Group Blog
 
 
สิงหาคม 2568
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
25 สิงหาคม 2568
 
All Blogs
 

ศรีลังกา (1): ต้นธารพุทธลังกาวงศ์


ขอต้อนรับสู่บล็อกที่ยาวที่สุดในปีนี้กับ ทริปศรีลังกา ครับ ทริปนี้ไปมาเมื่อวันที่ 8-12 พ.ค. 68  ซื้อทัวร์จาก TravelZeed ส่งไปรวมที่ One Fine Day 5 วัน 3 คืน 34,900 บาท ถือเป็นทัวร์คุณภาพดีเลยครับ ไกด์ดี อาหารดี โรงแรมดี เพื่อนร่วมทัวร์ดี และศรีลังกาก็เป็นประเทศที่น่าเที่ยวกว่าที่คิดมาก  

แม้อินเดียจะเป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ แต่ศาสนาพุทธแบบเถรวาทปักหลักอย่างเข้มแข็งที่สุดในศรีลังกา เมียนมาร์ และไทย ซึ่งไทยเองก็รับลัทธิลังกาวงศ์มาจากศรีลังกา จนเป็นศาสนาหลักในบ้านเราด้วย

นั่งเครื่องศรีลังกาแอร์ไลน์ออกจากสุวรรณภูมิวันที่ 8 พ.ค. เวลา 7.45 น. ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึงท่าอากาศยานโคลอมโบ 9.35 น. เวลาที่ศรีลังกาจะช้ากว่าไทย 1 ชั่วโมงครึ่งครับ ถึงแล้วก็เปิดโรมมิ่ง มือถือจะปรับเวลาท้องถิ่นอัตโนมัติ แต่อย่าลืมปรับเวลาในกล้องถ่ายรูปให้เรียบร้อยด้วย ที่สนามบินคุณไกด์ท้องถิ่นมาต้อนรับด้วยพวงมาลัย และไม้ง่ามผูกริบบิ้นอะไรสักอย่าง 

 

 

กรุ๊ปนี้มีแค่ 13 คน
โชคดีที่ออกเดินทางได้นะครับ (ปกติขั้นต่ำคือ 16 คน)
หัวหน้าไกด์ไทยคือคุณแอรรี่ เฟรนด์ลี่มาก ทำงานหนักมาก
เปิดกรุ๊ปไลน์ให้คำแนะนำตั้งแต่ก่อนเดินทาง
บรรยายทั้งบนรถทั้งที่สถานที่ท่องเที่ยว

คุณไกด์ท้องถิ่นก็ศึกษามาเยอะนะครับ
แต่ต้องพูดภาษาอังกฤษ เลยไม่สารพัดประโยชน์เท่า

 


และนี่คือแผนที่ศรีลังกาที่เขาแจกให้ประกอบการท่องเที่ยวครับ จะได้นึกภาพตามได้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของประเทศ ขอสปอยล์สั้นๆ ว่าทัวร์นี้เราไปตั้งแต่กอลล์ที่อยู่ใต้สุด ไปจนถึงอนุราธปุระที่อยู่เกือบบนสุดเลยครับ 4 วันเที่ยวเกือบทั้งประเทศ



และเหมือนเช่นเคย ก่อนเที่ยวที่ไหนมาทำความรู้จักประวัติศาสตร์ของประเทศนั้นกันก่อนครับ เพื่อความอินในการท่องเที่ยว ซึ่งประวัติศาสตร์ของศรีลังกาถ้าหยิบประเด็นที่คนไทยน่าจะสนใจก็จะเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธซะส่วนใหญ่นะ


บล็อกนี้จะใช้ พ.ศ. กับ ค.ศ. ปนกันอาจงงๆ หน่อยนะครับ แค่รู้สึกว่าบางเรื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเล่าเป็นปี พ.ศ. จะง่ายกว่า บางเรื่องโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับชาติตะวันตกเล่าเป็นปี ค.ศ. จะง่ายกว่า


สถานที่แรกที่ไปคือไปกินครับ! แวะกินข้าวเที่ยงครับ อาหารศรีลังกาจะคล้ายๆ อาหารอินเดีย แต่ใช้กะทิแทนนมหรือโยเกิร์ต แกงจะมีความข้นไม่เท่า เดี๋ยวจบทริปจะรีวิวให้ดูครับ หลังรถบัสพาคณะทัวร์ไปทานข้าวเที่ยงแล้วก็มุ่งไปยังเมืองดัมบูลาที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งแรกของทริปนี้ ถ้ำดัมบูลา 126

 
 


 
วัดถ้ำดัมบูล่า
(Dambulla Cave Temple)

วัดถ้ำดัมบูลา เดิมเป็นหมู่ถ้ำที่พระสงฆ์เข้ามาใช้วิปัสสนา จนกระทั่งพระเจ้าวาลากัมบาได้สร้างศาสนสถานขึ้นภายในถ้ำ ในปี 89-77 BC และถูกบูรณะมาหลายยุคหลายสมัย ปัจจุบันกลายเป็นวัดถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในศรีลังกา มี 5 ถ้ำ มีรูปปั้นพระพุทธรูป 151 องค์ ภาพเขียนผนังและเพดานรวมพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1991
 


รถจะจอดด้านล่าง ต้องขึ้นเขาไปสักหน่อยนึง
ระหว่างมีของที่ระลึกขายเรื่อยๆ มาซื้อขากลับก็ได้ครับ
ร้านข้างล่างจะถูกกว่าร้านข้างบน ต่อราคาได้นะ
ธงแถบลายๆ นั่นคือธงฉัพพรรณรังสี เป็นธงศาสนาพุทธสากล

 


ทางเข้าศาสนสถานส่วนใหญ่ในศรีลังกาจะแบ่งประตู
ชายหญิงเข้าแยกกัน (แต่ก็เข้าไปที่เดียวกันนั่นแหละ)
ผ่านประตูเข้ามาแล้วก็เดินชมไปทีละถ้ำเลย

 


ถ้ำที่ 1 เทวราชา ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปรินิพพานยาว 14 เมตร เบื้องเท้ามีพระอานนท์ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ และพระวิษณุ


ถ้ำที่ 2 มหาราชา เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ถ้ำดัมบูลา ประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่ง 39 องค์ ยืน 16 องค์ นอน 1 องค์ เจดีย์ ภาพเขียนบนผนังและเพดานเป็นภาพพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และวิถีชีวิตในสมัยก่อน


 

 

 


โอ่งเก็บน้ำที่หยดจากเพดานถ้ำ
ถือเป็นน้ำทิพย์สำหรับใช้ในพิธีต่างๆ

 


ทางเดินกษัตริย์ในสมัยก่อน
อยู่ด้านหลังหมู่พระพุทธรูป

 


รูปปั้นกษัตริย์วาลากัมบา
ผู้สร้างถ้ำแห่งนี้

 


ถ้ำที่ 3 มหาอลุต ถ้ำที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปยืน 42 องค์ นั่ง 14 องค์ ถ้ำนี้สร้างขึ้นมาภายหลังโดยพระเจ้ากิติศรีราชสิงหะแห่งเมืองแคนดี้ ในปี 1747-1782 


 

ถ้ำที่ 4 ภัคชิมา เดิมทีเป็นถ้ำที่อยู่หลังสุดในบรรดา 3 ถ้ำที่สร้างตั้งแต่ยุคของพระเจ้าวาลากัมบา และเป็นถ้ำแรกที่สร้างขึ้นด้วย ประดิษฐานเจดีย์โสมาเทวี ซึ่งเชื่อว่าเก็บเครื่องประทินโฉมของพระนางโสมา มเหสีของพระเจ้าวาลากัมบาไว้ มีพระพุทธรูปนั่ง 19 องค์ ยืน 2 องค์


ถ้ำที่ 5 เทวานะอลุต สร้างขึ้นในปี 1891-1915 ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างชัดเจน ประดิษฐานพระไสยาสน์ พระพุทธรูปยืน 5 องค์ นั่ง 5 องค์


เดินลงมาจากถ้ำด้านล่างมีพิพิธภัณฑ์ของวัดถ้ำดัมบูลาอยู่ แต่ไม่มีเวลาเข้าแล้วครับ นั่งรถบัสรถขึ้นเหนือ จุดหมายต่อไปคือโรงละครและข้าวเย็น



ระหว่างทางมีช้างป่าเดินโชว์ตัว แสดงความอุดมสมบูรณ์ของป่าศรีลังกา คุณแอรรี่บอกตัวนี้ใส่ถ่านครับ พอนักท่องเที่ยวมารัฐบาลก็จะปล่อยออกมาเซอร์วิสให้ดู ขับมาสักพักเจออีกตัวด้วย บริการประทับใจยันช้าง 124
 


มาถึงเมืองฮาบารานาที่อยู่เหนือพระราชวังลอยฟ้าสิกิริยานิดหน่อย เข้าไปชมการแสดงพื้นเมืองใน Habarana Cultural Center โรงละครไม่ใหญ่ ที่นั่งประมาณฟาร์มจระเข้ คนดูรอบนี้ประมาณ 30 คน มีการแสดง 9 ชุด ตามลำดับในภาพเลยครับ บางคนแสดงหลายชุด เครื่องดนตรีเน้นเสียงกลอง เป็นการแสดงในโรงละครเล็กๆ ห่างไกลตัวเมืองน่ะ อย่าไปคาดหวังความเล่นใหญ่รัชดาลัย ให้อารมณ์คล้ายการแสดงพื้นเมืองที่บาหลีอยู่เหมือนกัน 



คืนแรกพักที่ Habarana Village by Cinnamon ถึงศรีลังกาจะเป็นประเทศที่ดูไม่ได้หรูหรา แต่โรงแรมแต่ละแห่งในทริปนี้คือของโคตรดี คงเป็นโรงแรมอันดับต้นๆ ของแต่ละเมืองที่ไปแล้วครับ ที่พักนี้อยู่ริมทะเลสาบฮาบารานา วิวทะเลสาบอย่างดีย์ ช่วงเช้ามาเดินชมสิงสาราสัตว์ได้ ห้องกว้าง wifi แรงและไม่ได้บล็อคเว็บแบบที่จีน ส่วนห้องน้ำวางใจได้ว่ามีสายฉีดตูดทุกหนแห่งครับ มื้อเย็นและมื้อเช้าเป็นบุฟเฟต์ของโรงแรมครับ 

 

ก่อนบินมาศรีลังกาลูกทัวร์เห็นว่าเราพักใกล้อนุราธปุระขนาดนี้ ก็อยากไปเที่ยวชมเมืองหลวงเก่าของศรีลังกานี้ด้วยนะครับ ทัวร์ก็จัดให้โดยเพิ่มโปรแกรมอนุราธปุระในช่วงเช้าของวันที่ 2 โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเพียงคนละ 1,700 บาทเท่านั้น และเช้าวันนี้เราจะไปเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา อนุราธปุระ! ที่สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว และมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธที่เผยแพร่มายังบ้านเราอย่างลึกซึ้ง ต้องขอบคุณเพื่อนร่วมทัวร์ที่เสนอและทัวร์ที่จัดให้ตามรีเควสต์ครับ 155
 
 
อนุราธปุระ
(Anuradhapura)


 

 
อนุราธปุระ อยู่ทางเหนือของโคลัมโบ 205 km ศรีลังกาเพิ่งมีอารยธรรมขึ้นใกล้เคียงกับสมัยพุทธกาลเล็กน้อย จากชาวอินเดียที่อพยพลงไป พระเจ้าปัณฑุกกาภยะแห่งราชวงศ์สิงหลได้สร้างอนุราธปุระเป็นเมืองหลวงแรกของศรีลังกา 437 ปีก่อนคริสตศักราช (พ.ศ.105) และดำรงความเป็นเมืองหลวงมากว่า 1,400 ปี จนกระทั่งถูกอินเดียใต้รุกราน และย้ายเมืองหลวงไปอยู่โปลอนนารุวา อนุราธปุระยังคงมีซากโบราณสถานมากมาย หลายแห่งก็ถูกฟื้นฟูและเต็มไปด้วยผู้คนโดยเฉพาะเจดีย์สำคัญของศาสนาพุทธและต้นศรีมหาโพธิ์ หากเทียบกับไทยเมืองนี้ก็คืออยุธยา เทียบกับญี่ปุ่นก็คือเกียวโต คอประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดครับ
 


จากที่จอดรถมองเห็นลิบๆ นั่นคือสุวรรณเจดีย์
มหาเจดีย์ที่ใหญ่โตที่สุดในอนุราธปุระปัจจุบัน
เดี๋ยวจะเดินไปเที่ยวต่อจากต้นศรีมหาโพธิ์ครับ

 


ซากโบราณสถานร้างแบบนี้กระจายอยู่ทั่วเมือง
เหมือนอุทยานประวัติศาสตร์ในบ้านเรา

 


ศรีลังกาเคร่งเรื่องศาสนา ศาสนสถานสำคัญๆ จะต้องสวมชุดขาว และไม่ใส่รองเท้าเข้าไปเหยียบ แต่ผ่อนปรนกว่าพม่าหน่อยนึงให้ใส่ถุงเท้าได้ หยิบถุงเท้าที่หนาที่สุดในบ้านมาเลยนะครับทริปนี้ เดินเท้าเปล่าไกลอยู่ ที่อนุราธปุระนี้ชุดสุภาพไม่ต้องถึงกับขาวทั้งตัวก็ได้ ใส่กางเกงสีอื่นได้ครับ ที่เคร่งที่สุดคือวัดพระเขี้ยวแก้ววันพรุ่งนี้ ขาวทั้งตัว only ไม่ประนีประนอม

ต้นพระศรีมหาโพธิ์ของอนุราธปุระ มีชื่อว่า
ต้นพระชัยศรีมหาโพธิ์ (Jaya Sri Maha Bodhi) เป็นต้นที่ภิกษุณีสังฆมิตตา ธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชได้นำกิ่งของต้นศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า มาถวายพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะตั้งแต่ปี พ.ศ.236 และทำนุบำรุงมากว่า 2,300 ปี 

ต้นศรีมหาโพธิ์ที่ชาวพุทธบูชาสูงสุดจะมีอยู่สามต้นคือ
  1. ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่พุทธคยา (อินเดีย) ต้นเดิมตายไปนานแล้วปัจจุบันเป็นต้นรุ่นที่ 4
  2. ต้นอานันทโพธิ์ ที่วัดเชตวัน (อินเดีย) เป็นอีกต้นที่ปรากฏในพุทธประวัติ ยังคงยืนต้นถึงปัจจุบัน
  3. ต้นพระชัยศรีมหาโพธิ์ ที่อนุราธปุระ (ศรีลังกา) คือต้นนี้ ถือเป็นต้นไม้ที่มนุษย์ปลูกและมีอายุยืนที่สุดในโลก

มีการนำหน่อต้นศรีมหาโพธิ์ไปปลูกในประเทศต่างๆ ทั่วโลก สำหรับต้นศรีมหาโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในไทยที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี มีอายุ 1,300 ปี ตั้งแต่สมัยทวารวดี โดยหลักฐานยุคหลังเชื่อว่านำหน่อมาจากต้นศรีมหาโพธิ์ของศรีลังกาต้นนี้เอง


เดินเข้าไปที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์จะมีแผงขายดอกไม้เรียงราย ซื้อเข้าไปวางบูชาได้ครับ จำราคาไม่ได้แต่รู้ว่าถูกมาก

รอบต้นโพธิ์มีกำแพงล้อมสามชั้น กำแพงรอบวัด กำแพงรอบกิ่งต้นโพธิ์ และกำแพงล้อมโคนต้นโพธิ์ เพื่อห้ามคนเข้าใกล้โคนต้น มีการตรวจอาวุธก่อนเข้าใกล้ต้นโพธิ์ และทางการสั่งห้ามการก่อสร้าง 500 เมตรรอบต้นนี้ ถือเป็นต้นไม้สำคัญที่ชาวศรีลังกาทำนุบำรุงดูแลเป็นอย่างดีมาตลอด 2,300 ปี แต่พออายุมากต้นก็เริ่มจะแกร็นแล้วนะครับ ต้นลูกต้นหลานที่แตกหน่อไว้รอบๆ จะสวยกว่า
 


ของไหว้ชาวศรีลังกาจะมีทั้งดอกไม้สารพัดชนิด ผลไม้ และข้าว
ไปตามวัดแค่เดินดูของไหว้ก็จะเพลิดเพลินและหิว 128

 


มีผู้คนสวดมนต์รอบต้นโพธิ์แต่ละกลุ่มบทไม่ซ้ำกันเลยนะครับ

 


พระประธานที่ประดิษฐานในวิหารหลวงองค์นี้มีอายุ 1,500 ปี ปางมารวิชัย สูง 3 เมตร สลักจากหินโดโลไมต์ก้อนเดียว



ออกจากต้นพระศรีมหาโพธิ์เดินไปสุวรรณเจดีย์จะผ่านโบราณสถานหลายแห่งรวมถึงโลหะปราสาท (Lowa Mahapaya) สร้างด้วยโลหะทองแดงผสม โดยพระเจ้าทุฏฐคามณี ในปี พ.ศ.382 มี 9 ชั้น 1,000 ห้อง บูรณะในสมัยพระเจ้าปรกรมพาหุที่ 1 ประกอบด้วยเสา 1,600 ต้น ปัจจุบันพังหมดเหลือแต่เสา



เดินมา 1 กม. จะถึง เจดีย์รุวันเวลิ (Ruwanwelisaya Stupa) หรือคนไทยนิยมเรียกว่าสุวรรณเจดีย์ เป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในอนุราธปุระปัจจุบัน มีความสูง 103 เมตร (พระปฐมเจดีย์สูง 120 เมตร) สร้างโดยพระเจ้าทุฏฐคามณีในปี พ.ศ.403 เพื่อเป็นอนุสรณ์การชนช้างชนะกษัตริย์ทมิฬ ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ กำแพงรอบเจดีย์สลักเป็นรูปสัตว์หลายชิด ชั้นในสุดคือช้าง เป็นอนุสรณ์ให้ช้างที่ลากหินมาใช้ก่อสร้างเจดีย์ 

 


รูปเคารพพระเจ้าทุฏฐคามณี
ด้านหน้าทางเข้าเจดีย์

 


พระไสยาสน์ในวิหารด้านหลังเจดีย์
เป็นห้องแอร์ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนสาหัส
นับว่าช่วยเยียวยาร่างกายและจิตใจ
133

รอบเจดีย์ประดิษฐานรูปปั้นพระเจ้าทุฏฐคามณีผู้สร้างเจดีย์ และมารดา


รอบเจดีย์ไม่มีหลังคาหลบแดด แต่คนก็ยังเข้าไปไหว้กันเนืองแน่น บนปล้องไฉนจะเห็นเขากำลังบูรณะเจดีย์อยู่นะครับ

 


รถไปรอที่ทางออก ระหว่างเดินไปที่รถมีขบวนอะไรสักอย่าง

 


ที่มองเห็นจากที่จอดรถนั่นคือ
สถูปเชตวนาราม (Jetavanaramaya Stupa)
เป็นสถูปที่สูงที่สุดในโลกยุคโบราณ ความสูงเดิม 122 เมตร
แต่ถูกทำลาย และบูรณะในสมัยพระเจ้าปรากรมพาหุ
ความสูงเหลือเพียง 71 เมตร

 


ขึ้นรถแล้วนั่งมาอีก 5 นาทีก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายในเมืองอนุราธปุระ คือ เจดีย์ถูปาราม (Thuparamaya) เป็นเจดีย์ทางพุทธศาสนาแห่งแรกที่สร้างขึ้นในศรีลังกา โดยพระเจ้าติสสะราวปี พ.ศ.300 เพื่อประดิษฐานกระดูกพระรากขวัญ (ไหปลาร้า) เบื้องขวาของพระพุทธเจ้า รอบเจดีย์มีเสาค้ำเรียงราย เป็นอาคารรอบเจดีย์ที่ผุพังไปหมดแล้ว รอบเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปปางสมาธิ 4 ทิศ


รอบเจดีย์ประธานมีวิหารและเจดีย์บริวารกระจายตัวอยู่ 
 


แวะทานมื้อเที่ยงแล้วตีรถออกจากอนุราธปุระยาวๆ ประมาณ 1 ชม.ครึ่ง จะมาถึงหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที๋โด่งดังที่สุดของศรีลังกาอย่างพระราชวังลอยฟ้าสิกิริยาครับ 195
 
 

พระราชวังลอยฟ้า
สิกิริยา
(Sigiriya)

 

 
สิกิริยา เป็นพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาหิน ใกล้เมืองโปลอนนารุวะ ทางตอนใต้ของอนุราธปุระ สร้างโดยพระเจ้ากัสสปะที่ 1 กษัตริย์ผู้สังหารบิดาด้วยการขังไว้ในถ้ำแล้วปิดปากถ้ำ เพราะกลัวพ่อยกบัลลังก์ให้พระโมคคัลลานะน้องชายต่างมารดา หลังครองราชย์ได้ 7 ปี ก็ย้ายพระราชวังมาอยู่ที่สิกิริยาในปี พ.ศ.1017 โดยแกะสลักภูเขาหินที่เรียกว่าสีหคีรี (Lion Rock) สูง 200 เมตร โดยได้แรงบันดาลใจจากสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาที่ประทับของท้าวกุเวร และสร้างป้อมค่ายอย่างแน่นหนา ป้องกันการบุกของน้องชาย ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ก็ตียากจริง เดี๋ยวจะพาขึ้นไปดูนะครับ แต่เมื่อพระโมคคัลลานะบุกเข้ามา พระเจ้ากัสสปะก็ฆ่าตัวตายโดยฟันหัวตัวเองขาด บางที่ก็บอกว่าทรงช้างไปตกหลุมแล้วเผลอฟันคอตัวเอง ช่างเป็นการตายที่อเนจอนาถตามสไตล์ผู้ร้ายในประวัติศาสตร์ พระโมคคัลลานะได้ขึ้นครองราชก็กลับมาใช้อนุราธปุระเป็นเมืองหลวงดังเดิม

จากจุดจอดรถเดินไปที่พระราชวังผ่านคูเมือง กำแพงเมือง สระน้ำ สวนหย่อม และป้อมต่างๆ เป็นระยะทาง 1 กม. สมัยนั้นเมื่องมองลงมาจากพระราชวังด้านบนจะเห็นสวนหย่อมสวยงาม แต่ตอนนี้เป็นพื้นที่รกร้างแห้งแล้งไปตามกาลเวลา


สำหรับคณะทัวร์ศรีลังกาที่ส่วนใหญ่ก็เป็นสายบุญ นี่คือจุดท่องเที่ยวที่โหดที่สุดในทริปนี้แล้วครับ คุณแอรรี่เตือนแล้วเตือนอีกว่าไม่ไหวไม่ต้องขึ้น แต่ไม่มีใครยอมรอด้านล่างนะ มาถึงที่แล้วต้องไป ทางขึ้นพระราชวังมีทั้งบันไดหินตั้งแต่ยุคโบราณและบันไดเหล็กที่เสริมมาทีหลัง บนหินจะมีการเซาะร่องที่คนโบราณใช้ปีนขึ้นไปด้วย แต่มันโหดเกินสำหรับนักท่องเที่ยวครับ 


มาถึงครึ่งทางจะเห็นเท้าสิงห์ ตรงนี้มีลานให้พักผ่อน มีแทงค์น้ำให้ดื่มกิน ใครหายเหนื่อยแล้วไปต่อครับ ต่อจากนี้เป็นบันไดเหล็กล้วนๆ ขึ้นไม่ยากแล้ว




และนี่คือด้านบนของพระราชวัง มีความมาชูปิกชู ทีแรกมองจากด้านล่างแล้วท้อกับความสูงของหิน แต่เอาจริงขึ้นมาง่ายกว่าที่คิดนะครับ 


สระน้ำเพื่อรองน้ำฝนไว้ใช้ในพระราชวัง และเป็นที่เล่นน้ำของนางสนม

 


ยอดบนสุดของสีหคีรี มองเห็นทิวทัศน์โดยรอบ
แม้ยุคปัจจุบันก็ยังคงเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์มาก
ทางทิศเหนือจะมองเห็นภูเขาหินอีกก้อนคือพิดูรังกาลา
ที่เคยใช้เป็นศาสนสถาน มีการสร้างพระนอนและเจดีย์ไว้มากมาย

 


ฝูงลิงสัญชาติศรีลังกา ไม่วุ่นวายกับนักท่องเที่ยวเหมือนลิงลพบุรีครับ

 


มองย้อนลงไปทางที่เดินมาด้านล่าง ไกล 1 กม. ของแทร่
ว่ากันว่าสมัยก่อนจะเห็นเป็นวิวสวนหย่อมที่งดงามเหมือนบาบิโลน

 


กำแพงแก้วสมัยก่อนจะขัดผิวจนเงาเหมือนกระจก
มีภาพเขียนมือบอนอยู่ แต่ก็เป็นภาพเขียนที่คนมือบอน
ยุคหลายร้อยปีก่อนเขียนไว้นะครับ มันเลยถูกอนุรักษ์ไว้
เป็นศิลปะยุคโบราณเช่นกัน

 


ตรงทางลงแถวกำแพงแก้วจะมีบันไดวนให้ขึ้นไปชมภาพจิตรกรรมฝาผนังอายุ 1,500 ปี เป็นภาพเฟรสโกที่สียังสวยทนทาน เขียนรูปนางอัปสรเปลือยอก 21 ภาพ ภาพจะรวมกันอยู่ในถ้ำๆ เดียว ตรงนี้มียามเฝ้า ห้ามถ่ายภาพครับ
 


ห้องประชุมที่ออกแบบให้ได้ยินเสียงรอบทิศ
สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระเจ้ากัสสปะ

 


ตามทางขึ้นพระราชวังมีหมู่ถ้ำและร่องรอยที่แสดงให้เห็นว่าเคย
เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมมาแต่ยุคโบราณก่อนสร้างเป็นพระราชวัง

 


จากสิกิริยานั่งรถยาวๆ ลงมาทางใต้ 3 ชม. มาถึงเมืองแคนดี้ นี่เป็นเมืองหลวงของชาวสิงหลถัดจากอนุราธปุระและโปลอนนารุวะ บรรยากาศจะไม่โบราณเป็นพันปีแบบที่เที่ยวสองวันแรกแล้วครับ และยังเป็นเมืองที่มีผู้คนหนาแน่นรองจากโคลัมโบด้วย คืนที่สองพักที่โรงแรม Kandy Myst by Cinnamon เป็นอีกโรงแรมหรูของเมืองแคนดี้ กินบุฟเฟต์ที่ห้องอาหารโรงแรมเป็นมื้อเย็นและเช้าของวันถัดมาครับ

 


วันที่ 3 ของการเดินทาง (10 พ.ค. 68) เป็นวันที่ต้องตื่นเช้าที่สุดเพื่อไปยังวัดพระเขี้ยวแก้วที่ต้องจองรอบเข้าหอพระเขี้ยวแก้ว ทัวร์ได้รอบ 6 โมงเช้า นับว่าได้เวลาดีมากเลยนะครับ เหลือเวลาเที่ยวได้ทั้งวัน เพียงแต่ต้องออกจากที่พักไวหน่อย ตื่นตีห้าแล้วแต่งชุดขาวทั้งตัว ขึ้นรถบัสไปวัด
 
 

วัดพระเขี้ยวแก้ว
(Temple of the Sacred Tooth Relic)

 

วัดศรีทัลฒามัลลิกาววิหาร หรือวัดพระเขี้ยวแก้ว ตั้งอยู่ริมทะเลสาบแคนดี้ เป็นที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วซี่ขวาล่างของพระพุทธเจ้า ฟันเขี้ยวคนเรามี 4 ซี่ใช่ไหมครับ พระเขี้ยวแก้วของพระพุทธจ้าหายสาบสูญไปสองซี่ อีกซี่หนึ่งถูกย้ายไปที่จีน (เป็นองค์เดียวกับที่ไทยยืมมาโชว์ที่สนามหลวงเมื่อต้นปี) อีกซี่หนึ่งอยู่ที่ศรีลังกา และอยู่ที่นี่มา 1,700 ปี จึงถือเป็นสิ่งสักการะบูชาสูงสุดของชาวศรีลังกา เดิมพระเขี้ยวแก้วอยู่ที่อนุราธปุระ และย้ายตามเมืองหลวงของศรีลังกามาอยู่ที่โปลอนนารุวา และแคนดี้ตามลำดับ โดยวัดแห่งนี้ถูกสร้างที่แคนดี้เพื่อประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2138


มีประวัติศาสตร์ช่วงที่อินเดียและอังกฤษเข้ายึดศรีลังกาต่างก็พยายามทำลายพระเขี้ยวแก้วที่ถือเป็นหัวใจของชาวสิงหล แต่ก็ส่งของปลอมไปทำลายบ้าง นำหลบหนีออกจากเมืองช่วงโกลาหลบ้าง ทำให้เป็นพระเขี้ยวแก้วหนึ่งในสองซี่ที่เหลือรอดมาถึงยุคปัจจุบัน 

นี่คือบรรยากาศหน้าหอพระเขี้ยวแก้วที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คนตั้งแต่รุ่งสาง พระเขี้ยวแก้วบรรจุอยู่ในกล่องงาฝังอัญมณี หุ้มด้วยเจดีย์แก้วและเจดีย์ทองอีก 7 ชั้น อยู่ในห้องติดกระจกกันกระสุน ล็อคด้วยกุญแจที่มีกรรมการสามคนถือกุญแจคนละดอก ต้องมาพร้อมกันถึงจะเปิดได้ (นี่พระเขี้ยวแก้วหรือระเบิดนิวเคลียร์?) ปกติจะเปิดให้นมัสการวันละ 3 เวลา ช่วงเช้า กลางวัน และค่ำ

ด้านในหอพระเขี้ยวแก้วห้ามถ่ายภาพนะครับ 

 

ช่วงเดือนสิงหาคมจะมีพิธีสมโภชพระเขี้ยวแก้วแห่บนหลังช้าง 10 วัน มีผู้คนเข้าร่วมไปแออัดบนถนนกว่าแสนคน เป็นเทศกาลท่องเที่ยวที่ไฮซีซั่นที่สุดของศรีลังกา ช้างที่ใช้อัญเชิญจะต้องมีงายาวสวยงาม ศรีลังกาเคยยืมช้างไทยไป 3 ตัว ไม่กี่ปีก่อนมีดราม่าเรื่องสภาพความเป็นอยู่ช้างอยู่แป๊บนึง แต่ก็ไม่ได้ทวงช้างคืนนะครับ 
 

ช้างอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วที่โด่งดังที่สุดคือราชา (Raja the Tusker) เกิดที่ศรีลังกาปี พ.ศ.2456 และตายปี พ.ศ.2531 ด้วยความที่มีลักษณะดีและเชื่อฟัง เลยได้รับเลือกให้เป็นตัวหลักในการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วอย่างยาวนาน ตอนที่ราชาตายทางการจัดวันหยุดเพื่อไว้อาลัย และพิมพ์รูปราชาบนธนบัตรด้วย

ทางวัดได้สตัฟร่างของราชาไว้และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ ด้านหลังวัดพระเขี้ยวแก้ว เป็นอีกที่ที่น่าแวะเดินไปครับ

 
 
 


อนุสาวรีย์อนาคาริกธรรมปาละ (Anagarika Dharmapala)
เป็นนักเขียนผู้เรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
และฟื้นฟูศาสนาในศรีลังกา

 


อนุสาวรีย์เจ้าหญิงเหมาลา
และเจ้าชายทันตะจากแคว้นกลิงคะในอินเดีย
ผู้นำพระเขี้ยวแก้วจากอินเดียมาประดิษฐานที่ศรีลังกา
เพื่อหนีการรุกรานของพวกฮินดู

 


Queens Hotel ด้านหน้าวัดพระเขี้ยวแก้ว เป็นโรงแรมเก่าแก่สร้างในศตวรรษที่ 19 ยุคที่ศรีลังกาเป็นอาณานิคมของอังกฤษ



จบกิจจากวัดพระเขี้ยวแก้ว 7 โมงกว่าๆ กลับโรงแรม ทานข้าวเช้า แล้วเปลี่ยนชุดเตรียมเที่ยววันที่ 3 ครับ เช้าวันนี้หลักๆ จะเป็นช่วงขายของ พาไปซื้อชาและสมุนไพร


ชาซีลอน เป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของศรีลังกา มีการทำธุรกิจชาช่วงที่อังกฤษยึดครองศรีลังกา ชาวอังกฤษที่ชอบชาเป็นชีวิตจิตใจก็เอาชาเข้ามาให้แรงงานท้องถิ่นปลูกจนกลายเป็นสินค้าส่งออกหลักของประเทศ ผู้นำชาเข้ามาปลูกคนแรกคือเจมส์ เทย์เลอร์ ในปี 1867 ได้รับคำยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งชาซีลอน 


พิพิธภัณฑ์ชาซีลอน (Ceylon Tea Museum) อยู่ที่เมืองแคนดี้ อยู่ในเทือกเขาหันตานะที่เป็นแหล่งผลิตชาแห่งแรกๆ ตัวโรงงานก่อสร้างในปี 1925 และเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1998 ปัจจุบันบริหารโดยสมาคมผู้ปลูกชาในศรีลังกา มีเจ้าหน้าที่พาชมขั้นตอนการผลิตชาจนถึงชงให้ชิม เขาบรรยายว่าใบชาจะเด็ดเฉพาะ 3 ใบที่อ่อนที่สุด ด้วยมือของผู้หญิงที่มีความละมุนละไม ทำให้รักษาคุณภาพได้เป็นเยี่ยม ว่าไปนั่น


เกรดสูงสุดกระป๋องละหมื่นรูปีศรีลังกาหรือประมาณพันบาท ชิมแล้วกลิ่นชาจางมาก คนไทยส่วนใหญ่ชอบรสชาติชาจีนมากกว่าครับ 



ออกจากเมืองแคนดี้มาทางตะวันตก สวนสมุนไพรซูซานฐา (Susantha Spice & Herbal Garden) ตั้งอยู่ในเมืองมาวาเนลลา เป็นสวนปลูกสมุนไพรสำหรับให้นักท่องเที่ยวเข้าชมมา 30 ปี ขายผลิตภัณฑ์สมุนไพร สาธิตการใช้สมุนไพรและการนวดแบบศรีลังกา ผลิตภัณฑ์แพ็คเกจอย่างเชยและราคาแรงเว่อร์ครับ สนใจน้ำมันแก้เมื่อยอยู่ แต่เห็นราคาแล้วรีบเด้งออก (ขวดละ 3,000 บาท) พวกชาชงก็ไม่น่าคุณภาพดีกว่าที่ซื้อตามชายแดน ชาสมุนไพรที่เป็นเวลคัมดริ้งค์นี่ละครับ อร่อยที่สุดแล้ว ...ซึ่งก็แพงอีก

 

จบช้อปปิ้งแบบไม่เสียเงินแล้วก็ไปกินมื้อเที่ยง แวะเมืองโคลัมโบเที่ยววัดกัลยาณีก่อนดิ่งไปเมืองกอลล์ทางใต้ต่อครับ
 
 


 

วัดกัลยาณี
(Kelaniya Temple)

เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 2,200 ปี แต่ถูกโปรตุเกสเผาทำลายในปี พ.ศ.2048 ก่อนได้รับการบูรณะราวปี พ.ศ.2300 และถูกปรับปรุงจนสวยงามด้วยทรัพย์ของ Helena Wijewardena เศรษฐีนีแห่งกรุงโคลัมโบในปี พ.ศ.2431 เพราะฉะนั้นสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ที่เห็นในวัดนี้เพิ่งมีอายุ 100 กว่าปีเท่านั้น ปูนปั้นและจิตกรรมฝาผนังของวัดนี้จัดว่างดงามที่สุดในทริปนี้แล้วครับ 


พระปางไสยาสน์ในวิหาร มีม่านผ้าโปร่งกั้น หากเดินจากพระเศียรลงไปที่เท้าแล้วมองหน้าพระนอนจะดูเหมือนพระค่อยๆ ลืมตาขึ้น


จิตกรรมฝาผนังในวัดนี้เป็นผลงานของ Solius Mendis และภาพที่โด่งดังที่สุดของวัดกัลยาณีคือภาพนี้ครับ เจ้าหญิงเหมาลา พระราชธิดาของกษัตริย์แห่งแคว้นกลิงคะในอินเดียตะวันออกที่ซ่อนพระเขี้ยวแก้วไว้ในมวยผม แล้วหนีออกจากเมืองพร้อมเจ้าชายทันตะ ขณะพวกฮินดูเข้ารุกราน ก่อนนำพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานที่ศรีลังกา

 


พระประธานของวัดนี้ เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิทำจากหิน
ฝีมือช่างพม่า

 


พระบรมสารีริกธาตุของวัดนี้จะมีพิธีแห่ในคืน
ก่อนคืนพระจันทร์เต็มดวงในเดือนมกราคมของทุกปี

 


ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ 500 รูป
เสด็จมาที่วัดนี้ตามคำเชิญของพญานาคผู้ครองแคว้นกัลยาณี
พระแท่นที่พระพุทธเจ้าประทับถูกสร้างเจดีย์ครอบ

 


ต้นโพธิ์ข้างวิหารเป็น 1 ใน 13 ต้นที่แยกหน่อมาจาก
พระศรีมหาโพธิ์ที่อนุราธปุระ สามารถเข้าไปรดน้ำบูชาได้

 


ออกจากเมืองโคลัมโบ (เดี๋ยวพรุ่งนี้กลับมาใหม่) ดิ่งลงเมืองกอลล์ทางใต้สุดของศรีลังกา เป็นเมืองพักร้อนยอดนิยมที่ต่างชาติมาเที่ยวกันมาก ใช้เวลาเดินทาง 2 ชม. ก็เห็นทะเล ประเทศนี้มีทะเลล้อมทุกด้าน แต่ทะเลยอดนิยมจริงๆ ก็คือที่เมืองกอลล์ เมืองนี้มีทั้งชายหาดที่สวยงามและประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมที่ชาติตะวันตกมาสร้างอาคารต่างๆ ไว้มากมาย ในขณะที่เมืองชายทะเลอื่นๆ แทบจะไม่มีอะไรจริงๆ นะ


คืนสุดท้ายพักที่นี่ครับ Hikka Tranz by Cinnamon โรงแรมติดทะเล ห้องกว้าง มีระเบียงมองออกไปชายหาด แม้ลมทะเลจะทำให้ห้องชื้นไปหน่อย แต่จัดว่าโรงแรมนี้โคตรดีอีกแล้วครับท่าน ลองไปเช็คราคาห้องในกูเกิ้ลแล้วก็แพงกระฉูดตามคาด แพงกว่าสองโรงแรมที่ผ่านมาอีก

 


วันที่ 4 เป็นวันสุดท้ายของการท่องเที่ยว ช่วงเช้าจะเที่ยวเมืองกอลล์ และช่วงบ่ายเที่ยวโคลัมโบ แถมเป็นวันที่โปรแกรมอัดแน่นและมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย ขอยกยอดไปเอนทรี่หน้านะครับ ถือว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของชาวสิงหลที่หนาแน่นอยู่ในเมืองอนุราธปุระ-แคนดี้ จบลงในบล็อกนี้ ส่วนเรื่องของประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมและศรีลังกายุคใหม่ที่อัดแน่นอยู่ในเมืองกอลล์-โคลัมโบ จะมาว่ากันต่อครั้งหน้าครับ

23


 




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2568
20 comments
Last Update : 25 สิงหาคม 2568 23:28:57 น.
Counter : 281 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณkae+aoe, คุณจันทราน็อคเทิร์น, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณกะว่าก๋า, คุณmultiple, คุณThe Kop Civil, คุณอาจารย์สุวิมล, คุณ**mp5**, คุณnewyorknurse, คุณtuk-tuk@korat, คุณtanjira, คุณอุ้มสี, คุณtoor36

 

วัดเยอะเลยนะคะ
พระราชวังสิกิริยา เห็นแล้วเสียววิงเวียนดีเลยค่ะ

 

โดย: kae+aoe 26 สิงหาคม 2568 8:37:26 น.  

 

ไปกับทัวร์ สะดวกดีครับ
ยิ่งมีแค่ 13 คนเที่ยวสบายเลย
ไกด์ดูแลได้ทั่วถึงนะครับ

พี่ก๋ายังไม่เคย
แต่ก็อยากไปครับ
ชอบพุทธศิลป์ของลังกา
อยากไปเห็นของจริงครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 26 สิงหาคม 2568 22:24:26 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับน้องชีริว

 

โดย: กะว่าก๋า 27 สิงหาคม 2568 4:29:07 น.  

 

ป้าดด โผล่มาเจอ บล็อกที่ยาวที่สุดในปีนี้ อาจารย์เต๊ะ สตันต์ๆๆๆๆไป30 วิ 555
แล้วมันจะต้องเม้นท์กันกี่วันละจ๊ะ พ่อคู้ณ พ่อซีริวววว 5555
แต่ไม่เป็นไร ค่อยๆเม้นท์ไปเดี๋ยวก็ต้องเสร็จเข้าซักวัน แง๊ๆๆๆๆ 5555

ศรีลังกา แค่ฟังชื่อ ก็รู้ว่าเกี่ยวกับศาสนา วัดต้องแยะแน่นอน
อะจ๊ากกกก แง๊ๆๆๆ ร้องไห้ต่ออีกรอบ 555

อ่านต่อ แล้วหูยพี่เล่นเที่ยวซะเกือบทั่วประเทศเลยด้วยอ่าาา
ยังไม่ทันไรเจอ ประวัติ 500ปี ก่อนBC อี้กกก เสียงสูงงง5555

พยายามอ่านจับใจความได้ว่า พระเจ้าอโศก นี่แหละคนสำคัญ กับโคลัมโบ เมืองหลวงแหงๆ

จริงๆศรีลังกานี่ ญาติไปเที่ยวหลายหน ชวนอาจารย์เต๊ะเท่าไหร่
อาจารย์เต๊ะก็ไม่ไป แฮร่ แต่ตอนหลัง กลับชอบดูหนังแขกมันตลกดี
กับดูรีวิวกินอาหารข้างทาง ที่เอามือขยำๆเละๆ ซีริวก็ไม่ยอมถ่ายมาให้ดูซะอีก เสียใจมาก แง๊ๆๆๆ

พักก่อน เดี๋ยวมาใหม่ เค้าไม่รีบนะตะเอง 5555

 

โดย: multiple 27 สิงหาคม 2568 8:29:51 น.  

 

ุตามคุณชีริวมาเที่ยวพร้อมกับเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศรีลังกาไปด้วยเลยครับ
วัดสวย ๆ ทุกวัดเลยนะครับ อย่างวัดถ้ำดัมบูล่าพระนอนก็เด่นเป็นสง่าเลยครับ สุวรรณเจีดีย์ก็สวยครับ
พระราชวังสิกิริยา ทางขึ้นแม้จะโหด แต่พอถึงยอดผมว่าก็สวยจนหายเหนื่อยนะ
โรงแรมคืนสุดท้่าย เดินออกมาก็เจอทะเล วิวดีอีกแล้วครับ
ผมว่าพอไปกับทัวร์ไม่ว่าโรงแรม หรืออาหารน่าจะดีหมดนะ

 

โดย: The Kop Civil 27 สิงหาคม 2568 13:41:14 น.  

 

สวัสดี จ้ะ น้องชีริว

มาแล้ว บล็อกท่องเที่ยวที่ให้ความรู้ ความบันเทิงในการตาม
เที่ยว ใครที่ชอบไปเที่ยว อ่านแล้วจะได้ประโยชน์ เพราะว่า ได้
รายละเอียดเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานที่ ประวัติความเป็นมาพร้อม
ภาพประกอบ เป็นแนวทางสำหรับคนที่จะตามรอยไปเที่ยว เนาะ
ประเทศศรีลังกา หลายคนบอกว่า เป็นประเทศที่น่าเที่ยวอีก
ประเทศหนึ่ง โดยเฉพาะชาวพุทธน่าจะไปเที่ยวและชมสถานที่ต่าง ๆ
วัดวาอาราม และความเคร่งครัดเรื่องศาสนาพุทธ ครูยังไม่เคยไปเลย
ว่าจะไปสักครั้งหนึ่งตามรอยเธอ นะ ยังดีใจที่มีโอกาสไปสังเวยชนีย-
สถานมาแล้วครั้งหนึ่งที่อินเดีย จ้ะ
ทริปศรีลังกา 5 วัน 3 คืน 34,900 บาท กินดี อยู่ดี แถม
เป็นทริปคนน้อย หัวหน้าทัวร์ก็เอาใจใส่อย่างดี เรียกว่า คืนกำไรให้
กับชีวิตของเราอย่างสมบูรณ์ ก่อนเที่ยว ก็ให้ความรู้ความเป็นมาของ
ประเทศศรีลังกา ที่เที่ยวแห่งแรก คือ
เมือง ดัมบูลา เที่ยวถ้ำดัมบูลา ได้รู้ประวัติ มีตั้ง 5 ถ้ำ แต่
ละถ้ำดูจากภาพ ก็งดงาม ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูป
ธงฉัพพรรณรังสี เพิ่งรู้ว่าเป็นธงศาสนาพุทธ สากล
สงสัย คำว่า ส่งช้างใส่ถ่านมาต้อนรับ หมายถึงไม่ใช่ช้างจริง
เหรอ เหมือนช้างจริง ๆ
ประตูเข้าชมนั้น แบ่งประตูทางเข้า ช. ญ. คนละประตู เรื่อง
นี้ เคยประสบมาแล้วตอนจะออกจากประเทศอินเดีย ต้องเข้าแถว
ญ. ช. แยกกัน แปลกดี
ดูการแสดงพื้นเมือง ตั้ง 9 ชุด คุ้มเลยเนาะ
ดูจากภาพโรงแรม วิวสวย สะอาด บรรยากาศดีนะ
เที่ยว เมือง อนุราธปุระ เมืองหลวงเก่าแก่ของ ศรีลังกา
เปรียบเหมือน เมืองอยุธยาของเรา
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ อายุมาก ถึง 2300 ปี รู้ประวัติความเป็นมา
ของต้นโพธิ์ต้นนี้ ได้มาจากอินเดีย โดยนำหน่อจากต้นโพธิ์ ที่อินเดีย
มาปลูกที่ศรีล้งกา
พระราชวังลอยฟ้า สิกิริยา สร้างบนภูเขาหิน ดูจากรูปปรัก
หักพัง การขึ้นไปชม คล้ายกับมาชูปิดชู แต่ว่า มีบันไดขึ้น เป็น
ช่วง ๆ น่าจะเดินง่ายกว่า มาชูปิชู ของเปรู นะ (เคยไปมา ปีนได้
แค่ ครึ่งทาง ห้าห้าห้า)
เจดีย์รุวัลลิเวลิ เจดีย์ ถูปาราม งดงาม
วัดพระเขี้ยวแก้ว ได้ทราบประวัติ เอ! ใช่พระเขี้ยวแก้วที่เคย
อัญเชิญมาให้คนไทยบูชาไหม จำไม่ค่อยได้
พิพิธภัณฑ์ ชาซีลอน ชามีชื่อของ ศรีลังกา สวนสมุนไพร
ชีริว ไม่ยอมซื้อยานวด เพราะแพง อิอิ ตั้ง3000 เป็นครูก็ไม่ซื้อ อิอิ
วัดกัลยาณี วัดนี้ ถูกโปตเกสเผาทำลาย ต่อมาผู้มีจิตศรัทธา
ได้ทำการซ่อมแซมใหม่ สวยงามและก็ถือว่า ไม่ใช่ของเก่าแก่ จาก
รูปสวยงาม ดี

ยังไม่จบทริป เหลือเที่ยวอีก 1 วัน จะรออ่าน นะ
โหวดหมวด ท่องเที่ยว

 

โดย: อาจารย์สุวิมล 27 สิงหาคม 2568 18:54:22 น.  

 

มาดูถ้ำต่อจร้าาาา ถ้ำกว้างแบบน้ัค่อยกล้าเข้าหน่อย ไม่เหมือนหมูป่าของไทย แต่พระพุทธรูปนี่ ถึงจะปากแดง แต่ออกแนวน่ากลัว
ดูลวดลาย ภาพเขียน ตามผนังถ้ำโทนสีแดง เหลือง Detailแยะ สวยงามเลยเชียว บรรยากาศในถ้ำประกอบกับแสงไฟนี่ น่ากลัวใช้ได้เลยนะ ถ้าติดอยู่ในถ้ำคนเดียว แฮร่ 555

แล้วบอกช้างป่าใส่ถ่าน ลองให้คนบอกเดินไปเตะตรูดมันดูซี้ มันจะกระทืบเล่นๆมั้ย 555

แล้วก้ทัวร์นี้ดีจัง อยากไปเที่ยวไหนก็บอกได้เลยแฮะ ได้นอน รร มีสายชำระก้นด้วย ไม่ต้องพกไปเอง อิอิ

อ้อเที่ยวประเทศนี้ต้องถอดรองเท้าเดินด้วย ลืมถุงเท้าละตรีนดดำปี๊แหงเลย
แล้วเที่ยวต้องหลายที่ ไม่ถ่ายรูป ข้าวปลาอาหาร ว่าขยำมือกินอะไรมาบ้างเลยอ่า วุ้ย งอลแล้ว อยากกินอาหารแขกเละๆ แกงกะหรี่ไรเงี้ย 555






 

โดย: multiple 28 สิงหาคม 2568 5:51:51 น.  

 

มาอ่านต่ออี้กกก อิอิ พระราชวังลอยฟ้า
สิกิริยา ประวัติที่มาสยองมากกก ทางขึ้นไปสยองกว่า 555
เกิดหน้ามืด ระหว่างทาง ทริปแบบนี้น่าจะต้องมีทำประกันอุบัติเหตุ รักษาพยาบาลขั้นสูงสุดเลยนะครับนี่

แล้วก็ภาพเด็ด นางอัปสรเปลือยอก ไม่ถ่ายมา มียามเฝ้าก้เหอะ
ซีริวก็ไม่รู้จักเตรียมถุงขนมไปบ้าง ใช้ได้ทุกประเทศนะจ๊ะ รู้ยัง อิอิ

วัดพระเขี้ยวแก้ว นี่ อิจฉาซีริวมากได้ไปชมใกล้ชิด
ฟังประวัติน่าทึ่งมาก มีการกลั่นแกล้ง ทำลายล้างกันด้วย
ถึงต้องป้องกัน ระดับสูงสุด อาจารย์เต๊ะ ได้ไปไหว้ที่สนามหลวงต้นปีครับ ศรีลังกาคงไม่ได้ไปแน่นอน....



 

โดย: multiple 28 สิงหาคม 2568 9:04:12 น.  

 

เส้นหางดงพี่ก๋าไม่ค่อยได้ไป
แต่ที่เที่ยวก็เยอะนะครับ
เลยไปแถวสะเมิงก็ได้
หรือจะไปทางสันป่าตอง ไปจอมทอง ไปอินทนนท์ได้

วันที่ฝนตก น้ำก็รอระบายหลายพื้นที่
สองวันก่อนพี่ก๋าเข้าไปในเมือง
ถนนบางเส้นก็ปิดเลยครับ
รถวิ่งผ่านไปไม่ได้เพราะน้ำท่วมครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 28 สิงหาคม 2568 21:37:47 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับน้องชีริว

 

โดย: กะว่าก๋า 29 สิงหาคม 2568 5:41:10 น.  

 

จริงๆอาจารย์เต๊ะ ยังเม้นทืไม่เสร็จนะครับเนี่ย แต่ลืมบอก อิอิ
ไม่เป็นไร ยกประโยชน์ให้จำเลยไปก็แล้วกัน เย้ย 555

 

โดย: multiple 29 สิงหาคม 2568 8:55:10 น.  

 

น่าไปมาก ขอบคุณที่พาไปค่ะ

 

โดย: tuk-tuk@korat 29 สิงหาคม 2568 12:29:15 น.  

 

สวัสดีค่ะชีริว

ทริปนี้คนไม่เยอะ 13 คน กำลังดีค่ะ

ชีริวถ่ายรูปในถ้ำได้สวยมากค่ะ
พี่ชอบรูปของถ้ำที่3มากเลยค่ะ สวย


 

โดย: tanjira 29 สิงหาคม 2568 12:51:58 น.  

 

มีช่วงนึงพี่ก๋าใช้เลนส์เสริมของมือถือ
ก็พอถ่ายมาโครได้นะครับ
แต่ยังไงก็สู้เลนส์มาโครของกล้องใหญ่ไม่ได้

พี่ก๋าเชียร์วัดต้นเกว๋นครับ
เป็นวัดที่สวยจริงๆ

แต่วัดวัดพระธาตุดอยคำ
เน้นสายมูฯครับ หลังๆเค้าดังเรื่องการไหว้ขอนู่นนั่นนี่ 555

 

โดย: กะว่าก๋า 29 สิงหาคม 2568 22:58:48 น.  

 

อรุณสวัสดิ์ครับน้องชีริว

 

โดย: กะว่าก๋า 30 สิงหาคม 2568 5:20:46 น.  

 

แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ

 

โดย: **mp5** 31 สิงหาคม 2568 6:24:12 น.  

 

ตามมาเที่ยวศรีลังกาด้วยจ้า

 

โดย: อุ้มสี 31 สิงหาคม 2568 20:27:34 น.  

 

ขอบคุณสำหรับการแชร์บล็อกทริปศรีลังกาแบบ ละเอียดสุด ๆ และอ่านเพลินมากจริงๆ ทั้งข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ ความรู้เรื่องศาสนา ความประทับใจส่วนตัว และมุมมองตลกๆ ที่แทรกไว้อย่างพอดี ทำให้นี่ไม่ใช่แค่บล็อกรีวิว แต่เป็นเหมือนสารานุกรมท่องเที่ยวศรีลังกา เลยทีเดียว

การได้ไปเห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นในต่างประเทศมันเปิดมุมมองเราได้เยอะเลยทีเดียว

 

โดย: โลกคู่ขนาน (สมาชิกหมายเลข 7115969 ) 31 สิงหาคม 2568 20:36:30 น.  

 

ผมพลาดบล็อกนี้ไปได้ยังไงเนี่ยะ เดี๋ยวผมมาอีกที ช่วงนี้ตารางเวลาแน่นเกิน นี่เลยเวลามาหน่อยๆ แล้วด้วย

จากบล็อกที่แวะมาคุย
บิสมาร์ค ใช่เลยครับ เยอรมัน

พาชูลี่ ออกแนวนีทนะครับ 555

 

โดย: คุณต่อ (toor36 ) 31 สิงหาคม 2568 22:41:30 น.  

 

แวะมาเยี่ยมและส่งกำลังใจครับ

 

โดย: **mp5** 1 กันยายน 2568 6:35:24 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ชีริว
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 93 คน [?]





**5 Latest Entries**
ศรีลังกา (1/2)
โดราเอม่อน ตอนห่วงทะลุท้องฟ้า
พังงา
กระบี่
เมืองปราจีนบุรี


Friends' blogs
[Add ชีริว's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.