|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
จุดจบของการเริ่มต้น
"จุดจบของการเริ่มต้น"เป็นโจทย์ถนนสายนี้มีตะพาบ หลักกิโลเมตรที่ 356 ผู้ตั้งโจทย์ คือ คุณ กะว่าก๋า
คำอธิบายโจทย์ (แนวทางการเขียน) การเริ่มต้นในสิ่งหนึ่งของคุณ มันจบลงได้อย่างไร ลองเล่าจุดจบของการเริ่มต้นนี้ ในรูปแบบของ การเล่าเรื่องจริงหรือเขียนเป็นเรื่องแต่งก็ได้
"จุดจบของการเริ่มต้น" ความหมายของหัวข้อโจทย์ตะพาบ ครั้งนี้ อ่านแล้วก็ไม่ใช่ เรื่องยากที่จะเขียน ค่ะ เพราะว่า ในชีวิตคนเรา ย่อมต้องมีการเริ่มต้นในสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้ และเมื่อมีการเริ่มต้นทำในสิ่งที่ เราต้องการ สิ่งที่ตามมา ก็คือ ความหวังที่จะให้การเริ่มต้นนั้น ประสบความสำเร็จ(ที่ น้องก๋าใช้คำว่า จุดจบ ซึ่งครูว่า การใช้ คำว่า จุดจบ ดูมันมีความหมาย ในด้านลบ ไงไม่รู้ นะ อิอิ น่าจะใช้คำว่า ความสำเร็จของ การเริ่มต้นมากกว่า เป็นความเห็นส่วนตัว ค่ะ ) แต่ในความเป็นจริงของชีวิต การเริ่มต้นแต่ละเรื่องใช่ว่าตอนจบของเรื่องที่เราเริ่มต้น จะสำเร็จสมความปรารถนาของเราทุกเรื่อง ก็หาไม่ บางเรื่องที่เราเริ่มต้น สุดท้ายตอนจบก็สมปรารถนา บางเรื่องก็ไม่สมปรารถนา อันเป็นเรื่องธรรมดาของสัตว์โลก ที่ว่า "ในโลกนี้ ล้วนแต่อนิจังไม่เที่ยงแท้"
จุดมุ่งหมายของผู้ตั้งโจทย์ ครั้งนี้ ต้องการให้ผูเขียนโจทย์นี้ เขียนในรูปแบบเล่าเรื่องจริง หรือเล่าเป็นเรื่องแต่งก็ได้ ฉันก็ขอเล่าในรูปแบบแรก คือเล่าเรื่องจริงที่เคยเกิดกับฉัน เพราะการเล่าเรื่องจากประสงการณ์จริงของเราเอง จะเขียนได้ง่ายกว่า เนาะ ชีวิตของฉัน ก็เป็นชีวิตธรรมดาคนหนึ่ง วัยเด็ก ก็เรียกได้ว่า สุขสบาย พ่อแม่มีฐานะดี พอสมควร พ่อเป็นคนเก่ง คิดสูตรการทำน้ำหวาน น้ำตาลกรวด ขายดิบขายดี จนตั้งเป็นโรงงานทำน้ำหวาน ใส่ขวด ส่งขายทั่วกรุงเทพฯ ส่งน้ำหวานเป็นปี๊บ ส่งต่างจังหวัด ช่วงชีวิตวัยเด็กของฉัน ไม่ต้องดิ้นรนอะไร สบาย ๆ ตามประสาเด็กที่พ่อแม่รัก ตามใจ จนกระทั่ง ฉันเรียนอยู่ ม.ศ. 2 ตอนเทอม 1 ฉันป่วย ต้องออกจากโรงเรียนด้วยเหตุผลที่เคยเล่าไปแล้ว ช่วงนั้น ชีวิตฉันไร้จุดหมาย อยู่ไปวัน ๆ เที่ยวไปวัน ๆ ความตั้งใจที่จะต้องเรียน ให้ได้ปริญญาตรี เป็นอันหมดหวังแล้ว แต่แล้วเหมือน พรหมได้ลิขิตให้ฉันได้สมหวังที่เคยตั้งใจไว้ ทำให้ฉันได้เจอเพื่อน ในสมัยเรียนประถมด้วยกัน ครอบครัวเขายากจน มีพี่น้องหลายคน ดังนั้นเมื่อเขาเรียนจบ ประถม 4 แล้ว ก็ไม่ได้เรียนต่อ ต้องออกมา หางานทำช่วยเหลือครอบครัว วันหนึ่งบังเอิญได้เจอเธอ
เพื่อน ง่วงเกียง คือคนนั่งทางซ้ายมือสุด ผมยาว เสื้อขาว ที่เป็นคนจุดประกายให้ฉัน ได้เขียน จุดจบของการเริ่มต้น เพราะได้เจอเพื่อนคนนี้ ค่ะ (เธอชื่อ ง่วงเกียง ) ถามไถ่ทุกข์สุขกัน ได้ทราบว่า เธอไปเป็นพนักงานขายตั๋วที่ โรงภาพยนตร์ ตอนเย็น ก็ไปเรียนลัด นั่นคือ หลักสูตร ม.ศ.1-3 เรียนรวบจบภายใน 1 ปี แล้วก็ไปสมัครสอบเทียบ วุฒิตามที่กระทรวงศึกษาประกาศรับสมัครสอบ จากการอธิบาย ของเพื่อนง่วงเกียง เป็นการจุดประกายความหวังที่จะ เริ่มต้นความฝันที่จะตั้งความหวังเรียนจบให้ได้ปริญญาตรีให้ได้นี่เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของฉัน ในเรื่องของความตั้งใจเดิม ฉันเริ่มขอแม่ไปเรียนภาคค่ำ ตามที่เพื่อนง่วงเกียงบอก ไปสมัครเรียนที่ โรงเรียนอมาตยศึกษา บ้านหม้อแถวพาหุรัด โดยแม่ให้ฉันสัญญาว่า จะส่งฉันเรียนจบ ม.ศ.3 เท่านั้น ฉันตอบตกลง และเริ่มเดินทางไปที่โรงเรียนดังกล่าว สมัครเป็นนักศึกษาภาคค่ำ เรียน ตั้งแต่ 17.00-20.30 น. ในการไปเรียน ก็มีอุปสรรคบ้าง คือ หาเพื่อนในวัยเดียวกันมีน้อย เพราะส่วนใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ อายุมากกว่าเราทั้งสิ้น พวกเขาทำงาน ตอนเลิกงานมาเรียน ส่วนฉันกลางวันนอนเล่น ช่วยงานบ้างตามอารมณ์พอใจ ช่วงเทอมแรก ก็น่าเบื่อ เพราะฉันเรียนมาแล้ว เลยไม่มีความน่าสนใจนัก พอเทอมสองและสาม (มี 3 เทอม เทอมละ 150 บาท) ก็ค่อย ดีขึ้น มีเรื่องใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยเรียน ความตั้งใจมีมากขึ้น แต่ก็ต้องปรับตัวมากพอควร ในที่สุด ก็ถึงเวลาไปสมัครสอบ ฉันก็ไปสม้ครสอบ ตามที่กระทรวงประกาศรับสมัครโห ! คนสมัครเยอะเชียว น่าจะ ประมาณ 4000-5000 คน ทั่วประเทศ ขั้นตอนการรับสมัคร ต้องช่วยเหลือตัวเอง การสอบผ่านไป ฉันก็ไม่หวังว่าจะสอบผ่านมากนัก เพราะคนสอบมีมากมาย และสอบตาม เปอร์เซ็นต์ คือ รวมแล้วต้องร้อยละ 50% จึงจะสอบผ่าน พอประกาศผลก็ไม่กล้าไปดู กลัวผิดหวัง เพื่อนที่เรียนด้วยกัน เขาไปดูมาแล้ว โทรมาบอกว่า ฉันสอบผ่านแต่เขาไม่ผ่าน ฉันดีใจมาก ที่การเริ่มต้นครั้งนี้ ส่งผลสำเร็จไปขั้นตอนหนึ่งแล้ว ทำให้ต้องการเรียนต่อ ม.ปลาย แต่โชคร้าย สมัยนั้น การต่อ ม.ปลาย ไม่ให้เอาวุฒิ ม.ต้น ที่สอบเทียบ ไปสมัคร ต้องเป็นวุฒิเรียนตามปรกติ (การศึกษาในยุคนั้น ใจแคบ นะ) ฉันเลยต้องเรียนลัดต่อไป อุปสรรคตอนนี้ ฉันต้องทำตามสัญญาที่รับปากแม่ไว้ คือ ฉันต้องหางานทำและส่งตัวเองเรียน (ฉันเป็นคนรักษาสัญญามาก พูดแล้วต้องทำ ทั้ง ๆ ที่ ตอนนั้น บ้านฉันเป็นโรงงาน พ่อแม่ส่งเรียนได้แน่นอน ค่ะ แต่ฉัน ไม่ต้องการผิดสัญญา และฉันก็โชคดี ได้ไปสอนเด็ก ป.เตรียมขึ้นประถม 1 เงินเดือน 450 บาท สอนทุกวิชาแต่เขาจะรับฉัน ต้องสอนภาษาจีน ชั้นประถมให้เขาด้วย วันละ 2 ชั่วโมง ให้เงินเพิ่มอีก 250 บาท (โห !เงินดีกว่าสอนภาษาไทยเยอะเลย อิอิ) รวมแล้ว ได้เดือน ละ 700 บาท ที่ยื่นข้อเสนอเช่นนี้ เพราะปีนั้น โรงเรียนมีเด็กอนุบาลล้น ต้องเฉลี่ยออกมาอีก 1 ห้อง แต่เขาจ้างครูจีนอีก 1 คน ไม่ไหว เพราะแพงกว่าจ้างครูภาษาไทย ค่ะ ฉันบอกว่า ฉันไม่แน่ใจว่าจะสอนได้ไหม เพราะจบประถม 4 ภาษาจีนมาหลายปีแล้ว เขาก็เอาหนังสือภาษาจีน ชั้น ป.เตรียมมาอ่านให้เจ้าของโรงเรียนฟัง เขาชื่อภาษาจีนของฉันให้เขาดู เจ้าของโรงเรียนโอเคเลยว่า ใช้ได้ อ่านสำเนียง (จีนกลาง ชัดเจน)ลายมือสวย รับเลย ห้าห้า ตอนนี้ หาเงินเรียนได้แล้ว ใช้วุฒิ ม.ศ.3 ที่สอบเทียบ
ลูกศิษย์รุ่นแรกในชีวิตการเป็นครูของฉัน ค่ะ ป่านนี้ คงแก่ ๆ กัน มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว น่ารักทุกคน ช่างพูด ช่างฟ้อง เหนื่อยแต่มีความสุข ค่ะ
อุปสรรค มีให้เราสู้นะ ตอนเลิกเรียน ฉันนั่งทำงาน หาข้าวมื้อเย็นกินแถวโรงเรียน โชคดี ที่โรงเรียนที่ฉันสอน คือ โรงเรียนเลิศศิลป์พิทยา อยู่เชิงสะพานพุทธ แต่ต้องเดินเข้าซอย ไปลึกพอสมควร ตอนเย็น ฉันออกจากโรงเรียน เดินข้ามสะพายพุทธมาเรียนภาคค่ำที่ โรงเรียนอำมาตยศึกษา ก็สบาย ๆ (ยังเด็กไง เดินสบาย ๆ ) มาถึงโรงเรียน ก็ประมาณ 16.30 น. เหลือเวลาเข้าเรียน ครึ่งชั่วโมง สบาย ๆ ทบทวง บทเรียนไป ฉันเลือกเรียน แผนกวิทย์ หวังจะเข้าเรียน คณะเภสัชกร แต่อุปสรรค ก็มีอีก เจอครูสอนตรีโกณ ชื่อครูแสวง (ฉันจำแม่นจนถึงทุกวันนี้ ) เป็นผู้พลิกผันชีวิตฉัน ต้องเปลี่ยนเข็ม จากการเรียนสายวิทย์ มาเป็นสายศิลป์ เพราะรู้ว่า ถ้าเจอ ครูสอนที่สอนอย่างลัด โดยไม่ยอมอธิบายเพิ่มเติม ฉันต้องไปไม่รอด สอบ มศ.5 ไม่ผ่านแน่ นับว่า ฉันโชคดี เลยเสียเวลาเรียนสายวิทย์ ไป 1 เทอม เริ่มเรียนสายศิลป์ใหม่ และสอบผ่าน ม.ศ. 5 ลำดับที่ 642 ซึ่งปีนั้น ผู้เข้าสอบน่าจะประมาณเป็นหมื่นคนนะ สอบผ่านประมาณ เกือบพันคน มั้ง ฉันก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ที่จำได้ว่า ได้อันดับ 642 เป็นแผ่นตรวจรายชื่อคนสอบได้ เป็นแผ่นรองสุดท้าย ฉันบันทึกไว้ในหนังสือที่ฉันเขียน จึงจำได้ ค่ะ การเริ่้มต้นในชีวิตทางการศึกษา ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว สิ่งที่ฉันต้องสู้ต่อไป ก็คือ การสอบสอบเอ็นทรานซ์ ฉันลงทุนไปเรียนพิเศษติวที่ ร.ร.สมถวิล 1เดือน หลายร้อยบาทอยู่ มีเงินเก็บตอนสอนหนังสือ เรียนช่วงหลังเลิกสอน ประมาณวันละ น่าจะ 3 ชั่วโมง ครูสังคมที่ติว ฉันจำเขาได้ เขาเตือนว่า พวกที่เรียนลัดมา ความรู้จะแน่นเหมือนนักเรียนที่เรียนตามปรกติไม่ได้แน่ เพราะฉะนั้น อย่าเลิอกมหาวิทยาลัยและคณะที่คนอยากเข้ามาก ๆ และควรเลือกมหาวิทยาลัย ที่อยู่ต่างจังหวัด เราอาจสู้เขาไม่ได้ ฉันตัดสินใจว่า ฉันจะมาทางสายครูโดยตรง สมัยนั้น สายครูที่ดัง ๆ คือ ว.ศ. ทั้ง 8 แห่ง แห่งที่อยู่ กรุงเทพฯ มีประสานมิตร ปทุมวัน บางแค มั้ง แต่ฉันเลือก ว.ศ.บางแสน ที่อยู่ จังหวัดชลบุรี ฉันสอบเสร็จถึงวันประกาศผล ไปดูผล ปรากฏ ว่า สอบไม่ได้ ค่ะ เสียใจมาก ร้องไห้อยู่หลายวัน แม่ดีใจ ที่ฉันสอบไม่ได้ เพื่อนหลาย ๆ คน โทรมาถามว่า สอบติดที่ไหน ฉันจุกเลยเพราะทุกคนเชื่อมั่นว่าฉันต้องสอบได้แน่นอน (เพื่อน ๆ ที่สนิท เขาว่าฉันเรียนเก่ง อิอิ ) ยิ่งเสียใจที่ทำให้เพื่อน ๆ ผิดหวัง บอกว่าฉันล้อเล่นหรือเปล่า ฉันรู้สึกจุกมากยิ่งขึ้นแต่ความจริงก็คือความจริง จุดจบของการเริ่มต้น จะเป็นเช่นนี้แล้วหรือ เฮ้อ ! เสียใจ หงอยเหงา อารมณ์ไม่ดีอยู่ 3-4 วันในการรับโทรศัพท์ จากเพื่อนและไม่อยากจะรับโทรศัพท์เลย จนถึงสาย ๆ ของวันที่ 4 หลังจากการประกาศผล พ่อมาตามไปรับโทรศัพท์ ฉันลุกขึ้นไปรับกรอกเสียงห้วน ๆ ว่า มีเรื่องอะไรอีก ล่ะ (นึกว่าเพื่อน) เสียงจากโทรศัพท์บอกมาว่า "คุณติด ว.ศ. 4 หญิง ครับ พรุ่งนี้เชิญไปรายงานตัว" ฉันช็อคไปพักหนึ่ง ถามไปว่า "แต่ดิฉันไปดูประกาศมาแล้ว ว่า ดิฉันสอบไม่ติดสักคณะเลยนะคะ "ทางผู้โทร หัวเราะน้อย ๆ ตอบมาว่า คุณติดสำรองครับ เขาไม่ได้ประกาศ ตอนนี้ มีคนสละสิทธิ์ ครับ พรุ่งนี้ มาสอบสัมภาษณ์ที่ ตึก......(รายละเอียดจำไม่ได้แล้ว) ฉันดีใจจนเนื้อเต้น บอกพ่อ พ่อก็ดีใจ แม่โกรธ หาว่าฉันไม่ห่วงพ่อเลย (ตอนนั้น พ่อไม่ค่อยสบาย โรงงานน้ำหวานก็ปิดไปแล้ว เพราะไม่มีใครรับช่วงต่อ พวกข้าราชการก็มาไถเงินจะให้ย้าย ไปนอกเมือง ) พ่อบอกแม่ว่า ในเมื่อฉันสอบได้แล้ว ต้องให้เรียน เงินที่เซ้งบ้านเก่าไป ซื้อบ้านใหม่ที่อยู่ปัจจุบันนี้ ก็ยังเหลือเงินอีกหลายแสน ประหยัด ๆ ก็สามารถส่งให้ฉันเรียนจบได้อยู่แล้ว ฉันซาบซึ้งในความรักของพ่อมาก น่าเสียดาย ท่านไม่มีโอกาสได้อยู่จนถึงเห็นความสำเร็จของฉัน ฉันยังไม่ได้ตอบแทน บุญคุณของพ่อเลยคงต้องเป็นชาติหน้า นั่นแหละนะ
อุปสรรค 4 ปี ในวิทยาลัยวิชาการศึกษา มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันไป (ดังที่ฉันได้เล่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบล็อกก่อนไปแล้ว) ฉันก็ต้องอดทน แม่ให้ค่าใช้จ่าย เดือนละ 100 บาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทาง ว.ศ. เก็บไปเป็นเทอม ๆ ไปแล้ว ในที่สุด จุดจบของการเริ่มต้นของฉัน ก็สมปรารถนาตามที่ฉันได้ตั้งใจไว้ ค่ะ ตะพาบ ครั้งนี้ ก็เล่าเรื่องตัวเอง ยาวไปหน่อย แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดกับตัวฉันเอง ใช้เป็นข้อคิดได้บ้าง พอสมควร ว่า การเริ่มต้น จำเป็นต้องมี ถึงแม้ว่า การเริ่มต้นนั้น จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก อุปสรรคมากมาย เราจึงต้องอาศัยความอดทนให้ถึงที่สุด แต่ถ้าเราได้ทำเต็มที่แล้ว การเริ่มต้นนั้น จะมีจุดจบที่ไม่สมปรารถนาตามที่เราต้องการ เราก็จะไม่เสียใจ เพราะเราได้ทำเต็มที่ อดทนเต็มที่แล้ว ก็ต้องปล่อยวาง ยอมรับจุดจบ ของการเริ่มต้นเรื่องนั้น ๆ ค่ะ สวัสดี ค่ะ
Create Date : 20 กรกฎาคม 2567 |
Last Update : 20 กรกฎาคม 2567 22:13:45 น. |
|
25 comments
|
Counter : 435 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณกะว่าก๋า, คุณปัญญา Dh, คุณหอมกร, คุณtoor36, คุณkae+aoe, คุณmultiple, คุณดอยสะเก็ด, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณสองแผ่นดิน, คุณชีริว, คุณThe Kop Civil |
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:01:40 น. |
|
|
|
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:9:57:40 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:21:16 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:19:32:11 น. |
|
|
|
โดย: หอมกร วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:40:47 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 21 กรกฎาคม 2567 เวลา:21:49:53 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:29:10 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 22 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:54:12 น. |
|
|
|
โดย: multiple วันที่: 22 กรกฎาคม 2567 เวลา:14:00:22 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กรกฎาคม 2567 เวลา:4:55:26 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 23 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:13:56 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 23 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:43:59 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:18:37 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 24 กรกฎาคม 2567 เวลา:20:00:45 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:10:17 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:11:30:43 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 25 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:46:32 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:23:42 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:15:15:56 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 26 กรกฎาคม 2567 เวลา:22:46:04 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 27 กรกฎาคม 2567 เวลา:5:39:36 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ฝากข้อความหลังไมค์ |
|
Rss Feed |
| Smember | | ผู้ติดตามบล็อก : 46 คน [?]
|
เป็นครูสอนภาษาไทยที่เกษียณอายุราชการแล้ว สนใจเรื่องการเขียนหนังสือให้ความรู้ ชอบการท่องเที่ยว หากท่านที่เข้ามาชมและอ่านแล้ว มีความสนใจและต้องการสอบถามเรื่องความรู้ด้านภาษาไทย ถ้ามีความสามารถจะให้ความรู้ได้ ก็ยินดีค่ะ
http://i697.photobucket.com/albums/vv337/dd6728/color_line17.gif |
|
|
|
เมื่อคืนสามทุ่มกว่าๆผมก็ปิดคอมเตรียมตัวนอนเลยครับ
เดี๋ยวนี้ผมนอนเช้าและตื่นเช้ามากขึ้น
อย่างวันนี้ตี 4 ครึ่งก็ตื่นแล้วครับ 555
โจทย์นี้ผมส่งให้น้องต่อนานแล้วครับ
นานจนผมลืมไปแล้วว่าตอนส่งโจทย์ให้นั้น
ผมคิดอะไรอยู่ ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลรึเปล่า
ผมเลยใช้คำว่า "จุดจบ" และ "การเริ่มต้น" นี่ล่ะครับ
อาจารย์เป็นคนเด็ดเดี่ยวมากๆเลยครับ
เวลาคิดทำอะไรจึงตั้งใจและทุ่มเทมากๆ
เงินเดือนที่อาจารย์ได้รับในสมัยนั้น
นับว่าเป็นเงินเดือนที่สูงมากเลยนะครับ
ถ้าเทียบกับค่าทองในยุคนั้น
ผมชอบภาพเด็กนักเรียนของอาจารย์ครับ
ตอนนี้คงจะมีอายุกันพอสมควร
ถ้าจะมีใครบังเอิญได้เห็นและจำตัวเองได้จากภาพนี้
น่าจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆเลย
คุณพ่อของอาจารย์ท่านน่ารักมากๆครับ
สนับสนุนลูกสาวให้เรียนหนังสือ
ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ในยุคนั้น
น่าจะอยากให้ลูกสาวออกมาทำงานมากกว่า
อ่านแล้วนึกถึงแม่ผมด้วยครับ
ความจริงแม่ผมชอบเรียนรู้ ชอบศึกษามากๆ
แต่ครอบครัวไม่สนับสนุน แม่ผมเลยเรียนถึงแค่ ป.4 เท่านั้นครับ