|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
 |
|
|
Deja vu เดจาวู
"Deja vu" เป็น โจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 294 ผู้ตั้งโจทย์ครั้งนี้ คือ น้อง อ้อ เริงฤดีนะ
คำอธิบายโจทย์ " Deja vu เดจาวู เป็นภาษาฝรั่งเศส ให้เขียนถึงประสบการณ์ที่เหมือน เคยเห็น เคยทำมาก่อน (แต่จริงๆ อาจเพิ่งได้พบ ได้ทำ)" จากหัวข้อ "Deja vu" และคำอธิบายโจทย์ ฉันอ่านหัวข้อนี้แล้ว ค่อน ข้างหนักใจนะ แต่ความหนักใจนี้ก็มีประโยชน์ ทำให้ฉันต้องไปค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับคำว่า "Deja vu" เพื่อเป็น ข้อมูลในการเขียนครั้งนี้ ฉันจบเอกภาษาไทยมานี่นะ ไม่ได้จบเอกภาษาฝรั่งเศส ห้าห้า เลยต้องอาศัยการศึกษาจากแหล่ง เรียนรู้ต่าง ๆในอินเทอร์เน็ต ซึ่งฉันรวบรวม และสรุปได้ คร่าว ๆ ดังนี้ ค่ะ คำว่า เดจาวู (Deja vu) แปลว่า “เคยเห็นมาแล้ว” ความหมายหลัก ๆ นั้น เชื่อว่า เกิดจากความฝันบ้าง เกิดจากความทรงจำบ้าง หรือเกิดจากประสบการณ์ที่คล้ายกันที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนหลักทางพุทธศาสนา หรือ ที่เรียกว่า "สายมู" หากมองจากมุมนี้ คือ เราเคยผูกจิตต่อกันในชาติที่แล้ว เช่น มีคนฝันเห็นพญานาคมาให้เลข แล้วตัวเองก็นับถือศรัทธาพญานาคอยู่ แล้วจึงได้นำเลขชุดนั้นไปซื้อลอตเตอรี่แล้วถูกรางวัล เหตุการณ์นี้อาจจะหมายถึงว่าตัวเองในอีกโลกหนึ่งอาจจะมีความ ผูกพันอะไรบางอย่างกับพญานาค หรืออาจจะเป็นลูกหลานสายพญานาคกลับชาติมาเกิดก็ได้ อย่างไร ก็ตามสิ่งเหล่านี้เราไม่สามารถจับต้องหรือพิสูจน์ อะไรได้เลย เนื่องจากเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น และหากไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็เชื่อได้ยาก
คำว่า "สายมู" หมายถึง ไสยศาตร์ มนต์ดำ และคุณไสย์ ซึ่งก็น่าจะ เป็นความหมายไปในทางลบ ถ้าเป็นความหมาย ตามที่กล่าวนี้ ก็ไม่ใช่เป็นหลักทางพุทธศาสนาตามความคิดเห็นที่มีคน กล่าวเช่นนั้น ตามความคิดของฉันนะ ฉันไม่เห็นด้วย เพราะถ้าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องของศาสนาพราหมณ์ ไม่ใช่ ศาสนาพุทธแน่นอน แต่เนื่องจาก ศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ไทยรับมาทั้งสองศาสนา จนแยกออก จากกันยาก ดังที่มีคำกล่าวกันว่า "พุทธะกับไสย ไปด้วยกัน" ศาสนาพราหมณ์ เรารับมาในเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ ส่วนศาสนาพุทธเรา รับมาในเรื่องของธรรมะ นั่นเอง ต่อมา คำว่า "สายมู" มีความหมายแปรเปลี่ยนไป คือ หมายถึง การ บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เครื่องรางของขลัง ไปจนถึง การทำพิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับศาสนา ...พอจะอนุมานได้ว่ามีความ ข้องเกี่ยวในเรื่อง “ความเชื่อ” และ “เครื่องรางของขลัง” นอกจากนี้ ยังมีความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งพวกเขา เชื่อว่า เดจาวูเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับสมอง ไม่ใช่เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ และเดจาวูก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ช่วย ให้เราทำนายอนาคตได้ แม้ว่าเราจะรู้สึกเหมือน เคยเห็นสิ่งนั้นมาแล้วก็ตาม นอกจากนี้ยังมีคำอธิบายถึงเดจาวู อีกว่า “เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสมองส่วนการตัดสินใจ ไม่ใช่ความทรงจำ” โดยสมองส่วนการตัดสินใจนั้นทำหน้าที่ตรวจสอบ ความทรงจำของเราเพื่อมองหาจุดไม่ชอบมาพากลเวลา เรารื้อฟื้นความทรงจำ และเมื่อพบเห็นสิ่งผิดปกติบางอย่างจึงทำให้เกิด อาการ เดจาวู ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ฉันค้นคว้า เรียบเรียง และสรุปเกี่ยวกับคำว่า "เดจาวู" เป็นความรู้มาฝากเพื่อน ๆ ชาวบล็อก ค่ะ
ส่วนที่โจทย์กำหนดว่า "ให้เขียนถึงประสบการณ์ที่เหมือนเคยเห็น เคย ทำมาก่อน (แต่จริงๆ อาจเพิ่งได้พบ ได้ทำ)" ตามจุดประสงค์ ของโจทย์นี้ ฉันคงต้องเขียนถึงประสบการณ์ จาก "เดจาวู" ในแง่ของ ความเชื่อ ในแง่ของเครื่องรางของขลัง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ฉันได้สัมผัสมาทั้งจากคนใกล้ชิดและประสบการณ์ของตัวฉันเอง เรื่องแรก เป็นเรื่องที่เกิดกับน้องชายของฉันเอง ฉันจำได้ว่า น้องชาย ของฉัน ตอนนั้นน่าจะอายุประมาณ 6-7 ขวบได้ เกิดไม่สบาย ไข้ขึ้นสูงกินไม่ค่อยได้ หาหมอมาหลายหมอ อาการก็ ยังคงทรง ๆไม่หายขาดเสียที จนหมอที่รักษาหลายหมอ ก็อ่อนใจ เพราะหาสาเหตุของโรคไม่พบ แม่ของฉันเป็นพวก "สายมู" แม่จะต้องสวดมนต์ทุกเช้า ไหว้พระ ไหว้เจ้า ทุกวันขึ้น 1 ค่ำ และ 15 ค่ำ ตามปฏิทินจีน โดยเฉพาะวันสาร์ทจีน ตรุษจีน ต้องไปไหว้เจ้าที่เล่งเน่ยยี่ ไหว้พระ ทำบุญยา ปอเต็กตึ๊งทำบุญโรงศพ พะเก่ง ศาลเจ้าพ่อเสือ เป็นต้น ด้วยความเชื่อ และ ศรัทธา เมื่อหมดหนทางจากการรักษา ด้วยหมอสายวิทยาศาสตร์แล้ว แม่จึงไปที่เล่งเน่ยยี่ ซึ่งมีเทพเจ้าที่ เชื่อว่า ใครที่ไม่สบาย รักษาอย่างไรก็ไม่หายสักที ให้ไปไหว้และขอยาจากเทพเจ้าองค์นี้ซึ่งมีนามว่า เทพเจ้าแห่งยาหรือ หมอเทวดา "หั่วท้อเซียงซือกง" ด้วยวิธีอธิษฐาน แล้วเสี่ยงเซียมซี เพื่อขอยาจากเทพเจ้าองค์นี้ แล้วนำติ้วเซียมซี นั้นไปเอายาที่แผนกยา ค่ะ ยาที่ได้มานั้น เป็นยาสมุนไพรจีน แม่กลับมาต้มยาที่ขอมาจากองค์ เทพเจ้าหั่วท้อเซียงซือกงให้น้อยชายดื่ม หลังจากที่น้องชายดื่มยาจีน ที่แม่ต้มแล้ว อาการไข้ทรง ๆ ก็ค่อย ๆ หายไป และกินอาหารได้ ก็นับเป็นเรื่องอัศจรรย์จริง ๆ หรือที่เรียกว่า "ปาฏิหาริย์" นั่นเอง นี่น่าจะ เป็นประสบการณ์ "เดจาวู" ในแง่ความเชื่อ ได้ นะคะ

เทพเจ้าแห่งยาหรือหมอเทวดา "หั่วท้อเซียงซือกง"
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่ฉันประสบมากับตัวเอง ค่ะ น่าจะก่อนที่ฉันจะ เกษียณประมาณ ปี 46-47 ได้ไปทอดผ้าป่าวัดทางใต้ น่าจะที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนกลับเจ้าอาวาสของวัดที่เราไปทอด ผ้าป่าได้มอบของที่ระลึกแก่คนที่มาทอดผ้าป่า ฉันได้ตะกรูดลูกปืน ปลุกเสกและมีสายสิญจน์พันลูกปืนนี้ด้วย คนอื่น ได้อะไรบ้างฉันก็ไม่รู้ หลวงพ่อพูดกับฉันว่า เก็บรักษาไว้ให้ดีนะ ถ้ามีเหตุการณ์อะไร ให้ตั้งนโม 3 จบ ระลึกถึง พุทธคุณ อธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนา ขจัดอุปสรรค ต่าง ๆ ฉันรับทราบแต่ก็ไม่เคยได้ขออะไรเลย ค่ะ เวลาไปเที่ยว เมืองนอก ฉันก็จะนำติดตัวไปโดยใส่ไว้ ที่กระเป๋าตังค์เปรียบเหมือนเป็นของขลัง เพื่อแคล้วคลาดปลอดภัย ในการเดินทางเสมอ เป็นเช่นนี้หลายปี อยู่มาวันหนึ่ง อยู่ ๆ ฉันเกิดปวดฟันอย่างมาก โดยฟันที่ปวดก็ไม่ได้ผุ ฉันกินยาแก้ปวดไปแล้ว ก็ทุเลาไปบ้าง พอยาหมดฤทธิ์ มันก็ปวดอีก ทั้งวัน ทรมานมาก จู่ ๆ ฉันก็นึกถึงตะกรูด ที่เจ้าอาวาสท่านให้มาและเคยบอกฉันว่า เมื่อเกิดอะไรให้นำตะกรูดมา แล้วตั้งนโม 3 จบ ระลึกถึง พุทธคุณ อธิษฐานขอให้แคล้วคลาดอุปสรรคที่มี ฉันทำตามคำที่ท่านได้สั่งไว้ เอาตะกรูดมาลงขันน้ำ ตั้งนโม และ ระลึกถึงพุทธคุณ ขอให้การปวดฟันโดยหา สาเหตุไม่ได้ครั้งนี้ จงหายปวด แล้วนำน้ำมนต์นั้นมาลูบแก้มข้างที่ปวด ฟัน กินยาแก้ปวดไปอีก 1 เม็ด แล้วเข้านอน อาการปวดนั้น ก็ค่อย ๆ หายไป ตื่นเช้า ก็ไม่ปวดอีกเลย นี่เป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในชีวิตของฉัน ฉันก็ไม่ได้คิดว่า ทำแล้ว อาการปวดฟันจะหายได้ มันก็เป็นเรื่องเหลือ เชื่อ เนาะ แต่... มันก็เกิดขึ้นจริง ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ให้เหตุผลไม่ได้ ปวดทั้งวัน ยาก็กินแล้ว ทั้ง ๆ ที่ฟันซี่นั้นก็ไม่ได้ผุเลย

ตะกรูด รูปต่าง ๆ ค่ะ
ทั้งสองเหตุการณ์ที่ฉันเล่ามานี้ ก็เพื่อประกอบ คำว่า "เดจาวู" ในความหมายของ "สายมู" ค่ะ อิอิ แต่ที่น่าเสียดาย น่าเจ็บใจ ก็คือ หลังเกษียณแล้ว ฉันกับเพื่อนเดินทาง ไปเที่ยวประเทศเกาหลี ที่สนามบิน ก็ต้องผ่าน การเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ทุกครั้ง ฉันโดนกักตัวเพื่อค้นของในกระเป๋า เจ้าหน้าที่ริบตะกรูดของฉันไป บอกว่า เป็นลูกปืนนำขึ้นเครื่องไม่ได้ ฉันเถึยงว่า เป็นเครื่องราง และก็นำ ติดตัวมาขึ้นเครื่องหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นจะต้องริบของเลย จะขอไปฝากที่ที่ให้ฝากของ ขากลับไปรับคืน เขาก็ไม่ยอม เถียงกันเป็นครู่ใหญ่ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพื่อนก็บอกว่า ให้มันริบไปเถอะ เดี๋ยวขึ้นเครื่องไม่ทัน ฉันจำใจต้องยอมให้มันเอาไป เชื่อเถอะ มันไม่เอาไปทิ้งหรอก คงจะเก็บเอาไว้เอง ฉันก็ต้องปลง ตะกรูดนี้ ฉันคงมีวาสนาครอบครองเพียงเท่านี้ จึงต้องสูญเสียและจากฉันไป เมื่อปลงได้แล้ว ความทุกข์ ความเสียใจ เสียดาย ก็ค่อย ๆ หายไป อะไร ๆ ก็ไม่ใช่เป็น ของเราอยู่แล้ว ตามหลักสัจธรรมที่ฉันก็เรียนรู้มามากพอสมควร เนาะ
ฉันก็ขอจบ ตะพาบ "เดจาวู" ที่น้องอ้อ เริงฤดี นะ ตั้งโจทย์มา เพียง เท่านี้ ค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ ค่ะ สวัสดี
(ขอบคุณข้อมูล และ ภาพ จาก อินเทอร์เน็ต ค่ะ )
Create Date : 16 มกราคม 2565 |
Last Update : 17 มกราคม 2565 15:23:11 น. |
|
32 comments
|
Counter : 950 Pageviews. |
 |
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณkatoy, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณเริงฤดีนะ, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณคนผ่านทางมาเจอ, คุณtuk-tuk@korat, คุณกะว่าก๋า, คุณThe Kop Civil, คุณนายแว่นขยันเที่ยว, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณtoor36, คุณทนายอ้วน, คุณสองแผ่นดิน, คุณkae+aoe, คุณSweet_pills, คุณmariabamboo, คุณชีริว, คุณกิ่งฟ้า, คุณร่มไม้เย็น, คุณอุ้มสี, คุณmultiple |
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 17 มกราคม 2565 เวลา:10:57:36 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 17 มกราคม 2565 เวลา:10:59:18 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 17 มกราคม 2565 เวลา:11:00:07 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 17 มกราคม 2565 เวลา:11:46:18 น. |
|
|
|
โดย: ทนายอ้วน วันที่: 17 มกราคม 2565 เวลา:13:50:28 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:6:17:58 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:17:24:13 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:17:39:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 18 มกราคม 2565 เวลา:20:36:36 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 มกราคม 2565 เวลา:6:08:17 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 มกราคม 2565 เวลา:12:11:36 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 20 มกราคม 2565 เวลา:0:29:20 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 มกราคม 2565 เวลา:6:12:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 20 มกราคม 2565 เวลา:11:48:37 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 20 มกราคม 2565 เวลา:20:16:05 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 มกราคม 2565 เวลา:6:14:20 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 21 มกราคม 2565 เวลา:12:23:41 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 มกราคม 2565 เวลา:21:10:06 น. |
|
|
|
โดย: Sweet_pills วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:0:04:24 น. |
|
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:1:13:31 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:5:35:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:6:35:54 น. |
|
|
|
โดย: กิ่งฟ้า วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:8:04:03 น. |
|
|
|
โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:8:57:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 มกราคม 2565 เวลา:19:12:40 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 มกราคม 2565 เวลา:7:03:37 น. |
|
|
|
|
|
 |
|
|
|
 |
ฝากข้อความหลังไมค์ |
 |
Rss Feed |
 | Smember |  | ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]

|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
 |
|
ข้อมลูเปีะปัง ต้องอาจารย์สุวิมลของน้องๆเพื่อนบล็อกเลยค่ะ
ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นนอกจาก Deja vu ที่อ้อ แปะเล็กๆน้อยๆ
อธิบายโจทย์ตะพาบงวดนี้
ชื่อเรื่องสั้น
แต่เนื้อหาละเอียดยิบ
ออกข้อสอบอัคนัยไปนี่ เด้กๆอธิบาย และยกตัวอย่างได้มากมาย
เป็นโจทย์แบบปลายเปิดจริงๆ
อ้อ..มาแนวซาดิสต์
รออ่านแนวคิดของเรื่องๆค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์ สำหรับตะพาบชวนอ่าน
ชวนติดตาม ตอนนี้