนีไปไกลๆนะ”
ทิพย์สุรางค์พูดโทรศัพท์กับคริสจบแล้วก็บอกสิริมา
“น้องคงต้องกลับแล้วละค่ะ ถ้ากลับถึงบ้านแล้วไม่เจอน้อง เขาก็จะหงุดหงิด ต้องรีบกลับไปเอาใจเสียหน่อย”
“ไปเถอะ วันหลังก่อนจะกลับไปโน่นก็ชวนเขามาด้วยนะ คุณใหญ่ถามถึงบ่อยๆ”
สิริมามองตามหลังรถทิพย์สุรางค์ไป รู้สึกดีใจกับความสุขของน้องสามี เธอหวังว่าหนุ่มสาวทั้งสองจะสามารถประคับคองชีวิตคู่ ที่เหมาะเจาะลงตัวในสายตาของคนทั่วไปๆได้ตลอดรอดฝั่ง