รากเหง้าของความกลัว
"รากเหง้าของความกลัว " เป็นโจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 390 ผู้ตั้งโจทย์ คือ คุณ กะว่าก๋า
คำอธิบายโจทย์ (แนวทางการเขียน) ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตคุณคืออะไร ? และเมื่อคุณขุดลึกลงไป คุณพบว่า "รากเหง้า" ของความกลัวนั้นเชื่อมโยงกับความคาดหวัง, ความสูญเสีย, หรือการไม่ได้รับการยอมรับ? คุณจะเปลี่ยนความกลัวให้เป็น "เข็มทิศ" ที่นำทางไปสู่การเติบโตได้อย่างไร? จากคำอธิบาย จุดประสงค์ของผู้ตั้งโจทย์ มีหลายจุดประสงค์เลย เนาะ ต้องการให้ ผู้เขียนโจทย์ ตะพาบครั้งนี้ เล่าถึงความกลัวที่ใหญ่ที่สุด ให้เล่าถึง "รากเหง้า"ของความกลัวนั้น เชื่อมโยงกับความหว้ง ความสูญเสียหรือการไม่ได้ รับการยอมรับ แล้วให้เล่าถึงความกลัวนั้น ให้เป็น "เข็มทิศ" นำทางไปสู่การเจริญเติบโต ทุกจุดประสงค์ล้วนแต่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ก็คงต้อง เขียนแบบรวม ๆ ในจุดประสงค์ดังกล่าว ค่ะ
เรื่องของ ความกลัว นั้น ฉันว่า ไม่มีใครหรอกนะ ที่ในชีวิต ไม่เคยกลัวอะไรเลย จริงไหม เพราะในความเป็นจริง ความกลัว เป็นอารมณ์พื้นฐาน ของชีวิตมนุษย์เรา เมื่่อมนุษย์อยู่ในอันตรายหรืออาจจะเกิดความรู้สึกว่า กำลังถูกคุกคาม ก็จะเกิดความรู้สึกกลัว มีปฏิกิริยาทางร่างกาย เช่น หัวใจจะ เต้นเร็วขึ้นกว่าปรกติ สีหน้าอาจซีด หายใจถี่ เหงื่อออก และเตรียมพร้อมที่จะรับเหตุการณ์ ที่พบเจอหรือกำลังจะเกิด ที่เรียกว่า เป็นกลไกที่จะตอบสนอง ซึ่ง อาจจะตอบแสนองแบบสู้ หรือ ถอยหนีไป การตอบสนองความกลัวเป็นการเอาตัวรอด โดยสร้างการตอบสนอง เป็นกลไกทางธรรมชาติที่ติดตัวคนเรา ผ่านวิวัฒนาการกว่า 300 ล้านปี สิ่งมีชีวิตที่ไม่มีความกลัว ก็จะไม่มีทางเตรียมตัวเพื่อมีชีวิต ในวันต่อไป ไม่หาอาหารกักตุน ไม่สร้างที่กำบังสู้กับสภาพแวดล้อม (ความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ต)
ความกลัว อาจจะเกิดขึ้นจากการเรียนรู้ในช่วงเวลาวัยเด็ก ที่มีประสบการณ์ไม่ดีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อย่างเฉพาะเจาะจง ก็เป็นได้ ค่ะ และนั่นก็คือ "รากเหง้า" ของความกลัวนั้น ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของฉัน คิดว่า น่าจะมาจากประสบการณ์ในวัยเด็กของฉัน จนกลายเป็น รากเหง้า ของความกลัว นั่นก็คือ ตั้งแต่เด็ก แม่จะพูดอยู่เสมอ ว่า เด็กผู้หญิง ไม่ต้องเรียนสูงเรียนแค่จบ ประถมสี่ ตามการศึกษาภาคบังคับ ในสมัยนั้น ก็พอแล้ว เพราะโตขึ้น ก็ต้องแต่งงานไป เป็นคนของตระกูลอื่น จนจบประถมสี่ ฉันไปแอบสอบเข้า ป.5 และสอบได้ เลยได้เรียนต่อ จนจบ ป.7 ส่วนพี่สาวน่าจะได้เรียน แค่ ป. 4 และแต่งงานไป ชีวิตแต่งงานไม่ประสบความสุขนัก ต้องอาศัยเงินของพี่เขย ทะเลาะกันบ้าง ลูกพี่สาว คนหนึ่งก็ต้องพามาอยู่บ้านให้พ่อและแม่เลี้ยงไว้ ส่วนน้องสาว จบประถม 4 ได้ เพราะจ้างเรียนให้จบ เพราะถ้าไม่จบการศึกษาภาคบังคับ จะต้องโทษ เพราะผิดกฎหมาย เหตุการณ์ในวัยเด็กที่พบเจอ ทำให้ฉันเกิดความคิดว่า ผู้หญิง ต้องเรียนให้สูง หาเลี้ยงตัวเองได้ การแต่งงานไม่ใช่หลักประกัน ของชีวิตที่จะเป็นสุขและมีอิสระได้ ฉันได้เห็นตัวอย่าง การแต่งงานของพี่สาวแล้ว เพราะไม่มีความรู้ ต้องอาศัยเงินของสามี สามีก็ข่มได้ บางครั้ง ก็ถึงกับลงไม้ลงมือด้วยก็เคย เป็นภาพที่ทำให้ฉันจำได้ เวลาพี่สาวมาที่บ้าน ดูไม่มีความสุข มันเป็นภาพของพี่สาวและคำพูดของแม่ มันเหมือนเป็น รากเหง้า ฝังในใจที่ฉันจะต้องเรียน จะต้องมีความรู้ไว้ประกอบอาชีพได้ เหมือนกลไกที่ทำให้ฉัน ผลักดันตัวเอง ประกอบกับเป็นคนที่เรียนอยู่ในระดับดีพอสมควร ครู อาจารย์ รักใคร่ พอจบ ประถมเจ็ด ครูที่เคยเป็นประจำชั้นฉัน รู้ว่าฉันจะไม่ได้เรียนต่อ ม.ศ. 1 แล้ว ก็มาที่บ้านฉัน พูดกับแม่ว่า "สุวิมล เป็นเด็กเรียนเก่ง ควรให้เขาเรียนต่อในชั้นสูงขึ้น" ในที่สุดแม่ก็ยอมให้ฉันเรียนต่อ ม.ศ.1 แต่ให้ฉันสัญญาว่า จะส่งเสียให้เรียนจบ ม.ศ. 3 เท่านั้น
แต่อุปสรรคในเรื่องการเรียนของฉันมันช่างมีมาเรื่อย ๆ ในช่วงเรียน ม.ศ. 2 กลางเทอม เกิดป่วย ต้องหยุดเรียนเป็นอาทิตย์ พอไปโรงเรียน มีครูคนหนึ่ง พูดแบบหวังดีประสงค์ร้าย ไม่ถนอมน้ำใจคนป่วยเลย (ดังที่เคยเขียนเล่าไปเมื่อบล็อกก่อน ๆ ) เลยลาออก ชีวิตตอนนั้น เหมือนว่าวขาดลอย จนกระทั่งเจอเพื่อนประถม 4 จึงได้รู้จักการเรียนลัด สอบเทียบ (เคยเล่าไว้แล้ว) สอบเทียบ ม.ศ.3 แล้ว ฉันต้องรักษาสัญญา ที่ให้ไว้กับแม่ คือ ถ้าอยากเรียนต่อ ต้องหาเงินเรียนต่อเอง ฉันโชคดี แม่ของเพื่อนเขาเปิด โรงเรียนอนุบาล ถึง ประถม 4 ปีนั้น เด็กอนุบาลล้นห้อง ห้องละ 45 คน จึงต้องเปิดห้องเพิ่มอีก 1 ห้อง เพื่อนเลยให้แม่เขา รับฉันเข้าสอน โดยมีข้อแม้ว่า ฉันต้องสอนเด็กอนุบาลทั้งภาษาไทยและภาษาจีน ภาษาไทย เดือนละ 450 บาท ภาษาจีนวันละ 2 ชั่วโมง เพิ่มให้ เดือนละ 250 บาท (ครูภาษาจีน ค่าสอนแพงกว่า ครูสอนภาษาไทยมาก เขาจึงไม่สามารถจ้างครุ 2 คนได้ (เปิดห้องใหม่ ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น) แม่ของเพื่อนให้ฉันลองเขียนชื่อของฉันให้เขาดู พอเขาเห็นลายมือฉันและรู้ว่า ฉันเรียนจบ ภาษาจีน ประถม 4 มา เขาพอใจลายมือฉัน บอกว่าสวย ใช้ได้ สอนเด็กอนุบาลได้แน่ ฉันจึงโชคดี ได้เงินเดือนละ 700 บาท ฉันจึงมีเงินได้เรียนลัด ม.ศ. 4-5 จบใน 1 ปี เรียนติวก่อนสอบ เอนทรานซ์ 1 เดือน 800 บาท ในที่สุด ฉันก็ได้เข้ามาเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ ว.ศ. บางแสน (ในสมัย 2513) 4 ปีในที่แห่งนี้ ความกลัวของฉัน น่าจะเป็นความกลัวที่สุดในชีวิต กลัวเรียนไม่จบ กลัวพ่อผิดหวัง ที่อุตส่าห์บอกแม่ว่า ให้ฉันไปเรียนเถิด ในเมื่อเขาสอบได้ เงินที่ขายโรงงานน้ำหวานหลังจากที่ซื้อบ้านใหม่แล้ว ยังเหลืออีก 2-3 แสน ใช้อย่างประหยัด พอที่จะส่งฉันเรียนจบแน่นอน ที่ ว.ศ. มีกฎอยู่ว่า จบปีสอง ต้องได้เกรดเฉลี่ยสองปีนี้ ไม่ต่ำกว่า 2.2 จึงจะมีสิทธิ์เรียนต่อปี 3-4 และได้รับปริญญา สองปีนี้ ฉันตกอยู่ในความกลัวว่า จะไม่ผ่าน 2.2 เพราะฉันเป็นนักเรียนเรียนลัดมา ทั้ง ม.ศ.3 และ ม.ศ.5 พื้นฐานความรู้ย่อมไม่แน่นเหมือน คนที่เรียนภาคปรกติ จึงต้องพยายามตั้งเข็มทิศในชีวิต ด้วยการขยันอ่านหนังสือมากกว่าเพื่อน นอนดึกกว่าเพื่อน ประหยัด มากที่สุด ร่วมแต่กิจกรรม ของสถานศึกษาเท่าที่จำเป็น ในที่สุด ความกลัวที่ใหญ่ที่สุด ฉันก็สามารถก้าวผ่านมันไปได้ แม่ยอมรับเรื่องการศึกษา มีความสำคัญ น่าเสียดายที่พ่อไม่มีโอกาสได้อยู่เห็น ความสำเร็จทางการศึกษาและ การชนะความกลัวที่จะเรียนไม่จบปริญญา ฉันยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทน บุญคุญพ่อเลย พ่อจากฉันไปตั้งแต่ฉันยังอยู่เทอม 3 ของปี 1 อยู่เลย นั่นเป็นความเศร้าโศกมากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของฉัน ค่ะ (ดังที่ได้เคยเขียนไปแล้ว)

ตะพาบ "รากเหง้าของความกลัว" ฉันก็ได้เขียนครบตามจุดประสงค์ของผู้ตั้งโจทย์ แล้วนะคะ ความจริงเรื่องของความกลัวนั้น น่าจะมีประโยชน์มากกว่า โทษ ค่ะ เพราะความกลัวทำให้เรามีแรงในการตั้ง เข็มทิศ ในชีวิต มีแรงกระตุ้นที่จะทำให้ความกลัว ในสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ และอดทน อดกลั้น เพื่อเดินไป สู่เป้าหมายที่ต้องการได้ ค่ะ บางครั้ง เรากลัวบาป กล้วโดนตำรวจจับก็ทำให้เราไม่กล้าทำชั่ว แต่โทษของความกลัว ก็มีเช่นกัน ถ้าปล่อยให้ความกลัวเกิดในใจ จนฟุ้งซ่าน ขาดสติ กลัวจนไม่กล้า ไม่ทำอะไร กลัวความผิดพลาด ชีวิตก็ขาดความเจริญ ขาดความสำเร็จ แน่นอน จึงต้องกลัวในสิ่งที่ควรกลัว ตั้งสติ ให้มั่น ชนะความกลัวในใจให้ได้ ค่ะ
| Create Date : 04 ธันวาคม 2568 |
|
23 comments |
| Last Update : 5 ธันวาคม 2568 9:50:05 น. |
| Counter : 338 Pageviews. |
|
 |
|
|
| ผู้โหวตบล็อกนี้... |
| คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณ**mp5**, คุณกะว่าก๋า, คุณหอมกร, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะริโตะคุง, คุณปัญญา Dh, คุณสองแผ่นดิน, คุณhaiku, คุณmultiple, คุณnewyorknurse, คุณnewyorknurse, คุณtoor36, คุณThe Kop Civil, คุณkae+aoe, คุณจันทราน็อคเทิร์น |
| | |
โดย: กะว่าก๋า 5 ธันวาคม 2568 11:08:22 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 5 ธันวาคม 2568 13:23:59 น. |
|
|
|
| | |
โดย: หอมกร 5 ธันวาคม 2568 13:53:41 น. |
|
|
|
| | |
โดย: ปัญญา Dh 5 ธันวาคม 2568 21:13:44 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 6 ธันวาคม 2568 14:42:14 น. |
|
|
|
| | |
โดย: multiple 6 ธันวาคม 2568 18:44:33 น. |
|
|
|
| | |
โดย: **mp5** 7 ธันวาคม 2568 11:51:00 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 7 ธันวาคม 2568 21:09:07 น. |
|
|
|
| | |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 8 ธันวาคม 2568 6:19:01 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 8 ธันวาคม 2568 19:54:49 น. |
|
|
|
| | |
โดย: kae+aoe 9 ธันวาคม 2568 8:27:43 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 9 ธันวาคม 2568 15:24:08 น. |
|
|
|
| | |
โดย: กะว่าก๋า 10 ธันวาคม 2568 4:26:03 น. |
|
|
|
|
|
 |
|
ที่ว่า "ประสบการณ์ในวัยเด็ก" นั้น
เป็นรากเหง้าของความกลัวในตอนโตได้จริงๆ
ผมเองก็กลัวผีมาค่อนชีวิต
เพราะถูกหลอกให้กลัวในตอนเป็นเด็กครับ
พอโตมาถึงได้รู้ว่าคนเรานี่แหละที่น่ากลัวกว่าผีเยอะเลย 555
ความกลัวของอาจารย์
กลายเป็นความกลัวที่มีประโยชน์
และผลักดันให้อาจารย์สามารถเอาชนะความกลัวที่มีได้จนหมด
คุณพ่อของอาจารย์ท่านต้องภูมิใจในตัวอาจารย์มากๆครับ
แม้ว่าท่านไม่ได้อยู่รอดูความสำเร็จในวันที่อาจารย์เรียนจบก็ตาม
การเรียนจนจบมหาวิทยาลัยของอาจารย์
ถือเป็นการเอาชนะความกลัวที่ยิ่งใหญ่มากๆครับ